สำเร็จ! iLaw เผยยอด #conforall ล่าชื่อเขียนรธน.ใหม่ ทะลุเป้า 5 หมื่นแล้ว ลุ้นปิดยอดคืนนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4147332
สำเร็จ! iLaw เผยยอด #conforall ล่าชื่อเขียนรธน.ใหม่ ล่าสุด ทะลุเป้าหมาย 5 หมื่นแล้ว
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ จัดแคมเปญ “
เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รณรงค์ที่ขับเคลื่อนโดยหลายกลุ่ม องค์กร อาทิ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ (iLaw), คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ตั้งเป้าหมายเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 50,000 ชื่อ เพื่อเสนอคำถามสำหรับการทำประชามติต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อผลักดันให้เกิดการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่นั้น
โดยในวันที่ 24-25 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งโต๊ะตามสถานที่ต่างๆ เพื่อร่วมกันล่ารายชื่อ ในแคมเปญ “
เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall อาทิ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ รวมไปถึง ร้านอาหาร และคาเฟ่ต่างๆ ที่ร่วมกันตั้งโต๊ะล่ารายชื่อ
ล่าสุด เมื่อเวลา 17.11 น. นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการ iLaw ได้เปิดเผยตัวเลขล่าสุดของผู้ร่วมลงชื่อในโครงการดังกล่าว ว่าเกิน 50,000 ชื่อ ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว
โดยมีข้อความระบุว่า “
17.00 เมื่อเราช่วยกันทำได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่มันเป็นบรรทัดฐานของสังคมใหม่ ที่เราจะอยู่ร่วมกัน ปรบมือให้ตัวเองงงงง” ทั้งยังได้โพสต์ภาพของรายชื่อ ณ เวลา 17.00 น. ว่าอยู่ที่ 52,9xx รายชื่อ
ทั้งยังได้ไลฟ์สด ระบุว่า แม้ว่าจะทะลุ 52,9xx ชื่อแล้วก็ตาม แต่ยังหวังว่าจะถึง 55,000 ชื่อ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดต่างๆ เราคิดว่าน่าจะได้ 50,000 รายชื่อวันนี้ เรียกว่าปาฏิหาริย์ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และลุ้นกันว่า คืนนี้จะปิดเลขที่เท่าไหร่ ยังส่งได้
https://twitter.com/iLawclub/status/1695013117057442070
https://twitter.com/yingcheep/status/1695015949378965591
‘พิธา’เผยโทรฯยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯคนที่ 30
https://www.dailynews.co.th/news/2657159/
ฝากข้อห่วงใยแก้วิกฤติศรัทธาประชาชน ห่วงโผ ครม. ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหาประเทศ เชื่อรัฐบาลทำงานได้ยาก เหตุอำนาจต่อรองสูง ยัน 'ก้าวไกล' เป็นฝ่ายค้านเชิงรุก พร้อมทำงานตรวจสอบถ่วงดุล
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ จ.ระยอง นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ช่วย นาย
พงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ยังมีหลายนโยบายที่ทำงานได้ โดยการผลักดันกฎหมายเข้าสภา และยังมีกฎหมายสำคัญสำหรับชาวระยอง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม PRTR และกฎหมายแรงงาน โดยจะเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับประชาชนได้เหมือนเดิม แม้ไม่ 100% แต่หวังว่าจะเป็นการปูทางเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง จะสามารถซื้อใจประชาชนได้มากกว่าเดิม ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
เมื่อถามถึงกรณีที่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลใหม่แล้ว อยากจะฝากความหวังอย่างไรบ้างนั้น นาย
พิธา กล่าวว่า ตนได้โทรฯ ไปยินดี และยืนยันกับนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยตัวเอง โดยได้ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และยืนยันว่าวิกฤติของบ้านเมืองไม่ใช่แค่วิกฤติเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และวิกฤติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่เกิดขึ้น
“
โดยเฉพาะการได้ฟังเสียงของประชาชนจากการลงพื้นที่ เป็นสิ่งที่ผู้นำคนต่อไปต้องแก้ไข โดยการรวมความคิดของคนในชาติ ให้กลับมาอยู่เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ และได้ยินนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านจะเป็นนายกฯ ของประชาชน ตนก็อวยพรว่าให้ท่านทำได้อย่างนั้นจริง ๆ และตราบใดที่นายเศรษฐา ยังคำนึงอยู่ว่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วทำหน้าที่โดยไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แต่ฟังเสียงของประชาชน เป็นตัวแทนของประชาชนได้เยอะ ๆ เชื่อว่านายเศรษฐาจะทำได้” นาย
พิธา กล่าว
ส่วนการบริหารงานของรัฐบาล
เศรษฐา จะทำงานได้ยากหรือไม่นั้น เพราะมีการจับกันหลายขั้วและอาจจะมีการต่อรองกันสูง นาย
พิธา กล่าวว่า คิดว่าคงยากเป็นพิเศษ คงต้องดูโผ ครม. ที่ออกมา เท่าที่ติดตามดูในข่าวเห็นนาย
สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะออกมาสัปดาห์หน้านั้น ตนก็อยากจะฟังในสิ่งที่ตนและนาย
เศรษฐา เคยพูดร่วมกันในเวทีดีเบตหลาย ๆ เวที ที่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า ต้องดูว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และคนที่จะมาดูแลกระทรวงต่าง ๆ จะเป็นใคร
นาย
พิธา กล่าวด้วยว่า หวังว่าการกู้วิกฤติศรัทธาที่มองว่าเป็นวิกฤติที่เข้ามาเพิ่มเติมตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จะเกิดการแก้ไข และเรียกวิกฤติศรัทธา ให้กลับมาสู่การเมืองไทย และส่วนตัวยังยืนยันที่จะทำงานตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และปราศจากคอร์รัปชั่นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อถามว่า หากดูหน้าตาของรัฐมนตรีตามโผ ครม. แต่ละกระทรวงที่ออกมาตอนนี้แล้ว มีความเป็นห่วงกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า เป็นห่วงทุกกระทรวง เพราะแต่ละกระทรวงมีปัญหาหลายเรื่อง อย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วที่ จ.ระยอง ทั้งในปี 2556 และปี 2565 จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องทำงานแบบมหภาค ต้องมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งหลายอันก็เป็นห่วงว่าบุคลากรจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะพอต่างพรรคกัน การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ทีละกระทรวง แต่จะทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่กังวล
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ากระทรวงกลาโหม โควตาจะเป็นคนนอก ไม่ได้มาจากพรรคการเมืองนั้น มีความกังวลหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า การตั้งรัฐมนตรีจะคนในหรือคนนอกไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ และถ้ามีความคิดที่ตรงข้ามกันกับนิยามของความมั่นคง หรือจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กองทัพจะต้องมีความทันสมัยมากขึ้น เรื่องนี้จึงต้องมีบุคลากรที่เข้าใจ เรื่องนิยามทางความมั่นคงที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 จริงๆ ถึงจะทำได้ และทำอย่างไรให้ตรงกับศรัทธาของประชาชนที่เคยให้ไว้ และความท้าทายจากทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นจะคนในคนนอกก็คงไม่สำคัญ
ส่วนกรณีพรรคอนาคตไกล ที่เตรียมจดทะเบียนพรรคการเมืองนั้น นาย
พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตไกล
‘โอลด์ทาวน์’ แทบแตก แห่เซลฟี่ ‘นายกฯเศรษฐา’ เจ้าตัวฟังธุรกิจหาทางกระตุ้นศก. ลุยป่าตองขยายเวลาโซนนิ่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4147468
“โอลด์ทาวน์” แทบแตก แห่ขอเซลฟี่ “นายกฯ เศรษฐา” เจ้าตัวรับฟังผู้ประกอบการหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 ก่อนลุยหาดป่าตองขยายเวลาเปิดโซนนิ่งสถานบันเทิง
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 เวลา 17.00 น. ที่จังหวัดภูเก็ต นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปยังย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อมาดูบรรยากาศการค้าขายในพื้นที่รวมทั้งรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการ เพื่อนำปัญหาไปจัดทำแผนงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งระหว่างการเดินในพื้นที่ ได้รับความสนใจทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยได้ขอถ่ายภาพเซลฟี่ตลอดเส้นทาง รวมถึงร้านค้าต่างๆ ที่ยื่นขนมให้นายเศรษฐาทดลองชิม อาทิ ไอศกรีมรสกาแฟ มัฟฟิน รวมถึงได้เข้าไปดูของเก่าที่ร้าน
โดยนาย
เศรษฐา ได้แวะร้านบ้าน 92 ภูเก็ตโอลด์ทาวน์ โดยได้แวะชมและชิมผัดหมี่ฮกเกี้ยน รวมถึงได้ทดลองปั้นขนมอั่งกู๊เตาแดง ขนมมงคลที่ใช้ในเทศกาลตรุษจีน ไหว้เทวดา และงานแต่งงานของชาวบาบ๋าภูเก็ต ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งมีผู้ปกครองพาลูกชายซึ่งเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม 3 ได้ มายืนดักรอเพราะอยากเห็นหน้านายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้ามาทักทายพร้อมกับจับมือ และโอบไหล่ถ่ายรูปด้วย เด็กชายคนดังกล่าวได้แอบอมยิ้มอย่างมีความสุข
จากนั้นนาย
เศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นและรับฟังปัญหา เพื่อที่จะไปประกอบการทำนโยบายโดยรวม เริ่มตั้งแต่ความแออัดของสนามบิน การจราจร ระบบกำจัดขยะซึ่งมีแค่ตอนล่างของเกาะที่ใช้เวลาเดินทางนาน ซึ่งต้องดูว่าตอนเหนือของเกาะจะสามารถมีเพิ่มได้หรือไม่ นอกจากนี้ปัญหาเรื่องการขาดแคลน เรื่องน้ำ เรื่องของโซนนิ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ เรื่องการขยายเวลาการทำงานของสถานบันเทิง แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความมั่นคง และอีกหลายเรื่องที่ได้รับฟังปัญหามา แต่ยังไม่ลงรายละเอียด จากที่ได้ยินมาโครงการหลายๆ อย่าง ถูกพับไปหรือมีการล่าช้าเกิดขึ้นไปมาก เพราะวิธีการดูโครงการแต่ละโครงการต้องดูเรื่องผลตอบแทนแต่ละโครงการ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีผลตอบแทนที่ต่ำหรือช้าต่อการที่จะต้องเพย์แบ็ค
นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ฉะนั้น จ.ภูเก็ตเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศ บางโครงการอาจจะมีการขาดทุน แต่เมื่อมีการดำเนินการไปแล้วทำให้จ.ภูเก็ตโดยรวมดีขึ้น ก่อให้เกิดรายได้ นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นเราคงต้องรับฟังข้อมูล นำไปพิจารณาและเขียนแผนแม่บทอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า สิ่งที่ต้องเร่งเพื่อรองรับไตรมาส 4 ที่จะมาถึงในเรื่องของการท่องเที่ยวคืออะไร นายเศรษฐา กล่าวว่า หลายเรื่อง หลายอย่าง ทั้งเรื่องของการเพิ่มบุคลากรของการตรวจคนเข้าเมือง วีซ่าของนักท่องเที่ยวหลายๆ ประเทศ ที่อาจจะต้องมีการได้รับการยกเว้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ไฮซีซั่นแล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนอยากเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งต้องมีการแพลนเรื่องของการจองโรงแรม จองสายการบิน หลายเรื่องต้องดูให้ดี ฉะนั้น จึงอยากให้มีการฟอร์มรัฐบาลให้ได้โดยเร็ว และมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกนโยบายมาโดยเร็ว ทั้งนี้ เรื่องของวีซ่าเป็นเรื่องสำคัญ มีของหลายประเทศ ซึ่งต้องมีการไปปรึกษากับกระทรวงการต่างประเทศอีกครั้งว่าจะมีประเทศใดบ้าง
นาย
เศรษฐา กล่าวว่า เนื่องจากบางประเทศได้ฟรีวีซ่าอยู่แล้ว แต่จำนวนวันที่เข้ามานั้นไม่เพียงพอ ซึ่งในหลายประเทศมีอากาศหนาวมากในฤดูหนาว มีความต้องการที่จะมาอยู่ในประเทศไทย มากกว่า 30 วัน ซึ่งเราอาจจะขยายเป็น 90 วันได้ รวมถึงเรื่องโรงเรียนนานาชาติ บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการผ่อนผันวีซ่า ที่อาจจะต้องมีการเพิ่มวันมากขึ้น และอีกหลายๆ เรื่อง 24 ชั่วโมงนั้นส่วนเรื่องการผลักดันภูเก็ตเป็นเมือง 24 ชั่วโมงนั้น ต้องขอศึกษาก่อน เพราะอาจจะเป็นเรื่องของโซนนิ่ง บางทำเลอาจจะขยายเวลาเปิดให้บริการ เนื่องจากมีผลกระทบของเพื่อนบ้านด้วยรวมถึงเรื่องของความปลอดภัย เรื่องของความดูแลความมั่นคงด้วย ซึ่งต้องดูให้ดีๆ ของวงจรที่สุด
นาย
เศรษฐา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในแต่ละโครงการที่ดูแบบเป็นโครงการพื้นฐาน ก็ต้องดูแบบองค์รวมทั้งหมด และถ้าทำแล้วภูเก็ตทั้งจังหวัดดีขึ้น ก็ไปหารายได้เสริมจากทางอื่นเข้ามา และอาจมีอีกหลายโครงการที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลขการเงิน แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัย เช่น อุโมงค์ของทางด้านป่าตอง ซึ่งตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ก็มีงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นหลักหมื่นล้านแล้ว ในตอนนี้ก็ต้องดูให้ดีอีกที
JJNY : 5in1 สำเร็จ! #conforall│‘พิธา’เผยโทรฯยินดี‘เศรษฐา’│แห่เซลฟี่‘นายกฯเศรษฐา’│ตลาดรถครึ่งปีหลังวูบ│‘ไทเป’โวยบินรบจีน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4147332
สำเร็จ! iLaw เผยยอด #conforall ล่าชื่อเขียนรธน.ใหม่ ล่าสุด ทะลุเป้าหมาย 5 หมื่นแล้ว
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ จัดแคมเปญ “เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รณรงค์ที่ขับเคลื่อนโดยหลายกลุ่ม องค์กร อาทิ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ (iLaw), คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ตั้งเป้าหมายเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 50,000 ชื่อ เพื่อเสนอคำถามสำหรับการทำประชามติต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อผลักดันให้เกิดการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่นั้น
โดยในวันที่ 24-25 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งโต๊ะตามสถานที่ต่างๆ เพื่อร่วมกันล่ารายชื่อ ในแคมเปญ “เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall อาทิ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ รวมไปถึง ร้านอาหาร และคาเฟ่ต่างๆ ที่ร่วมกันตั้งโต๊ะล่ารายชื่อ
ล่าสุด เมื่อเวลา 17.11 น. นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการ iLaw ได้เปิดเผยตัวเลขล่าสุดของผู้ร่วมลงชื่อในโครงการดังกล่าว ว่าเกิน 50,000 ชื่อ ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว
โดยมีข้อความระบุว่า “17.00 เมื่อเราช่วยกันทำได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่มันเป็นบรรทัดฐานของสังคมใหม่ ที่เราจะอยู่ร่วมกัน ปรบมือให้ตัวเองงงงง” ทั้งยังได้โพสต์ภาพของรายชื่อ ณ เวลา 17.00 น. ว่าอยู่ที่ 52,9xx รายชื่อ
ทั้งยังได้ไลฟ์สด ระบุว่า แม้ว่าจะทะลุ 52,9xx ชื่อแล้วก็ตาม แต่ยังหวังว่าจะถึง 55,000 ชื่อ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดต่างๆ เราคิดว่าน่าจะได้ 50,000 รายชื่อวันนี้ เรียกว่าปาฏิหาริย์ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และลุ้นกันว่า คืนนี้จะปิดเลขที่เท่าไหร่ ยังส่งได้
https://twitter.com/iLawclub/status/1695013117057442070
https://twitter.com/yingcheep/status/1695015949378965591
‘พิธา’เผยโทรฯยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯคนที่ 30
https://www.dailynews.co.th/news/2657159/
ฝากข้อห่วงใยแก้วิกฤติศรัทธาประชาชน ห่วงโผ ครม. ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหาประเทศ เชื่อรัฐบาลทำงานได้ยาก เหตุอำนาจต่อรองสูง ยัน 'ก้าวไกล' เป็นฝ่ายค้านเชิงรุก พร้อมทำงานตรวจสอบถ่วงดุล
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ จ.ระยอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ช่วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ยังมีหลายนโยบายที่ทำงานได้ โดยการผลักดันกฎหมายเข้าสภา และยังมีกฎหมายสำคัญสำหรับชาวระยอง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม PRTR และกฎหมายแรงงาน โดยจะเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับประชาชนได้เหมือนเดิม แม้ไม่ 100% แต่หวังว่าจะเป็นการปูทางเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง จะสามารถซื้อใจประชาชนได้มากกว่าเดิม ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
เมื่อถามถึงกรณีที่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลใหม่แล้ว อยากจะฝากความหวังอย่างไรบ้างนั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนได้โทรฯ ไปยินดี และยืนยันกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยตัวเอง โดยได้ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และยืนยันว่าวิกฤติของบ้านเมืองไม่ใช่แค่วิกฤติเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และวิกฤติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่เกิดขึ้น
“โดยเฉพาะการได้ฟังเสียงของประชาชนจากการลงพื้นที่ เป็นสิ่งที่ผู้นำคนต่อไปต้องแก้ไข โดยการรวมความคิดของคนในชาติ ให้กลับมาอยู่เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ และได้ยินนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านจะเป็นนายกฯ ของประชาชน ตนก็อวยพรว่าให้ท่านทำได้อย่างนั้นจริง ๆ และตราบใดที่นายเศรษฐา ยังคำนึงอยู่ว่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วทำหน้าที่โดยไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แต่ฟังเสียงของประชาชน เป็นตัวแทนของประชาชนได้เยอะ ๆ เชื่อว่านายเศรษฐาจะทำได้” นายพิธา กล่าว
ส่วนการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐา จะทำงานได้ยากหรือไม่นั้น เพราะมีการจับกันหลายขั้วและอาจจะมีการต่อรองกันสูง นายพิธา กล่าวว่า คิดว่าคงยากเป็นพิเศษ คงต้องดูโผ ครม. ที่ออกมา เท่าที่ติดตามดูในข่าวเห็นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะออกมาสัปดาห์หน้านั้น ตนก็อยากจะฟังในสิ่งที่ตนและนายเศรษฐา เคยพูดร่วมกันในเวทีดีเบตหลาย ๆ เวที ที่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า ต้องดูว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และคนที่จะมาดูแลกระทรวงต่าง ๆ จะเป็นใคร
นายพิธา กล่าวด้วยว่า หวังว่าการกู้วิกฤติศรัทธาที่มองว่าเป็นวิกฤติที่เข้ามาเพิ่มเติมตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จะเกิดการแก้ไข และเรียกวิกฤติศรัทธา ให้กลับมาสู่การเมืองไทย และส่วนตัวยังยืนยันที่จะทำงานตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และปราศจากคอร์รัปชั่นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อถามว่า หากดูหน้าตาของรัฐมนตรีตามโผ ครม. แต่ละกระทรวงที่ออกมาตอนนี้แล้ว มีความเป็นห่วงกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เป็นห่วงทุกกระทรวง เพราะแต่ละกระทรวงมีปัญหาหลายเรื่อง อย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วที่ จ.ระยอง ทั้งในปี 2556 และปี 2565 จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องทำงานแบบมหภาค ต้องมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งหลายอันก็เป็นห่วงว่าบุคลากรจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะพอต่างพรรคกัน การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ทีละกระทรวง แต่จะทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่กังวล
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ากระทรวงกลาโหม โควตาจะเป็นคนนอก ไม่ได้มาจากพรรคการเมืองนั้น มีความกังวลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การตั้งรัฐมนตรีจะคนในหรือคนนอกไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ และถ้ามีความคิดที่ตรงข้ามกันกับนิยามของความมั่นคง หรือจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กองทัพจะต้องมีความทันสมัยมากขึ้น เรื่องนี้จึงต้องมีบุคลากรที่เข้าใจ เรื่องนิยามทางความมั่นคงที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 จริงๆ ถึงจะทำได้ และทำอย่างไรให้ตรงกับศรัทธาของประชาชนที่เคยให้ไว้ และความท้าทายจากทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นจะคนในคนนอกก็คงไม่สำคัญ
ส่วนกรณีพรรคอนาคตไกล ที่เตรียมจดทะเบียนพรรคการเมืองนั้น นายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตไกล
‘โอลด์ทาวน์’ แทบแตก แห่เซลฟี่ ‘นายกฯเศรษฐา’ เจ้าตัวฟังธุรกิจหาทางกระตุ้นศก. ลุยป่าตองขยายเวลาโซนนิ่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4147468
“โอลด์ทาวน์” แทบแตก แห่ขอเซลฟี่ “นายกฯ เศรษฐา” เจ้าตัวรับฟังผู้ประกอบการหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 ก่อนลุยหาดป่าตองขยายเวลาเปิดโซนนิ่งสถานบันเทิง
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 เวลา 17.00 น. ที่จังหวัดภูเก็ต นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปยังย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อมาดูบรรยากาศการค้าขายในพื้นที่รวมทั้งรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการ เพื่อนำปัญหาไปจัดทำแผนงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งระหว่างการเดินในพื้นที่ ได้รับความสนใจทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยได้ขอถ่ายภาพเซลฟี่ตลอดเส้นทาง รวมถึงร้านค้าต่างๆ ที่ยื่นขนมให้นายเศรษฐาทดลองชิม อาทิ ไอศกรีมรสกาแฟ มัฟฟิน รวมถึงได้เข้าไปดูของเก่าที่ร้าน
โดยนายเศรษฐา ได้แวะร้านบ้าน 92 ภูเก็ตโอลด์ทาวน์ โดยได้แวะชมและชิมผัดหมี่ฮกเกี้ยน รวมถึงได้ทดลองปั้นขนมอั่งกู๊เตาแดง ขนมมงคลที่ใช้ในเทศกาลตรุษจีน ไหว้เทวดา และงานแต่งงานของชาวบาบ๋าภูเก็ต ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งมีผู้ปกครองพาลูกชายซึ่งเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม 3 ได้ มายืนดักรอเพราะอยากเห็นหน้านายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้ามาทักทายพร้อมกับจับมือ และโอบไหล่ถ่ายรูปด้วย เด็กชายคนดังกล่าวได้แอบอมยิ้มอย่างมีความสุข
จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นและรับฟังปัญหา เพื่อที่จะไปประกอบการทำนโยบายโดยรวม เริ่มตั้งแต่ความแออัดของสนามบิน การจราจร ระบบกำจัดขยะซึ่งมีแค่ตอนล่างของเกาะที่ใช้เวลาเดินทางนาน ซึ่งต้องดูว่าตอนเหนือของเกาะจะสามารถมีเพิ่มได้หรือไม่ นอกจากนี้ปัญหาเรื่องการขาดแคลน เรื่องน้ำ เรื่องของโซนนิ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ เรื่องการขยายเวลาการทำงานของสถานบันเทิง แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความมั่นคง และอีกหลายเรื่องที่ได้รับฟังปัญหามา แต่ยังไม่ลงรายละเอียด จากที่ได้ยินมาโครงการหลายๆ อย่าง ถูกพับไปหรือมีการล่าช้าเกิดขึ้นไปมาก เพราะวิธีการดูโครงการแต่ละโครงการต้องดูเรื่องผลตอบแทนแต่ละโครงการ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีผลตอบแทนที่ต่ำหรือช้าต่อการที่จะต้องเพย์แบ็ค
นายเศรษฐา กล่าวว่า ฉะนั้น จ.ภูเก็ตเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศ บางโครงการอาจจะมีการขาดทุน แต่เมื่อมีการดำเนินการไปแล้วทำให้จ.ภูเก็ตโดยรวมดีขึ้น ก่อให้เกิดรายได้ นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นเราคงต้องรับฟังข้อมูล นำไปพิจารณาและเขียนแผนแม่บทอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า สิ่งที่ต้องเร่งเพื่อรองรับไตรมาส 4 ที่จะมาถึงในเรื่องของการท่องเที่ยวคืออะไร นายเศรษฐา กล่าวว่า หลายเรื่อง หลายอย่าง ทั้งเรื่องของการเพิ่มบุคลากรของการตรวจคนเข้าเมือง วีซ่าของนักท่องเที่ยวหลายๆ ประเทศ ที่อาจจะต้องมีการได้รับการยกเว้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ไฮซีซั่นแล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนอยากเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งต้องมีการแพลนเรื่องของการจองโรงแรม จองสายการบิน หลายเรื่องต้องดูให้ดี ฉะนั้น จึงอยากให้มีการฟอร์มรัฐบาลให้ได้โดยเร็ว และมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกนโยบายมาโดยเร็ว ทั้งนี้ เรื่องของวีซ่าเป็นเรื่องสำคัญ มีของหลายประเทศ ซึ่งต้องมีการไปปรึกษากับกระทรวงการต่างประเทศอีกครั้งว่าจะมีประเทศใดบ้าง
นายเศรษฐา กล่าวว่า เนื่องจากบางประเทศได้ฟรีวีซ่าอยู่แล้ว แต่จำนวนวันที่เข้ามานั้นไม่เพียงพอ ซึ่งในหลายประเทศมีอากาศหนาวมากในฤดูหนาว มีความต้องการที่จะมาอยู่ในประเทศไทย มากกว่า 30 วัน ซึ่งเราอาจจะขยายเป็น 90 วันได้ รวมถึงเรื่องโรงเรียนนานาชาติ บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการผ่อนผันวีซ่า ที่อาจจะต้องมีการเพิ่มวันมากขึ้น และอีกหลายๆ เรื่อง 24 ชั่วโมงนั้นส่วนเรื่องการผลักดันภูเก็ตเป็นเมือง 24 ชั่วโมงนั้น ต้องขอศึกษาก่อน เพราะอาจจะเป็นเรื่องของโซนนิ่ง บางทำเลอาจจะขยายเวลาเปิดให้บริการ เนื่องจากมีผลกระทบของเพื่อนบ้านด้วยรวมถึงเรื่องของความปลอดภัย เรื่องของความดูแลความมั่นคงด้วย ซึ่งต้องดูให้ดีๆ ของวงจรที่สุด
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในแต่ละโครงการที่ดูแบบเป็นโครงการพื้นฐาน ก็ต้องดูแบบองค์รวมทั้งหมด และถ้าทำแล้วภูเก็ตทั้งจังหวัดดีขึ้น ก็ไปหารายได้เสริมจากทางอื่นเข้ามา และอาจมีอีกหลายโครงการที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลขการเงิน แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัย เช่น อุโมงค์ของทางด้านป่าตอง ซึ่งตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ก็มีงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นหลักหมื่นล้านแล้ว ในตอนนี้ก็ต้องดูให้ดีอีกที