“หนึ่งนโยบายสำคัญที่กทม.จะต้องนำเข้าไปหารือ และคงสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล คือ
การผลักดันให้กทม.เป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติ เพราะเศรษฐกิจคือหัวใจของเมือง
เพราะเศรษฐกิจคือการสร้างเมือง สร้างรายได้ ในขณะที่เมืองคือตลาดแรงงาน การที่คน
มาอยู่ในเมืองเพราะมีงาน และจะมีงานได้ต้องดึงบริษัททั่วโลกให้มาที่กทม.
เพื่อให้เกิดการจ้างงาน หากมีบริษัทที่มีคุณภาพจากทั่วโลกมาอยู่ในไทยจะเป็นการสร้างงาน
ครอบคลุมไปถึงผู้ที่มีห้องให้เช่า คนขับรถแท็กซี่ ร้านอาหาร เกษตรกร
ผลที่ได้จะเป็นห่วงโซ่การบริโภคที่จะสามารถลงไปถึงรากหญ้าได้”
การลงทุนในสมัยนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมแต่อย่างใด
แต่เป็นการลงทุนในภาคบริการหรือการ sevice การเงิน start up และธุรกิจ Innovation
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง
กรุงเทพมหานครจึงต้องร่วมกับรัฐบาล หรือร่วมกับ BOI (Board of Investment หรือ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เพื่อดึงดูดนักลงทุน ที่ผ่านมากทม.มีการหารือกับ
หอการค้าต่างประเทศมาโดยตลอด ตลอดจนหารือกับนักลงทุน นักธุรกิจชาวต่างประเทศ
ที่อยู่ในประเทศไทย โดยได้สอบถามปัญหาและความต้องการ
เพื่อให้เห็นว่ากทม.มีความจริงใจในการดูแลนักลงทุน
“เรามีโครงการจะทำเป็น One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุน
และกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอโอกาสเพื่อพูดคุยความเป็นไปได้กับรัฐบาล
เพื่อดึงรายได้เข้ามาในกรุงเทพฯให้ได้ กรุงเทพฯในปัจจุบันมีความน่าอยู่มาก
มีปัจจัยหลายอย่างมีความเหมาะสม ทั้งสถานที่ตั้งออฟฟิศที่ราคาไม่แพง
มีโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่สามารถรองรับบุคลากรของบริษัทข้ามชาติได้
ถือว่าโอกาสนี้เป็นนาทีทองของเรา”
ผู้ว่าฯกทม. กล่าว
'การผลักดันให้กทม.เป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติ'.. ต้องไปเชิญชวนที่ UN ครับ..!!
การผลักดันให้กทม.เป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติ เพราะเศรษฐกิจคือหัวใจของเมือง
เพราะเศรษฐกิจคือการสร้างเมือง สร้างรายได้ ในขณะที่เมืองคือตลาดแรงงาน การที่คน
มาอยู่ในเมืองเพราะมีงาน และจะมีงานได้ต้องดึงบริษัททั่วโลกให้มาที่กทม.
เพื่อให้เกิดการจ้างงาน หากมีบริษัทที่มีคุณภาพจากทั่วโลกมาอยู่ในไทยจะเป็นการสร้างงาน
ครอบคลุมไปถึงผู้ที่มีห้องให้เช่า คนขับรถแท็กซี่ ร้านอาหาร เกษตรกร
ผลที่ได้จะเป็นห่วงโซ่การบริโภคที่จะสามารถลงไปถึงรากหญ้าได้”
การลงทุนในสมัยนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมแต่อย่างใด
แต่เป็นการลงทุนในภาคบริการหรือการ sevice การเงิน start up และธุรกิจ Innovation
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง
กรุงเทพมหานครจึงต้องร่วมกับรัฐบาล หรือร่วมกับ BOI (Board of Investment หรือ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เพื่อดึงดูดนักลงทุน ที่ผ่านมากทม.มีการหารือกับ
หอการค้าต่างประเทศมาโดยตลอด ตลอดจนหารือกับนักลงทุน นักธุรกิจชาวต่างประเทศ
ที่อยู่ในประเทศไทย โดยได้สอบถามปัญหาและความต้องการ
เพื่อให้เห็นว่ากทม.มีความจริงใจในการดูแลนักลงทุน
“เรามีโครงการจะทำเป็น One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุน
และกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอโอกาสเพื่อพูดคุยความเป็นไปได้กับรัฐบาล
เพื่อดึงรายได้เข้ามาในกรุงเทพฯให้ได้ กรุงเทพฯในปัจจุบันมีความน่าอยู่มาก
มีปัจจัยหลายอย่างมีความเหมาะสม ทั้งสถานที่ตั้งออฟฟิศที่ราคาไม่แพง
มีโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่สามารถรองรับบุคลากรของบริษัทข้ามชาติได้
ถือว่าโอกาสนี้เป็นนาทีทองของเรา”
ผู้ว่าฯกทม. กล่าว