“แม่เฒ่า” มาอ่านเรื่องราวหลอน ๆ จากลูกพี่ลูกน้องผมกันครับ

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูกพี่ลูกน้องผมเมื่อประมาณ 6 - 7 ปีก่อนครับ สมมุติว่าลูกพี่ลูกน้องผมชื่อ เอ้ นะครับ ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เพราะเราอยู่กันคนละจังหวัด 

อันที่จริงผมรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ช่วงนั้นเอ้เหมือนมีอาการจิตตกหนักมากครับ ถึงขั้นต้องไปพบจิตแพทย์ ผมก็เข้าใจครับเพราะว่าเจอมาหนักจริง ๆ ยิ่งเกิดขึ้นกับคนใกล้ชิดด้วย ผมเลยรอเขาอาการดีขึ้นก่อน จึงค่อยขออนุญาตเอาเรื่องนี้มาเล่า

เขากำชับผมว่า ถ้าจะเอาเรื่องนี้มาเล่า ไม่ว่าช่องทางใดก็ตาม ให้เล่าตามความเป็นจริง ห้ามแต่งเติมให้ดูเกินจริง เพราะตัวเขาเองก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และที่สำคัญคือให้เห็นแก่คนที่โดนมาหนักสุด ซึ่งก็คือน้องสาวของเขาเองครับ 

เอ้มีน้องสาว 1 คนครับ สมมติชื่อว่า อุ้ม ช่วงที่เกิดเหตุการณ์คืออุ้มกำลังเรียนอยู่ ม.5 ส่วนเอ้เรียนอยู่ ปี 3 แล้วในบ้านก็จะมีพ่อกับแม่อยู่ด้วย รวมเป็น 4 คน ซึ่งบ้านนี้เขาไม่นับถือศาสนากันครับ เขาจะเชื่อในวิทยาศาสตร์อย่างเดียว เพราะพ่อกับแม่ก็เป็นอาจารย์ในมหาลัยเดียวกับที่เอ้เรียนอยู่ 

เดี๋ยวขอเกริ่นเรื่องของอุ้มก่อนนะครับ อุ้มมีโรคประจำตัวคือโรคซึมเศร้าครับ เพิ่งเริ่มมาแสดงอาการตอนขึ้นมัธยม หมอบอกว่าต้องกินยาอยู่ตลอดเพื่อคุมอาการไว้ แต่ครอบครัวนี้เขาก็ซัพพอร์ตดีนะครับ คอยดูแลเป็นกำลังใจให้กันอย่างดี ค่อนข้างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยแหละ

ทุกคนในบ้านนี้เรียนสายวิทย์ครับ ยกเว้นอุ้ม ที่ค้นพบตัวเองว่าอยากเรียนสายศิลป์ พอขึ้น ม.ปลายก็เลยได้มาเรียนสายศิลป์ ปกติอุ้มจะชอบศิลปะแบบไทย ๆ พวกลายไทย แล้วก็ชอบรำไทยด้วยครับ พอขึ้น ม.4 ก็ได้ไปอยู่ในชมรมนาฏศิลป์ของโรงเรียน อุ้มบอกว่าเวลารู้สึกไม่ดีก็จะเปิดเพลงไทยโบราณฟัง แล้วก็ฝึกรำอยู่คนเดียว เหมือนได้ปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจอะไรประมาณนี้ครับ

ช่วงนั้นที่เริ่มเกิดเหตุการณ์ ทุกคนก็สังเกตว่าอุ้มดูเหมือนกลุ้มใจกับอะไรสักอย่าง คือเหมือนในใจกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ดูไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน พ่อกับแม่เลยถามว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ลองเล่าให้ฟังได้ไหม อุ้มบอกว่าเดี๋ยวจะมีงานแข่งขันนาฏศิลป์ เป็นงานระดับภาค ถ้าชนะก็จะได้ไปแข่งระดับประเทศ แล้วที่โรงเรียนก็จะมีการคัดตัวนางรำ โดยครูจะเรียกมารำให้ดูทีละคน ถ้ารำถูกใจก็จะได้ไปประกวด อุ้มเลยบอกว่าเดี๋ยวจะขอซ้อมรำที่บ้าน ช่วงนี้อาจจะซ้อมหนักหน่อยเพราะใกล้วันคัดตัว พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ จะพยายามไม่เปิดเพลงดังรบกวน วันนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ให้โอกาสลูกสาวทำเต็มที่

กลางดึกวันนั้น เอ้ได้ยินเสียงเพลงไทยโบราณดังมาจากห้องของอุ้มที่อยู่ติดกัน เลยคิดว่าน้องคงซ้อมรำอยู่ แต่สิ่งที่แปลกคือจะมีเสียงของอุ้ม พูดพึมพำอยู่คนเดียว จับใจความได้ประมาณว่า อันนี้สวยหรือยัง ต้องทำอะไรเพิ่มอีกไหม ต้องมืออ่อนกว่านี้อีกใช่ไหม คล้าย ๆ ว่ากำลังพูดตอบโต้กับใครสักคน แต่เอ้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าน้องคงวีดีโอคอลกับเพื่อนไปด้วย

ทุกคืนเอ้จะได้ยินเสียงน้องซ้อมรำ เป็นแบบคืนแรกเลย แต่พ่อกับแม่จะไม่ได้ยินเพราะห้องนอนอยู่คนละฝั่ง พอเวลาผ่านไปเอ้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เช่นบางครั้งเวลาอุ้มเดินในบ้าน ก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูแปลก ๆ เหมือนมีคน 2 คนเดินอยู่ข้างกัน อีกอย่างคือวันเสาร์อาทิตย์อุ้มจะลงมาซ้อมรำอยู่หน้าบ้าน แล้วตรงทางเดินชั้น 2 ก็จะมีหน้าต่างที่มองออกไปเห็นพอดี บางครั้งเวลาเอ้เดินผ่านหน้าต่างบานนั้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจมองก็จะรู้สึกเหมือนมีคน 2 คน ยืนรำอยู่หน้าบ้าน แต่พอหยุดแล้วมองออกไปก็เห็นอุ้มซ้อมรำอยู่คนเดียว 

บ้านนี้จะเลี้ยงสุนัขไว้ 1 ตัว ชื่อว่าบอส เอ้จำได้ว่าวันหนึ่งเป็นวันหยุด ตัวเองกำลังเล่นกับเจ้าบอสอยู่หน้าบ้าน ส่วนอุ้มก็กำลังซ้อมรำอยู่ข้าง ๆ พอเล่นเสร็จแล้วก็มานั่งพักชมสวน แต่เจ้าบอสก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วจ้องไปที่อุ้ม จ้องอยู่ตรงนั้นนานมาก พออุ้มซ้อมเสร็จก็เข้าไปในบ้าน แต่เจ้าบอสก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งจ้องความว่างเปล่า ทันใดนั้นมันก็ลุกขึ้นยืน แล้วแยกเขี้ยวทำเสียงขู่ ก่อนจะเดินมานอนอยู่ข้าง ๆ เอ้ แต่ตอนนั้นเอ้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก 

วันหนึ่งตอนกำลังกินข้าวเย็น พ่อก็หันไปถามอุ้มว่า ได้ชวนเพื่อนมาซ้อมรำที่บ้านหรือเปล่า เพราะวันนั้นตอนพ่อกลับถึงบ้าน คุณน้าที่อยู่บ้านข้าง ๆ ก็มาทักว่า ลูกสาวรำสวยนะ เพื่อนแกก็รำสวย เห็นชวนกันมาซ้อมรำช่วงวันหยุด พ่อบอกอุ้มว่า ถ้าชวนเพื่อนมาบ้านก็บอกพ่อด้วยนะ จะได้เตรียมของไว้ต้อนรับ อุ้มก็ได้แต่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร

ช่วงนั้นอุ้มมีพฤติกรรมแปลก ๆ คือชอบเอาจานข้าวขึ้นไปบนห้อง บอกว่าจะเอาไปกินอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่ได้กิน เวลาผ่านไปเกือบเดือน อุ้มบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคัดตัวแล้ว ขออนุญาตเก็บตัวซ้อมคนเดียว ห้ามใครรบกวน แต่ทุกคนกลับเป็นห่วงอุ้มมาก เพราะตอนนั้นสภาพของอุ้มคือผอมลงเยอะมาก หน้าตาดูหมองคล้ำเหมือนไม่ได้พักผ่อน เวลาพ่อถามเกี่ยวกับเรื่องเรียน อุ้มก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ จนมีครูที่โรงเรียนโทรมาบอกว่าอุ้มไม่ยอมเข้าเรียน เอาแต่ซ้อมรำอยู่คนเดียวใกล้ ๆ ห้องนาฏศิลป์ พอเพื่อนมาตามก็ไปหลับในห้องเรียน ไม่ยอมทำงานส่ง ซึ่งอุ้มไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

ตอนนั้นทุกคนในบ้านพยายามเปิดใจคุยกับอุ้มถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่อุ้มก็ได้แต่ร้องไห้ แล้วขอโทษพ่อกับแม่ บอกว่าจริง ๆ ก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่มันจำเป็นต้องทำ มันหมายถึงชีวิต หมายถึงความเป็นความตายของตัวอุ้มเอง มันเป็นวิธีเดียวที่อุ้มจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะอุ้มได้มาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว อุ้มขอร้องพ่อกับแม่ว่า ขอโอกาสสักครั้ง ขอให้อุ้มได้ไปคัดตัว ขอให้ผ่านวันคัดตัวไปได้ก่อน เสร็จแล้วจะกลับมาตั้งใจเรียน พอได้ฟังแล้ว ทุกคนในบ้านก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก พ่อกับแม่ก็ได้แต่ปล่อยลูกสาวไปทำสิ่งที่อยากทำ แล้วหวังว่าอะไร ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้นมาเอง

แต่ในคืนนั้นเอง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาก ออกมาจากห้องนอนของอุ้ม ทุกคนที่กำลังดูทีวีอยู่ชั้นล่างก็รีบวิ่งขึ้นไปดู ภาพที่เห็นคืออุ้มเปิดประตูออกมาในสภาพที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วกุมมือตัวเองไว้ บอกว่านิ้วหักแล้ว นิ้วหักหมดแล้ว อุ้มหักนิ้วตัวเอง ระหว่างทางไปโรงพยาบาลอุ้มก็เล่าให้ฟังว่าอยากให้นิ้วงอสวย ๆ จะได้รำสวย ๆ ก็เลยดัดนิ้วตัวเอง พอดัดไปดัดมาก็มีเสียง กร๊อบ แล้วก็เจ็บมาก ๆ เลยคิดว่านิ้วหักแล้ว แต่หมอบอกว่านิ้วยังไม่หักนะ แค่เส้นเอ็นฉีก หมอเลยใส่อุปกรณ์ดามไว้แล้วให้ยาแก้ปวดมากิน บอกว่าให้งดใช้งานนิ้วข้างนั้นไปก่อน

พอกลับถึงบ้านอุ้มก็ร้องไห้ไม่หยุด บอกว่าพรุ่งนี้ก็วันคัดตัวแล้ว แต่เจ็บนิ้วมาก ๆ รำไม่ไหวแน่ ๆ อุ้มตายแน่ ๆ มันมากินอุ้มแน่ ๆ มันมากินอุ้มแน่ ๆ อุ้มพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพ่อกับแม่ต้องเข้ามาปลอบ พออุ้มเริ่มสงบลง พ่อก็เสนอว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาอุ้มไปที่คลินิกที่รู้จักกัน ให้คุณหมอฉีดยาให้ จะได้ไม่ปวด แล้วพ่อจะไปส่งที่โรงเรียน อุ้มจะได้ไปคัดตัว แต่มีข้อแม้ว่า หลังจากคัดตัวเสร็จแล้ว พ่อจะพาอุ้มไปหาจิตแพทย์ที่อุ้มเคยรักษาด้วย ให้เขาประเมินอาการ ว่าต้องทำยังไงต่อ ปรากฏว่าอุ้มตอบตกลงทันที

บ่ายวันรุ่งขึ้น เอ้ก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ โดยพ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ซีเรียสมาก ประมาณว่า อุ้มเกิดเรื่องที่โรงเรียน ถ้าเรียนเสร็จแล้วให้ไปรับอุ้มด้วย เพราะพ่อกับแม่ติดประชุมที่มหาลัย เย็นวันนั้นเอ้ก็เลยไปรับน้องที่โรงเรียน แต่พอไปถึงก็ติดต่ออุ้มไม่ได้ โชคดีที่ตัวเองเคยเรียนที่นั่นมาก่อน ก็เลยพอรู้ทางอยู่บ้าง เอ้เดินไปหาน้องที่ห้องนาฏศิลป์ แล้วก็เห็นอุ้มนั่งก้มหน้าอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้อง โดยมีครูผู้หญิงแก่ ๆ คนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เอ้จำครูคนนั้นได้เลยยกมือไหว้ ครูถามว่ามารับอุ้มใช่ไหม เอ้ก็บอกว่าใช่ครับ แล้วครูคนนั้นก็ขอคุยกับเอ้เป็นการส่วนตัว

ครูเล่าว่า ช่วงบ่ายหลังคัดตัวเสร็จ อุ้มก็มีอาการคลุ้มคลั่ง อาละวาดทำลายข้าวของ ซึ่งอุ้มก็ได้ไปทำลายหุ่นของ “แม่เฒ่า” ที่อยู่ในห้องนั้น ครูบอกว่า แม่เฒ่า คือครูใหญ่ของที่นี่ เป็นครูนาฏศิลป์ที่ทุกคนเคารพบูชา เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชมรมนาฏศิลป์แห่งนี้ ครูได้แจ้งผู้ปกครองของอุ้มไปแล้ว ว่าพรุ่งนี้จะจัดพิธีขอขมา โดยอุ้มจะต้องมาขอขมาด้วยตัวเอง เอ้ตอบตกลงด้วยความเกรงใจ แล้วพาน้องขึ้นรถ ระหว่างทางกลับบ้าน เอ้ถามน้องว่า ทำไมโทรไปถึงไม่รับ อุ้มบอกว่า มือถือแบตหมด แล้วก็หันมามองหน้าพี่ชายตัวเอง ก่อนจะพูดว่า

“เชื่อที่ E แก่นั่นบอกจริง ๆ เหรอ”

เอ้ส่ายหน้า เพราะตัวเองก็ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ก็บอกอุ้มกลับไปว่า ถ้าผู้ใหญ่เขาอยากให้ไปขอขมา ก็ควรไปนะ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปแข่งกับเพื่อน ๆ พอได้ยินแบบนั้น อุ้มก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า เขาไม่ให้ไปหรอก มันจบแล้วพี่ จากนั้นอุ้มก็เล่าเรื่อง ๆ หนึ่งให้เอ้ฟัง เป็นเรื่องที่เอ้บอกว่า เขาก็ไม่รู้จะเชื่อดีไหม เพราะอุ้มเป็นคนพูดเองว่า อยากจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่อย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับอุ้มหลังจากนี้ ก็จะถือว่าอุ้มได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแล้ว

---
จบพาร์ทแรกนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อพาร์ท 2 แต่ขออนุญาตบอกไว้ก่อนว่าเรื่องราวหลังจากนี้จะมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงนะครับ ผมได้ฟังจากปากของเอ้ก็ยังเกือบจิตตกเลย มันหนักมากจริง ๆ ครับ สำหรับสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องของผมได้ไปเจอมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่