ณ เวลานั้น ผมมีอายุประมาณ 21 ปี ทำงานเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เป็นระบบเหมือนกับ 7/11 แต่เป็นขื่อที่ตั้งไม่ได้คล้ายกัน กลางใจเมืองพิษณุโลก โดยเช่าห้องอยู่ไม่ไกลที่ทำงานมากนัก โดยพักอยู่กับแฟนซึ่งไม่ได้ทำการทำงานอันใด ห้องของผมอยู่ชั้น 3 มีอยู่วันหนึ่งผมได้กลับไปเอาของที่ห้องในตอนกลางวัน พอถึงหน้าห้อง ได้ยินเสียงแฟน กับมีเสียงผู้ชาย ซึ่งจำได้ว่าเป็นพนักงานของเจ้าของตึก ซึ่งพักอยู่ชั้นสี่ ผมจึงรู้ในทันทีว่าเขาเล่นชู้กัน ผมฟังอยู่พักนึงก็เดินกลับลงไปทำงาน ในตอนนั้นก็คิดวางแผนว่าจะหนีจากแฟนไปอย่างไร หลังจากคิดได้ ผมก็ไปหาเจ้าของร้าน ไปบอกเขาว่า ผมจะลาบวชสักเดือนนึง ทางเจ้าของร้านก็โมทนาสาธุพร้อมให้เงินมาจำนวนนึง เมื่อเลิกงาน ผมกลับมาถึงห้องก็ทำตัวปกติ ไม่รู้ไม่เห็น วันต่อมาผมก็ทำทีว่าไปทำงาน แต่ที่จริงไปหาพระน้าชาย ที่วัดตำบลที่บ้านซึ่งอยู่ชานเมือง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ พระน้าชายก็เลย พาไปวัดของเพื่อนพระที่เพชรบูรณ์ โดยมีพระที่วัดของน้าขายไปร่วมบวชด้วยหลายองค์ พอถึงวันบวชก็ได้ไปบวชอีกวัดนึงที่มีอุปปัชฌาย์ แล้วกลับมาอยู่วัดเดิม พระน้าชายและพระที่มาร่วมก็กลับไปหมด เหตุการณ์ทั้งหมดก็ผ่านไปได้ด้วยดี โดยที่แฟนผมไม่รู้เรื่องเลยว่าผมไปอยู่ไหน หลังจากบวชอยู่ที่วัดนั้นมาได้สามวัน หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้พาคณะญาติโยมระแวกวัด และพระในวัดอีกสององค์ไปทัวร์เชียงใหม่โดยที่ต้องมีพระสักองค์อยู่เฝ้าวัด ซึ่ง แน่นอนก็ต้องเป็นผม ขออธิบายถึงสภาพภายในของวัด เป็นวัดบ้านนอกธรรมดาๆ มีด้านหน้าติดถนนใหญ่ มีซุ้มประตุ มีกำแพง พอเข้าไป ก็เจอกับสนามกว้างเกือบเท่าสนามฟุตบอลเอาไว้จัดงาน ขวามือมีกุฏิไม้ 3 หลัง ซ้ายมือของสนามมีศาลาตั้งศพ ต่อด้วยเมรุ และ ห้องน้ำหลังเมรุ ทางด้านหัวสนามก็เป็นศาลา และ กุฏิแม่ชี ด้านข้างก็มีรั้วรอบแต่ไม่ใช่กำแพง ซ้ายมือติดกับโรงเรียน ประถม ด้านหลังมีบ้านคนห่างๆไม่มากนัก ผมพักอยู่กุฎิหลังแรกสุดใกล้ประตูวัด หลังกุฏิมีสระน้ำขนาดใหญ่ หลายวันที่ผ่านมาอยู่กันอบอุ่นก็ไม่มีอะไร แต่เหตุมันเกิดในคืนที่ต้องอยู่คนเดียวนี่เอง การที่เราต้องอยู่คนเดียวในตอนกลางวันมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอตกค่ำทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม มันมีแต่ความวังเวง เงียบสงัด ทุกที่ ทุกอย่างดูอึมครึมน่ากลัวไปหมด ที่พีคที่สุดคือ ห้องน้ำ มันอยู่ไกลมาก ตรงข้ามกันคนละฟากสนาม และเยื้องไปทางท้ายวัด อยู่ไกลไม่พอ มันดันอยู่หลังเมรุเผาศพนี่สิ คนเราเวลากลางคืนนี่ ปวดเบาก็พอแก้ไขได้ แต่ปวดหนักยังไงก็ต้องไปห้องน้ำ การไปห้องน้ำในวัดเหมือนกับไปป่าช้าไม่มีผิด มันระแวง ระแวดระวัง ไปเสียทุกอย่าง ไฟฉายต้องฉายไปจนทั่ว ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงจากห้องน้ำห้องอื่นๆ และ แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดขึ้นจนได้ในกลางดึกคืนแรกของการอยู่คนเดียว หลังจากทำวัตร สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลตามแบบแล้วก็ เข้านอนหลับไป สะดุ้งตกใจตื่นเพราะมีเสียงหมาหอนระงมไปทั่ววัด ซึ่ง เป็นหมาวัด และ หมาชาวบ้านที่มักเข้ามาเล่นในวัด ผมนอนฟังแล้วก็เอะใจว่าเสียงมันหอนมาจากเมรุ แล้วค่อยๆเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที ทีนี้เหงื่อกาฬออกทั้งตัว ใจเต้นด้วยความหวาดกลัว คิดได้ทันทีว่า ผี จะมาหาแน่นอน เสียงหอนใกล้เข้าเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดที่ข้างกุฏิ ซึ่ง กุฎิที่ผมอยู่นั้น มันไม่สูง ความสูงแค่หัวคนลอดได้ มีโถงไว้รับแขก สวดมนต์ มีห้องนอน แล้วไอ้ไม้ปูพื้นมันก็มีร่อง ผมก็นอนตัวเกร็ง คิดหวาดกลัวว่าผีจะเช้ามาใต้ที่นอน ณ เวลานนั้น มันกลัวจับจิต จับใจ กลัวว่าผีตอนนี้มันคงอยู่ใต้ถุน จนเวลาผ่านไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมาหยุดหอนไปแล้ว ก็ชักใจชื้น พยายามรวบรวมสติ นึกคำอุทิศส่วนกุศลเท่าที่จำได้ไป แล้วก็ผลอยหลับไป จนกระทั้งเช้า คืนต่อๆมาก็ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีกเลย จนกระทั้งคณะทัวร์กลับมา ผมบวชอยู่ที่นั่นถึงเดือนครึ่งพอสึกออกมาก็หางานใหม่ทำไม่กลับไปที่เก่าอีก เพราะ ไม่ต้องการให้แฟนเก่าตามเจอ
พระใหม่