พนักงานที่บริษัทเอาโน๊ตบุ๊คบริษัทไปจำนำ บริษัทไล่ออก แต่พนง.กลับไปฟ้องศาลแรงงาน
บริษัทมารู้ที่หลังว่าน้องคนนี้เอาโน๊ตบุ๊คไปจำนำจากข้อมูลจากการบอกเล่าของพนักงานคนนึง และก่อนหน้านี้น้องมีการมายืมเครื่องสำรองของบริษัทไปใช้งานมื่เอมีการสอบถามข้อเท็จจริงน้องก็ปฏิเสธว่าไม่ได้นำมาจำนำ บริษัทไม่เชื่อสิ่งที่น้องพูด เพราะจากหลักฐานการโอนเงินของร้านรับจำนำและพนักงานมีมากกว่าเลยทำการเลิกจ้างเพราะน้องไม่ยอมเซ็นต์ใบลาออก
หลังจากนั้น พนักงานไปฟ้องศาลแรงงาน เรียกร้อง ค่าเสียหาย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าผิดสัญญาจ้าง ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาศาลได้นัดไกล่เกลี่ยแต่ทางบริษัทยืนยันที่จะไม่ยอมจ่าย เพราะบริษัทเลิกจ้างจากพฤติกรรมที่ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
และบริษัทก็จะทำการฟ้องร้องในคดียักยอกทรัพย์กับพนักงานคนนั้น
หลักฐานและพยานบริษัทได้นำแสดงต่อศาลแรงงาน
1.พนักงานในบริษัทหลายคน (คนที่น้องเคยหยิบยืมเงิน) 2.พนักงานคนที่น้องเคยช่วยน้องเค้าโอนเงินไปไถ่โน๊ตบุ๊คออกจากร้าน 3.สลิปการโอนเงินของน้องที่โอนไปถ่ายโน๊ตบุ๊ค 4.เจ้าของร้านรับจำนำ
แต่ในมุมมองของทีมงานกฎหมายขอบริษัทมีข้อกังวลเรื่องหลักฐานที่จะเอาผิดน้องในคดียักยอกทรัพย์ เพราะหลักฐานเท่าที่มีถือว่าน้อยว่า
หลักฐานสำคัญที่ไม่มีเช่น 1.กล้องวงจรปิดจากร้าน 2.ใบรับจำนำที่แสดงยี่ห้อเครื่องและรหัสรุ่น หมายเลขเครื่อง
ซึ่งเป็นการยากมากที่จะบอกได้ว่าเครื่องเป็นของบริษัทไหมที่เอาไปจำนำ เพราะน้องเค้าบอกว่าเครื่องที่เอาไปจำนำไม่ใช่เครื่องของบริษัท และถึงแม้บริษัทจะมีพยานคือร้านรับจำนำ ร้านก็คงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คบริษัท เพราะเครื่องไม่มีสัญลักษณ์อะไรที่ระบุเลย
เลยทำให้บริษัทกังวลว่าจะฟ้องขอหายักยอกทรัพย์กับน้องเค้าดีไหม 1. ถ้าฟ้องไปแล้วยกฟ้องแล้วน้องเค้าฟ้องกลับถึงขั้นมีคนติดคุกได้เลยในข้อหาฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ 2.ตามข้อกฎหมายสามารถฟ้องยักยอกทรัพย์ได้ไหมเพราะวันที่เลิกจ้างโน๊ตบุ๊คก็อยู่ที่บริษัทไม่ได้อยู่ที่ร้านจำนำ
จากข้อ2นั้น ทีมกฎหมายบริษัทบอกว่าฟ้องได้แต่ทางLegal consultant กลับบอกว่าทรัพย์สินที่ให้ลูกจ้างยืมใช้งานแล้วมีการมอบคืนให้ตามกำหนดนั้นไม่สามารถแจ้งเอาผิดยักอกทรัพย์ได้
ทำให้ตอนนี้บริษัทยังไม่กล้าที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับพนักงานคนนี้
ในความคิดของผมมองว่าหลักฐานี่บริษัทมีพิสูจน์ยากมากว่าเป็นเครื่องเดียวกันจริงๆ ถึงแม้ว่าไทม์ไลน์วันที่ยืมโน๊ตบุ๊คไปกับวันที่เอาโน๊ตบุ๊คออกะใกล้เคียงกันก็ตาม
ส่วนเรืองข้อกฎหมายว่าแจ้งยักยอกทรัพย์ได้ไหมนี้ก็50/50 แต่โดยส่วนตัวไม่คิดว่าไม่น่าแจ้งความได้และโอกาสยกคำร้องสูงมาก
*สงสัยเพิ่มเติม สมมุติถ้าบริษัทฟ้องน้องคดีอาญา ศาลแรงงานจะรอคดีอาญาก่อนไหม หรือว่า2ศาลนี้ไม่ได้ยึดโยงกัน ศาลแรงงานตัดสินไปตามหลักฐานเองหรือเปล่าครับ เพราะเท่าที่
ทราบศาลแรงงานค่อนข้างจะมีกรอบเวลาตัดสินที่เร็วมากๆจำไม่ได้ว่า3-6เดือนหรือเปล่า
ท่านนักกฎหมาย ผู้มีความรู้ทุกท่าน กรุณาช่วยไขข้อข้องใจกฎด้วยครับ เพราะผมคือคนนึงที่ต้องไปเป็นพยานกวลัวตัวเองจะซวยไปด้วย
พนักงานที่บริษัทเอาโน๊ตบุ๊คบริษัทไปจำนำ บริษัทไล่ออก แต่พนง.กลับไปฟ้องศาลแรงงาน
หลังจากนั้น พนักงานไปฟ้องศาลแรงงาน เรียกร้อง ค่าเสียหาย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าผิดสัญญาจ้าง ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาศาลได้นัดไกล่เกลี่ยแต่ทางบริษัทยืนยันที่จะไม่ยอมจ่าย เพราะบริษัทเลิกจ้างจากพฤติกรรมที่ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
และบริษัทก็จะทำการฟ้องร้องในคดียักยอกทรัพย์กับพนักงานคนนั้น
หลักฐานและพยานบริษัทได้นำแสดงต่อศาลแรงงาน
1.พนักงานในบริษัทหลายคน (คนที่น้องเคยหยิบยืมเงิน) 2.พนักงานคนที่น้องเคยช่วยน้องเค้าโอนเงินไปไถ่โน๊ตบุ๊คออกจากร้าน 3.สลิปการโอนเงินของน้องที่โอนไปถ่ายโน๊ตบุ๊ค 4.เจ้าของร้านรับจำนำ
แต่ในมุมมองของทีมงานกฎหมายขอบริษัทมีข้อกังวลเรื่องหลักฐานที่จะเอาผิดน้องในคดียักยอกทรัพย์ เพราะหลักฐานเท่าที่มีถือว่าน้อยว่า
หลักฐานสำคัญที่ไม่มีเช่น 1.กล้องวงจรปิดจากร้าน 2.ใบรับจำนำที่แสดงยี่ห้อเครื่องและรหัสรุ่น หมายเลขเครื่อง
ซึ่งเป็นการยากมากที่จะบอกได้ว่าเครื่องเป็นของบริษัทไหมที่เอาไปจำนำ เพราะน้องเค้าบอกว่าเครื่องที่เอาไปจำนำไม่ใช่เครื่องของบริษัท และถึงแม้บริษัทจะมีพยานคือร้านรับจำนำ ร้านก็คงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คบริษัท เพราะเครื่องไม่มีสัญลักษณ์อะไรที่ระบุเลย
เลยทำให้บริษัทกังวลว่าจะฟ้องขอหายักยอกทรัพย์กับน้องเค้าดีไหม 1. ถ้าฟ้องไปแล้วยกฟ้องแล้วน้องเค้าฟ้องกลับถึงขั้นมีคนติดคุกได้เลยในข้อหาฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ 2.ตามข้อกฎหมายสามารถฟ้องยักยอกทรัพย์ได้ไหมเพราะวันที่เลิกจ้างโน๊ตบุ๊คก็อยู่ที่บริษัทไม่ได้อยู่ที่ร้านจำนำ
จากข้อ2นั้น ทีมกฎหมายบริษัทบอกว่าฟ้องได้แต่ทางLegal consultant กลับบอกว่าทรัพย์สินที่ให้ลูกจ้างยืมใช้งานแล้วมีการมอบคืนให้ตามกำหนดนั้นไม่สามารถแจ้งเอาผิดยักอกทรัพย์ได้
ทำให้ตอนนี้บริษัทยังไม่กล้าที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับพนักงานคนนี้
ในความคิดของผมมองว่าหลักฐานี่บริษัทมีพิสูจน์ยากมากว่าเป็นเครื่องเดียวกันจริงๆ ถึงแม้ว่าไทม์ไลน์วันที่ยืมโน๊ตบุ๊คไปกับวันที่เอาโน๊ตบุ๊คออกะใกล้เคียงกันก็ตาม
ส่วนเรืองข้อกฎหมายว่าแจ้งยักยอกทรัพย์ได้ไหมนี้ก็50/50 แต่โดยส่วนตัวไม่คิดว่าไม่น่าแจ้งความได้และโอกาสยกคำร้องสูงมาก
*สงสัยเพิ่มเติม สมมุติถ้าบริษัทฟ้องน้องคดีอาญา ศาลแรงงานจะรอคดีอาญาก่อนไหม หรือว่า2ศาลนี้ไม่ได้ยึดโยงกัน ศาลแรงงานตัดสินไปตามหลักฐานเองหรือเปล่าครับ เพราะเท่าที่
ทราบศาลแรงงานค่อนข้างจะมีกรอบเวลาตัดสินที่เร็วมากๆจำไม่ได้ว่า3-6เดือนหรือเปล่า
ท่านนักกฎหมาย ผู้มีความรู้ทุกท่าน กรุณาช่วยไขข้อข้องใจกฎด้วยครับ เพราะผมคือคนนึงที่ต้องไปเป็นพยานกวลัวตัวเองจะซวยไปด้วย