JJNY : หนี้ครัวเรือนพุ่ง│วิโรจน์ ไม่สน ‘ดีลลับ’│ผู้ตรวจฯ ย้ำตรวจสอบรัฐสภา ครบองค์ประกอบ│รัสเซียรุกหนัก! โจมตีทางอากาศ

หนี้ครัวเรือนพุ่ง กู้ซื้อบ้านไม่ผ่านอื้อ 40%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4101378

หนี้ครัวเรือนพุ่ง กู้ซื้อบ้านไม่ผ่านอื้อ 40%

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลจากการเมืองวุ่น การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ยังไม่มีนโยบายใหม่ออกมา ส่งผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ล่าสุดกระทรวงการคลังปรับลดประมาณการจีดีพีของปี 2566 มาอยู่ที่ 3.5% อีกทั้งยังส่งผลถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย ในแง่ของกำลังซื้อโดยเฉพาะตลาดกลุ่มระดับล่างไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่ประสบปัญหากู้ซื้อบ้านไม่ผ่านมากถึง 30-40% จากสภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ยาก ส่วนกลุ่มระดับกลาง-บนไม่ได้รับผลกระทบมาก ดังนั้นขอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้โดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไป ซึ่งจริงๆเราหวังว่าเศรษฐกิจในปีนี้มันน่าจะดีกว่านี้ แต่ไม่เป็นไปตามที่คาด อย่างไรก็ตามถ้าการเมืองจบเร็ว มีรัฐบาลใหม่ หวังเศรษฐกิจอาจดีขึ้นในไตรมาส 4 นี้

นายปิยะกล่าวว่า ยังมีอีกปัจจัยที่ต้องจับตา คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี ตามธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ย่อมส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในแง่ของผู้ซื้อบ้านจะกู้ยากขึ้น เพราะมีอัตราการผ่อนชำระเพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการซ้ำเติมกลุ่มระดับล่างแย่มากขึ้นจากยอดกู้ไม่ผ่านจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันมีผลทางจิตวิทยาอาจทำให้คนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน เพราะกังวลต่อภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น




วิโรจน์ ไม่สน ‘ดีลลับ’ ลั่นภารกิจล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง ดีกว่าล้มเพราะไม่เชื่อใจกัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4103119

วิโรจน์ ไม่สน ‘ดีลลับ’ เชื่อมั่น 8 พรรคร่วม ลั่นภารกิจล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง ดีกว่าล้มเพราะไม่เชื่อใจกัน
 
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @wirojlak ยืนยันว่าไม่สนใจ “ดีลลับ” หรือข่าวลือใดๆ อีกทั้งไม่เคยระแวงความสัมพันธ์ของ 8 พรรคร่วม

นายวิโรจน์ระบุว่า 
 
ขอตอบตรงนี้นะครับว่า ดีลลับ ข่าวลือ ผมไม่สนใจเลย เมื่อทำงานกันเป็นทีม ผมก็จะเชื่อใจไม่หวั่นไหว ต่อให้สุดท้ายผมจะถูกหลอก ถูกหักหลัง ถูกมองว่าโง่ จนถูกชิงทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่สิ่งที่จะชิงจากผมไปไม่ได้เลยคือความซื่อตรงและเกียรติภูมิ เดินไปไหนก็เดินคอตั้งหลังตรง กล้าสู้หน้าทุกคน
 
ดังนั้น ไม่ต้องมาสมมุติ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ แล้วมาถามผมเลยครับ ผมเชื่อใจภาคี 8 พรรคร่วม มิเคยเสื่อมคลาย ไม่เคยระแวง ไม่เคยลังเล จุดยืนผมยังคงซื่อตรง ทุกย่างก้าว อยู่ในลู่ ที่เคารพเชื่อใจเพื่อนร่วมทีมเสมอครับ และขอให้กำลังใจเพื่อนๆ ในภาคี 8 พรรคร่วมทุกคนอยู่เสมอครับ

ถ้าสุดท้ายภารกิจมันต้องล้มเหลว เพราะถูกหักหลังจริงๆ มันก็ยังดีกว่าการที่มันล้มเหลว เพราะความไม่เชื่อใจกันเองภายในทีม
การล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง คนที่ทรยศ วันข้างหน้ามีแต่จะดาวดิ้นสิ้นอนาคต ส่วนคนที่ซื่อตรง ยังไงก็จะมีมือของผู้คนช่วยดึง ช่วยพยุง ให้ลุกขึ้นสู้ต่อ อย่างองอาจ

ผมเชื่อมั่นในทีมมาโดยตลอด เวลามองตาเพื่อน แววตาผมยังแน่วแน่ เชื่อใจกันอยู่เสมอครับ

https://twitter.com/wirojlak/status/1684777241446854656
 


ผู้ตรวจฯ ย้ำตรวจสอบรัฐสภา ครบองค์ประกอบ ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4103145

ผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำตรวจสอบรัฐสภาครบองค์ประกอบ ส่งไม้ต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ ยันใช้อำนาจอย่างเที่ยงธรรมและเป็นกลาง
 
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้วินิจฉัยและเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่สมาชิกรัฐสภาและประชาชนยื่นเรื่องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่ามติของรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน นอกจากนี้ ในคำร้องเรียนได้มีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการชั่วคราว โดยขอให้มีคำสั่งชะลอการให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งนอกจากบทบาท หน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 มาตรา 22 แล้วนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่และอำนาจอื่นที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 และมาตรา 48 เมื่อบุคคลถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้จากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ ซึ่งการละเมิดนั้นเป็นผลจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ผู้ถูกละเมิดสิทธิสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินก่อน โดยให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ผู้ร้องเรียนจึงมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาต่อไป
 
พ.ต.ท.กีรป กล่าวต่อว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วินิจฉัยว่าคำร้องดังกล่าว เข้าองค์ประกอบ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ในการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ คือ ผู้ร้องเรียนเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยตรง และได้รับหรืออาจจะได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย และมีการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพที่เกิดจากหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานที่ใช้อำนาจรัฐ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการร้องเรียน การกระทำของรัฐสภาที่ได้มติตีความว่า การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในรอบที่สอง เป็นญัตติทั่วไป ต้องห้ามนำเสนอญัตติซ้ำอีก นั้น เป็นมติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย รัฐสภาจึงถือเป็น หน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ หากการกระทำของรัฐสภาละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐธรรมนูญ และมติตีความของรัฐสภาที่เกิดขึ้น ก็มีผลเป็นการนำข้อบังคับการประชุมไปทำให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
มาตรา มาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 และการดำเนินการของรัฐสภา ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง ที่กำหนดไว้ว่า รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ดังนั้น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน ประกอบกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 จึงเห็นว่าเข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้เป็นที่ยุติ
 
ที่สำคัญในคำร้องเรียนผู้ร้องเรียนได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งชะลอการให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณามาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยได้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 71 โดยผู้ร้องเรียนส่วนหนึ่งเป็นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และได้ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นการแสดงเจตจำนงที่จะได้บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากมติตีความดังกล่าวของรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิของผู้ร้องเรียน ทำให้บุคคลที่ผู้ร้องเรียนแสดงเจตจำนงผ่านการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับการพิจารณาเห็นชอบโดยสมาชิกรัฐสภาเพียงครั้งเดียวในสมัยประชุมเดียวกัน และผลของการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของรัฐสภายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงกระทบต่อความมั่นคงแห่งสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนรวมถึงประชาชนทั่วไป และยังสร้างแนวบรรทัดฐานที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่บุคคลที่ได้รับการเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในครั้งแรกแล้วไม่ได้รับความเห็นชอบจะไม่สามารถเสนอให้รัฐสภาพิจารณาซ้ำได้อีก ทำให้กระบวนการคัดเลือกแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญขัดต่อหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของประเทศ ดังนั้น หากไม่มีการยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน ย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาต่อสิทธิของผู้ร้องเรียน
 
พ.ต.ท.กีรป กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ร้องเรียนซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่โดยตรงในการเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี หากมติตีความของรัฐสภาข้างต้นขัดต่อรัฐธรรมนูญย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของผู้ร้องเรียน ทำให้ผู้ร้องเรียนลงคะแนนเห็นชอบบุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียงครั้งเดียวในสมัยประชุมเดียวกัน และผลของการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และโดยที่นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหารอันถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีหน้าที่จัดตั้งคณะรัฐมนตรีและบริหารราชการแผ่นดิน และจะต้องนำความกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง หากรัฐสภาลงมติให้ความเห็นชอบบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แต่ต่อมาภายหลังแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำของรัฐสภาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่ผู้ร้องเรียนก็ไม่อาจจะใช้สิทธิลงคะแนนเลือกบุคคลที่ได้เคยเสนอชื่อต่อรัฐสภาได้อีกต่อไป ดังนั้น จะก่อให้เกิดความเสียหายเช่นเดียวกัน
 
เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุอันมีน้ำหนักรับฟังได้ มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ และเป็นคำขอที่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 71 จึงเห็นพ้องกับคำร้องเรียนที่จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณามีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งก็เป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่