แม่ค้า จี้รัฐบาล แก้ปัญหาค่าไฟ-น้ำมันแพง ให้ได้ก่อนแจก 'เงินดิจิทัล' 10,000
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7831371
แม่ค้า จี้รัฐบาล ลดค่าไฟ-น้ำมันแพง ให้ได้ก่อนแจก ‘เงินดิจิทัล’ 10,000 เผยเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานาน และเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรแก้ไขก่อน
24 ส.ค. 2566 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่ได้มีการประชุมรัฐสภา ถึงวาระของการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญไทยที่มีการเสนอชื่อของ นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่งภายหลังจากการประชุมรัฐสภาได้มีการสรุปผลโหวตเห็นชอบ นาย
เศรษฐา ถึง 482 เสียง
โดย 1 ในนโยบายที่ พรรคเพื่อไทย ได้นำเสนอและสัญญาว่าจะนำมาใช้ในรัฐบาลชุดใหม่คือ การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 10,000 บาท
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง ตลาดสดภาษีซุง ตลาดที่ใหญ่สุดใน จ.ชัยนาท พบว่าประชาชนบางส่วน ไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดังกล่าว
นาง
วันดี ขาวสนิท แม่ค้าในตลาด กล่าวว่า การแจกเงิน หากแจกจริงตามที่สัญญาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อยากให้แก้ไขปัญหาที่คาราคาซังเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็น ค่าไฟ ค่าน้ำ น้ำมันแพง อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพื้นฐาน ก่อนที่จะเอาเงินมาถลุง มาแจกคนละ 10,000 บาท การแจกเงินใคร ๆ ก็ชอบแต่ต้องดูวาระ ดูเวลาให้ดีก่อนที่จะแจก
น.ส.
ภัทรพร พ้นภัย แม่ค้าขายผักในตลาด กล่าวว่า ตอนนี้น้ำมันแพง ค่าขนส่งก็แพงตาม ของทุกอย่างขยับขึ้นราคาวันเว้นวัน อยากให้มาช่วยเรื่องค่าน้ำมัน ตรึงราคาไว้ ทำให้ค่าใช้จ่ายรายวันลดก่อน หากทำตรงนี้ได้ คนจะสามารถลืมตาอ้าปากได้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ร้านค้าทุกร้านต่างก็เงียบไปตาม ๆ กัน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี
ส่งเสียงวอนกลางฝนพรำ ขอ 50,000 ชื่อให้ทันพรุ่งนี้ หลัง กกต.แจ้งปุบปับ ไม่รับชื่อออนไลน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4145805
ส่งเสียงวอนกลางฝนพรำ ขอ 50,000 ชื่อให้ทันพรุ่งนี้ หลัง กกต.แจ้งปุบปับ ไม่รับชื่อออนไลน์
สืบเนื่อง กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ จัดแคมเปญ “
เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รณรงค์ที่ขับเคลื่อนโดยหลายกลุ่ม องค์กร อาทิ โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชาชน หรือไอลอว์ (iLaw), คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาช (ครช.) ตั้งเป้าหมายเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 50,000 ชื่อ เพื่อเสนอคำถามสำหรับการทำประชามติ ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อผลักดันให้เกิดการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ นั้น
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวบรรยากาศเวลา 16.00 น. ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญเดินหน้าตั้งโต๊ะล่ารายชื่อในแคมเปญ “
เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall โดยตั้งอยู่หน้าประทางเข้าหอศิลป์ BACC มี นาย
ณัชปกร นามเมือง หรือ
ถา ไอลอว์,
สิรภพ อัตโตหิ หรือ
แรปเตอร์ กลุ่มเสรีเทยพลัส และ นายรัฐภูมิ เลิศไพจิตร หรือ เติร์ด โฆษกกลุ่มวีโว่ ร่วมเป็นอาสาสมัครอำนวยความสะดวกประชาชน พร้อมกล่าวเชิญชวนร่วมลงชื่อผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นระยะ
ต่อมาเวลา 16.30 น. ประชาชน นิสิต นักศึกษา พนักงานออฟฟิศที่สัญจรผ่านย่านสยามและแยกปทุมวันทยอยแวะเวียนมาร่วมลงชื่ออย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางฝนที่โปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนมากเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งผู้ที่มาร่วมลงชื่อไม่ต้องใช้บัตรประชาชนยืนยันตัวตน เพียงกรอกชื่อด้วยปากกาที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ และเลขบัตรประจำตัวประชาชน ลงบนกระดาษ
สิรภพ หรือ
แรปเตอร์ กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงว่า ขอเวลาไม่เกิน 2 นาที มีปากกาให้พร้อม มาร่วมลงชื่อเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
“
สามารถมาลงชื่อได้ที่บริเวณลานด้านล่างสกายวอล์กหอศิลป์ ยืนยัน ปลอดภัย ไม่มีอะไรตามไปหลังจากที่ท่านได้ลงชื่อ
“
ไม่มีปากกา เรามีให้ มาตรงนี้ได้เลยหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ ถ้าใครมีความกังวลว่าจะมีผลอะไรหรือเปล่า ยืนยันว่าไม่มีผลอะไรตามมาทางกฎหมาย ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที” สิรภพกล่าว
ทั้งนี้ หลังจากเปิดตัวแคมเปญไปเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมตั้งบูธลงชื่อตามจุดต่างๆ ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และภูมิภาค มากกว่า 100 แห่ง รวมถึงช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์
http://conforall.com กระทั่ง (22 ส.ค.) มียอดผู้ร่วมลงรายชื่อแล้วกว่า 57,800 รายนั้น ต่อมา กกต.แจ้งว่าไม่สามารถนำรายชื่อที่รวบรวมผ่านช่องทางออนไลน์ไปเสนอคำถามประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ โดยให้เหตุผลว่าการลงชื่อผ่านเว็บไซต์และพิมพ์ออกมาเป็นแบบฟอร์มนำส่ง กกต.ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก กกต.ไม่อยู่ภายใต้การกำกับ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มาตรา 4 เพราะเป็นองค์กรอิสระ แตกต่างจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมายอื่นๆ ที่สามารถใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ได้
ส่งผลให้รายชื่อทั้ง 57,800 กว่ารายชื่อของประชาชน จะถูกลดหายไปมากกว่า 40,000 รายชื่อ ทำให้จำนวนรายชื่อที่ต้องใช้สำหรับการเข้าชื่อเสนอคำถามประชามติต่อรัฐบาลให้ทันการประชุม ครม.นัดแรกอาจไม่ถึง 50,000 รายชื่อที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย จึงมีการระดมอาสาสมัคร ขอแรงประชาชนร่วมกันลงรายชื่อใหม่อีกครั้งบนกระดาษตามจุดต่างๆ ที่มีการตั้งโต๊ะ ภายใน 3 วัน โดยกำหนดวันที่ 25 สิงหาคม เป็นวันสุดท้าย เพื่อให้ทันยื่นก่อนมีการประชุมคณะรัฐมนตรี
ก้าวไกล เดินหน้ายื่น กม.เปลี่ยนประเทศอีก 4 ชุด ‘ปฏิรูประบบภาษี-ที่ดิน-คืนชีวิตชาวประมง-คุ้มครองสิทธิแรงงาน’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4145093
ก้าวไกล เดินหน้ายื่น กม.เปลี่ยนประเทศอีก 4 ชุด ‘ปฏิรูประบบภาษี-ที่ดิน-คืนชีวิตชาวประมง-คุ้มครองสิทธิแรงงาน’ หวังยกคุณภาพชีวิต ปชช.
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่รัฐสภา ส.ส. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นำโดย นาย
เซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นาย
ศักดินัย นุ่มหนู ส.ส.ตราด พร้อมด้วย ส.ส.พรรคก้าวไกลในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลและทำการประมง ร่วมแถลงข่าวเสนอร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศ จำนวน 4 ชุด รวม 10 ฉบับ ได้แก่ ชุดกฎหมายปฏิรูประบบภาษี 3 ฉบับ ชุดกฎหมายปฏิรูปที่ดิน 2 ฉบับ ชุดกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงาน 4 ฉบับ และชุดกฎหมายคืนชีวิตชาวประมง 1 ฉบับ
นาย
พริษฐ์กล่าวว่า ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าพรรค ก.ก. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์และพร้อมทำงานเชิงรุก คือไม่เพียงแต่ตรวจสอบทักท้วงการทำงานของรัฐบาล ที่เราคิดว่าไม่ตอบโจทย์ประเทศ แต่จะทำงานเชิงรุกในการผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลง ที่เราได้นำเสนอต่อพี่น้องประชาชนผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งวิธีหนึ่งที่สามารถผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงได้ คือการเสนอชุดกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภา
“
จำนวน ส.ส.ก้าวไกล 150 คน หากกฎหมายที่เราเสนอได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส. อีก 100 คนขึ้นไป จะทำให้กฎหมายนั้นผ่านสภา นโยบายหลายอย่างที่เราสื่อสารกับพี่น้องประชาชนจะเป็นจริงได้ แม้พรรคก้าวไกลไม่ได้มีอำนาจฝ่ายบริหาร” นาย
พริษฐ์กล่าว
นาย
พริษฐ์กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้พรรค ก.ก. ได้ยื่นชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศอย่างต่อเนื่อง วันนี้ยื่นเพิ่มเติมอีก 4 ชุด คือ (1) ชุดปฏิรูประบบภาษี ให้รัฐหารายได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการเก็บภาษีที่ดินแบบรวมแปลง (2) ชุดปฏิรูปที่ดิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวาระการปฏิรูปที่ดินที่พรรคเสนอในช่วงการเลือกตั้ง หนึ่งในนั้นคือร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดอย่างเป็นธรรม โดยวันนี้เสนอร่างกฎหมายเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีร่างกฎหมายปฏิรูปที่ดินฉบับอื่นๆ ที่จะเสนอในครั้งต่อไป (3) ชุดกฎหมายเกี่ยวกับการประมง ซึ่งพรรค ก.ก. เสนอตั้งแต่สภาชุดที่แล้วแต่ค้างการพิจารณาอยู่ ดูแนวโน้มว่า ครม.ชุดใหม่จะยืนยันร่างดังกล่าวไม่ทัน เราจึงยื่นร่างกฎหมายประมงเข้าสู่สภาอีกครั้ง และ (4) ชุดคุ้มครองสิทธิแรงงาน
นาย
ศักดินัยกล่าวถึงชุดกฎหมายประมงว่า ในสภาชุดที่แล้วได้มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาของพี่น้องชาวประมง จนถึงวันนี้ความเดือดร้อนยังไม่คลี่คลาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยื่นกฎหมายเข้าไปใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ปัญหาของพี่น้องประมงทั้ง 22 จังหวัดทั่วประเทศได้รับการดูแลแก้ไข โดยในแง่กระบวนการ พี่น้องชาวประมงได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในร่างกฎหมายฉบับนี้
นาย
เซียกล่าวว่า พรรค ก.ก. มีความตั้งใจผลักดันกฎหมายที่เราได้นำเสนอต่อประชาชน แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้พี่น้องแรงงานมีสิทธิในการรวมตัว การเจรจาต่อรอง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีชั่วโมงการทำงานน้อยลง และผู้สูงอายุจะมีหลักประกันรายได้อย่างเพียงพอ โดยกฎหมายเหล่านี้พี่น้องแรงงานได้มีส่วนร่วมในการเสนอตั้งแต่ต้น และขอยืนยันว่าพรรค ก.ก. จะผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นจริง
จากนั้น เครือข่ายผู้ใช้แรงงานกลุ่มต่างๆ ซึ่งร่วมการแถลงข่าว กล่าวสนับสนุนชุดกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานของพรรค ก.ก. โดยตัวแทนจากสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างระบุว่า กฎหมายเดิม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2518 ไม่สอดคล้องกับการจ้างงานในปัจจุบัน ร่างกฎหมายสหภาพแรงงานที่เสนอในวันนี้จึงมีความสำคัญ พูดถึงประชาธิปไตยในที่ทำงาน ทำให้คนทำงานมีสิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพ มีอำนาจในการต่อรอง
ขณะที่ตัวแทนกลุ่มแรงงานนอกระบบ สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้าของพรรรค ก.ก. โดยระบุว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปัจจุบัน ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ไม่สามารถสร้างความมั่นคงในชีวิต บำนาญถ้วนหน้าของพรรค ก.ก. จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ส่วนตัวแทนแรงงานจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวสนับสนุนนโยบายลาคลอด 180 วัน ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูสุขภาพของผู้หญิง สอดคล้องกับหลักสากลขององค์การอนามัยโลก
ผู้นำมาเลย์โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ ลั่น พร้อมร่วมมือไทยในทุกด้าน
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4145814
ผู้นำมาเลย์โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ ลั่น พร้อมร่วมมือไทยในทุกด้าน
ทำเนียบนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียได้เผยแพร่วิดีโอสั้น ขณะที่นาย
อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียโทรศัพท์แสดงความยินดีต่อนาย
เศรษฐา ทวีสิน ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรี
อิบราฮิมของมาเลเซียกล่าวผ่านทางโทรศัพท์กับนาย
เศรษฐาว่า ขอแสดงความยินดีกับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ประเทศไทยมีความสำคัญกับประเทศมาเลเซียอย่างมากและเขาตั้งตารอที่จะได้ประกาศความร่วมมือกับไทยทั้งในด้านการค้า การลงทุน การทูต และในทุกๆด้านเท่าที่จะเป็นไปได้
ด้านนายกรัฐมนตรี
เศรษฐาได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี
อิบราฮิมของมาเลเซีย และเขาตั้งตารอที่จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสพบกับนายอิบราฮิมเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี
เศรษฐาได้บอกกับนายกรัฐมนตรี
อิบราฮิมของมาเลเซียว่า เขาอาจไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 43 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 7 กันยายนนี้ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียได้ เนื่องจากการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อาจยังไม่เสร็จสิ้น และยังไม่แน่ชัดว่าเขาจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ได้หรือไม่ แต่นาย
เศรษฐาได้ให้คำมั่นว่าจะพยายามไปร่วมการประชุมดังกล่าวให้ได้
นายกรัฐมนตรีอิบราฮิมกล่าวปิดท้ายว่า เขาตั้งตารอที่จะได้พบกับนายกรัฐมนตรี
เศรษฐาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเร็
JJNY : 5in1 จี้แก้ค่าไฟ-น้ำมันแพง│ส่งเสียงกลางฝนพรำ│ก้าวไกลเดินหน้ายื่นกม.│ผู้นำมาเลย์ยินดีเศรษฐา│เชื่อปูตินสั่งปลิดชีพ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7831371
แม่ค้า จี้รัฐบาล ลดค่าไฟ-น้ำมันแพง ให้ได้ก่อนแจก ‘เงินดิจิทัล’ 10,000 เผยเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานาน และเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรแก้ไขก่อน
24 ส.ค. 2566 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่ได้มีการประชุมรัฐสภา ถึงวาระของการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญไทยที่มีการเสนอชื่อของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่งภายหลังจากการประชุมรัฐสภาได้มีการสรุปผลโหวตเห็นชอบ นายเศรษฐา ถึง 482 เสียง
โดย 1 ในนโยบายที่ พรรคเพื่อไทย ได้นำเสนอและสัญญาว่าจะนำมาใช้ในรัฐบาลชุดใหม่คือ การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 10,000 บาท
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง ตลาดสดภาษีซุง ตลาดที่ใหญ่สุดใน จ.ชัยนาท พบว่าประชาชนบางส่วน ไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดังกล่าว
นางวันดี ขาวสนิท แม่ค้าในตลาด กล่าวว่า การแจกเงิน หากแจกจริงตามที่สัญญาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อยากให้แก้ไขปัญหาที่คาราคาซังเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็น ค่าไฟ ค่าน้ำ น้ำมันแพง อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพื้นฐาน ก่อนที่จะเอาเงินมาถลุง มาแจกคนละ 10,000 บาท การแจกเงินใคร ๆ ก็ชอบแต่ต้องดูวาระ ดูเวลาให้ดีก่อนที่จะแจก
น.ส.ภัทรพร พ้นภัย แม่ค้าขายผักในตลาด กล่าวว่า ตอนนี้น้ำมันแพง ค่าขนส่งก็แพงตาม ของทุกอย่างขยับขึ้นราคาวันเว้นวัน อยากให้มาช่วยเรื่องค่าน้ำมัน ตรึงราคาไว้ ทำให้ค่าใช้จ่ายรายวันลดก่อน หากทำตรงนี้ได้ คนจะสามารถลืมตาอ้าปากได้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ร้านค้าทุกร้านต่างก็เงียบไปตาม ๆ กัน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี
ส่งเสียงวอนกลางฝนพรำ ขอ 50,000 ชื่อให้ทันพรุ่งนี้ หลัง กกต.แจ้งปุบปับ ไม่รับชื่อออนไลน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4145805
ส่งเสียงวอนกลางฝนพรำ ขอ 50,000 ชื่อให้ทันพรุ่งนี้ หลัง กกต.แจ้งปุบปับ ไม่รับชื่อออนไลน์
สืบเนื่อง กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ จัดแคมเปญ “เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รณรงค์ที่ขับเคลื่อนโดยหลายกลุ่ม องค์กร อาทิ โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชาชน หรือไอลอว์ (iLaw), คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาช (ครช.) ตั้งเป้าหมายเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 50,000 ชื่อ เพื่อเสนอคำถามสำหรับการทำประชามติ ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อผลักดันให้เกิดการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ นั้น
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวบรรยากาศเวลา 16.00 น. ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญเดินหน้าตั้งโต๊ะล่ารายชื่อในแคมเปญ “เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” #conforall โดยตั้งอยู่หน้าประทางเข้าหอศิลป์ BACC มี นายณัชปกร นามเมือง หรือ ถา ไอลอว์, สิรภพ อัตโตหิ หรือ แรปเตอร์ กลุ่มเสรีเทยพลัส และ นายรัฐภูมิ เลิศไพจิตร หรือ เติร์ด โฆษกกลุ่มวีโว่ ร่วมเป็นอาสาสมัครอำนวยความสะดวกประชาชน พร้อมกล่าวเชิญชวนร่วมลงชื่อผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นระยะ
ต่อมาเวลา 16.30 น. ประชาชน นิสิต นักศึกษา พนักงานออฟฟิศที่สัญจรผ่านย่านสยามและแยกปทุมวันทยอยแวะเวียนมาร่วมลงชื่ออย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางฝนที่โปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนมากเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งผู้ที่มาร่วมลงชื่อไม่ต้องใช้บัตรประชาชนยืนยันตัวตน เพียงกรอกชื่อด้วยปากกาที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ และเลขบัตรประจำตัวประชาชน ลงบนกระดาษ
สิรภพ หรือแรปเตอร์ กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงว่า ขอเวลาไม่เกิน 2 นาที มีปากกาให้พร้อม มาร่วมลงชื่อเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
“สามารถมาลงชื่อได้ที่บริเวณลานด้านล่างสกายวอล์กหอศิลป์ ยืนยัน ปลอดภัย ไม่มีอะไรตามไปหลังจากที่ท่านได้ลงชื่อ
“ไม่มีปากกา เรามีให้ มาตรงนี้ได้เลยหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ ถ้าใครมีความกังวลว่าจะมีผลอะไรหรือเปล่า ยืนยันว่าไม่มีผลอะไรตามมาทางกฎหมาย ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที” สิรภพกล่าว
ทั้งนี้ หลังจากเปิดตัวแคมเปญไปเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมตั้งบูธลงชื่อตามจุดต่างๆ ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และภูมิภาค มากกว่า 100 แห่ง รวมถึงช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ http://conforall.com กระทั่ง (22 ส.ค.) มียอดผู้ร่วมลงรายชื่อแล้วกว่า 57,800 รายนั้น ต่อมา กกต.แจ้งว่าไม่สามารถนำรายชื่อที่รวบรวมผ่านช่องทางออนไลน์ไปเสนอคำถามประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ โดยให้เหตุผลว่าการลงชื่อผ่านเว็บไซต์และพิมพ์ออกมาเป็นแบบฟอร์มนำส่ง กกต.ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก กกต.ไม่อยู่ภายใต้การกำกับ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มาตรา 4 เพราะเป็นองค์กรอิสระ แตกต่างจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมายอื่นๆ ที่สามารถใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ได้
ส่งผลให้รายชื่อทั้ง 57,800 กว่ารายชื่อของประชาชน จะถูกลดหายไปมากกว่า 40,000 รายชื่อ ทำให้จำนวนรายชื่อที่ต้องใช้สำหรับการเข้าชื่อเสนอคำถามประชามติต่อรัฐบาลให้ทันการประชุม ครม.นัดแรกอาจไม่ถึง 50,000 รายชื่อที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย จึงมีการระดมอาสาสมัคร ขอแรงประชาชนร่วมกันลงรายชื่อใหม่อีกครั้งบนกระดาษตามจุดต่างๆ ที่มีการตั้งโต๊ะ ภายใน 3 วัน โดยกำหนดวันที่ 25 สิงหาคม เป็นวันสุดท้าย เพื่อให้ทันยื่นก่อนมีการประชุมคณะรัฐมนตรี
ก้าวไกล เดินหน้ายื่น กม.เปลี่ยนประเทศอีก 4 ชุด ‘ปฏิรูประบบภาษี-ที่ดิน-คืนชีวิตชาวประมง-คุ้มครองสิทธิแรงงาน’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4145093
ก้าวไกล เดินหน้ายื่น กม.เปลี่ยนประเทศอีก 4 ชุด ‘ปฏิรูประบบภาษี-ที่ดิน-คืนชีวิตชาวประมง-คุ้มครองสิทธิแรงงาน’ หวังยกคุณภาพชีวิต ปชช.
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่รัฐสภา ส.ส. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นำโดย นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายศักดินัย นุ่มหนู ส.ส.ตราด พร้อมด้วย ส.ส.พรรคก้าวไกลในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลและทำการประมง ร่วมแถลงข่าวเสนอร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศ จำนวน 4 ชุด รวม 10 ฉบับ ได้แก่ ชุดกฎหมายปฏิรูประบบภาษี 3 ฉบับ ชุดกฎหมายปฏิรูปที่ดิน 2 ฉบับ ชุดกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงาน 4 ฉบับ และชุดกฎหมายคืนชีวิตชาวประมง 1 ฉบับ
นายพริษฐ์กล่าวว่า ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าพรรค ก.ก. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์และพร้อมทำงานเชิงรุก คือไม่เพียงแต่ตรวจสอบทักท้วงการทำงานของรัฐบาล ที่เราคิดว่าไม่ตอบโจทย์ประเทศ แต่จะทำงานเชิงรุกในการผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลง ที่เราได้นำเสนอต่อพี่น้องประชาชนผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งวิธีหนึ่งที่สามารถผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงได้ คือการเสนอชุดกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภา
“จำนวน ส.ส.ก้าวไกล 150 คน หากกฎหมายที่เราเสนอได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส. อีก 100 คนขึ้นไป จะทำให้กฎหมายนั้นผ่านสภา นโยบายหลายอย่างที่เราสื่อสารกับพี่น้องประชาชนจะเป็นจริงได้ แม้พรรคก้าวไกลไม่ได้มีอำนาจฝ่ายบริหาร” นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้พรรค ก.ก. ได้ยื่นชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศอย่างต่อเนื่อง วันนี้ยื่นเพิ่มเติมอีก 4 ชุด คือ (1) ชุดปฏิรูประบบภาษี ให้รัฐหารายได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการเก็บภาษีที่ดินแบบรวมแปลง (2) ชุดปฏิรูปที่ดิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวาระการปฏิรูปที่ดินที่พรรคเสนอในช่วงการเลือกตั้ง หนึ่งในนั้นคือร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดอย่างเป็นธรรม โดยวันนี้เสนอร่างกฎหมายเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีร่างกฎหมายปฏิรูปที่ดินฉบับอื่นๆ ที่จะเสนอในครั้งต่อไป (3) ชุดกฎหมายเกี่ยวกับการประมง ซึ่งพรรค ก.ก. เสนอตั้งแต่สภาชุดที่แล้วแต่ค้างการพิจารณาอยู่ ดูแนวโน้มว่า ครม.ชุดใหม่จะยืนยันร่างดังกล่าวไม่ทัน เราจึงยื่นร่างกฎหมายประมงเข้าสู่สภาอีกครั้ง และ (4) ชุดคุ้มครองสิทธิแรงงาน
นายศักดินัยกล่าวถึงชุดกฎหมายประมงว่า ในสภาชุดที่แล้วได้มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาของพี่น้องชาวประมง จนถึงวันนี้ความเดือดร้อนยังไม่คลี่คลาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยื่นกฎหมายเข้าไปใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ปัญหาของพี่น้องประมงทั้ง 22 จังหวัดทั่วประเทศได้รับการดูแลแก้ไข โดยในแง่กระบวนการ พี่น้องชาวประมงได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในร่างกฎหมายฉบับนี้
นายเซียกล่าวว่า พรรค ก.ก. มีความตั้งใจผลักดันกฎหมายที่เราได้นำเสนอต่อประชาชน แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้พี่น้องแรงงานมีสิทธิในการรวมตัว การเจรจาต่อรอง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีชั่วโมงการทำงานน้อยลง และผู้สูงอายุจะมีหลักประกันรายได้อย่างเพียงพอ โดยกฎหมายเหล่านี้พี่น้องแรงงานได้มีส่วนร่วมในการเสนอตั้งแต่ต้น และขอยืนยันว่าพรรค ก.ก. จะผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นจริง
จากนั้น เครือข่ายผู้ใช้แรงงานกลุ่มต่างๆ ซึ่งร่วมการแถลงข่าว กล่าวสนับสนุนชุดกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานของพรรค ก.ก. โดยตัวแทนจากสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างระบุว่า กฎหมายเดิม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2518 ไม่สอดคล้องกับการจ้างงานในปัจจุบัน ร่างกฎหมายสหภาพแรงงานที่เสนอในวันนี้จึงมีความสำคัญ พูดถึงประชาธิปไตยในที่ทำงาน ทำให้คนทำงานมีสิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพ มีอำนาจในการต่อรอง
ขณะที่ตัวแทนกลุ่มแรงงานนอกระบบ สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้าของพรรรค ก.ก. โดยระบุว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปัจจุบัน ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ไม่สามารถสร้างความมั่นคงในชีวิต บำนาญถ้วนหน้าของพรรค ก.ก. จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ส่วนตัวแทนแรงงานจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวสนับสนุนนโยบายลาคลอด 180 วัน ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูสุขภาพของผู้หญิง สอดคล้องกับหลักสากลขององค์การอนามัยโลก
ผู้นำมาเลย์โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ ลั่น พร้อมร่วมมือไทยในทุกด้าน
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4145814
ผู้นำมาเลย์โทรยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ ลั่น พร้อมร่วมมือไทยในทุกด้าน
ทำเนียบนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียได้เผยแพร่วิดีโอสั้น ขณะที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียโทรศัพท์แสดงความยินดีต่อนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีอิบราฮิมของมาเลเซียกล่าวผ่านทางโทรศัพท์กับนายเศรษฐาว่า ขอแสดงความยินดีกับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ประเทศไทยมีความสำคัญกับประเทศมาเลเซียอย่างมากและเขาตั้งตารอที่จะได้ประกาศความร่วมมือกับไทยทั้งในด้านการค้า การลงทุน การทูต และในทุกๆด้านเท่าที่จะเป็นไปได้
ด้านนายกรัฐมนตรีเศรษฐาได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีอิบราฮิมของมาเลเซีย และเขาตั้งตารอที่จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสพบกับนายอิบราฮิมเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเศรษฐาได้บอกกับนายกรัฐมนตรีอิบราฮิมของมาเลเซียว่า เขาอาจไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 43 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 7 กันยายนนี้ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียได้ เนื่องจากการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อาจยังไม่เสร็จสิ้น และยังไม่แน่ชัดว่าเขาจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ได้หรือไม่ แต่นายเศรษฐาได้ให้คำมั่นว่าจะพยายามไปร่วมการประชุมดังกล่าวให้ได้
นายกรัฐมนตรีอิบราฮิมกล่าวปิดท้ายว่า เขาตั้งตารอที่จะได้พบกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเร็