ศาล ปค.เชียงใหม่พิพากษา นายกฯ- กก.สิ่งแวดล้อมละเลยปฏิบัติหน้าที่ ไม่แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
https://www.isranews.org/article/isranews-news/120057-isranews-PMMM.html
ศาลปกครองเชียงใหม่ชี้ นายกฯ-คณะกก.สิ่งแวดล้อมละเลยปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช้อำนาจยับยั้งสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5
ชี้ปัญหายังเกิดขึ้นทุกปีแถมยังทวีความรุนแรงขึ้น พิพากษาให้แก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด
-----------------------------------------------------------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาในคดีที่ นายสุชาติพิชัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจำเลยที่ 1 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานความผิดว่าไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ยับยั้งสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5
โดยคำสรุปของศาลปกครองระบุว่า
วินิจฉัยแล้วว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ละเลยต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ล่าช้าเกินสมควรในการป้องกัน บรรเทาและแก้ไขปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่สถานการณ์ปัญหาควันหรือฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่เกิดขึ้นในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ได้คลี่คลายลงแล้วตั้งแต่ช่วง เดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัญหาควันหรือ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ก็ยังคงเกิดขึ้นเป็นประจํา ในช่วงเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคมของทุกปีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น อันจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และเกิดผลกระทบต่อ คุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 43 กําหนดให้บุคคลและ ชุมชนมีสิทธิจัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล และยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ และมาตรา 53 กําหนดให้รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ประกอบกับมาตรา 55 กําหนดให้รัฐต้องดําเนินการให้ ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค และการบริการสาธารณสุขครอบคลุมถึง การรักษาพยาบาล ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการระวังและป้องกันมิให้เกิดปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบเสียหาย ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในอนาคตไว้ก่อน ตามหลักการระวังไว้ก่อน (Precautionary principle) และหลักการป้องกันล่วงหน้า (Preventive principle)
ดังนั้น เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่าปัญหาควัน หรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีแนวโน้มว่าจะ เกิดขึ้นอีกในอนาคต กรณีจึงมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกําหนด มาตรการที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เพื่อใช้ในการระวัง ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหา ควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ที่อาจเกิดขึ้นใน อนาคต เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดําเนินการป้องกัน คุ้มครอง บํารุงรักษา ฟื้นฟู และบริหารจัดการปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอันเกิด จากควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ได้อย่างสมดุลและยั่งยืนต่อไป
พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ร่วมกันใช้อํานาจตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดําเนินการอื่นใดเพื่อระวัง ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหามลพิษอันเกิดจากควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ให้อยู่ในค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไป และเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศในระดับดีมาก หรือระดับดีต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้อย่างทันท่วงที คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
กกต. ยังไม่มีมติ ส่งศาลรธน.วินิจฉัยคุณสมบัติส.ส. ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อไอทีวี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4072640
กกต.ยังไม่มีมติส่งศาล รธน. วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส. ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อไอทีวี นัดถกต่อพรุ่งนี้
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วาระพิจารณาคำร้องกรณีมีผู้ยื่นร้องต่อ กกต.ขอให้พิจารณาและส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า กรณีที่นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีชื่อถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน ) จำนวน 42,000 หุ้น เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) หรือไม่
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม เวลา 16.15 น. นาย
อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เปิดเผยว่า การประชุม กกต.วันนี้ ที่ประชุมยังไม่ได้มีการลงมติกรณีนาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรรและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กรณีถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพียงแต่เป็นการติดตามความคืบหน้าของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ได้รายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุม กกต.รับทราบ เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม กกต.ใช้เวลาประชุมตั้งแต่เวลา 13.00 น. และเลิกประชุมเวลา 16.00 น. โดยไม่มีการแถลงใดๆ แต่มีรายงานว่ามีการนัดประชุมเพิ่มเติมต่อในวันที่ 11 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. และวันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 09.00 น.
พิธา เปิดคุณสมบัติ ‘รัฐมนตรี’ ก้าวไกล เล่าเบื้องหลังคุยส.ว. หวังได้ร่วมทำงานเพื่อปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4072708
พิธา เปิดคุณสมบัติ ‘รัฐมนตรี’ ก้าวไกล เปิดเบื้องหลังคุย ส.ว. หวังได้ร่วมทำงานเพื่อ ปชช.
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจในรายการโหนกระแส โดยมี
กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพิธีกร โดยนาย
พิธาได้ตอบคำถามถึงประเด็นการเมืองต่างๆ โดย เปิดเผยถึงประเด็นต่างๆ ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นก่อนการโหวตเลือกนายกฯ 13 กรกฎาคมนี้
โดย นาย
พิธากล่าวถึงประเด็นเสียงโหวตของ ส.ว.ว่า เป็นทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ บางครั้ง พี่น้องประชาชนฟังคำสัมภาษณ์มีหลายรูปแบบ ทั้งโหวต ไม่โหวต และขอฟังดูก่อน เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่น้องวุฒิสภามากขึ้น รู้สึกว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ อาจจะแตกต่างจากที่มา หลายๆ คนก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องบ้านเมือง บางคนบอก อยู่ สนช.มา พยายามปฏิรูปการศึกษามานานพอสมควร เรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ บางคนเคยทำงานกับผม อดีตปลัดพาณิชย์ ก็รู้สึกว่า สุดท้ายเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น มีความตั้งใจจะพัฒนาบ้านเมือง ตนวัยกลางคน 42 มีประสบการณ์ระดับหนึ่ง มีความรู้ในเรื่องการใช้ข้อมูล หากผ่านจุดนี้ไปได้ ท่านยังมีเวลาอีก 1 ปี ไม่แน่เราอาจจะได้ปรึกษาหารือ กับท่านในสภา ทำงานร่วมกันเพื่อประชาชนเป็นไปได้
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวว่า ก้าวไกลได้เสียง ส.ว. 20 เสียง เพื่อไทยได้อีก 40 เสียง และเสียงพรรคร่วมอีก 10 เสียง รวมแล้ว 70 เกิน จริงหรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า เป็นทิศทางที่ดี บางทีเราลงตัวเลขวันนี้ ไปกระทบวันที่ 13 กรกฎาคม แต่หากหาฉันทามติกันได้ อย่างแบ่งแยกดินแดน อันนี้ตนพูดชัดเจน รัฐไทยต้องเป็นรัฐเดี่ยว หรือการแทรกแซงของต่างประเทศ ตนคิดว่าไทยต้องกลับไปสู่เวทีโลก ที่หาจุดตรงกลางให้ได้ เมื่อได้นั่งคุย ได้ถกกัน วุฒิสภาหลายท่านก็เปิดใจรับฟัง หลายท่านก็เจอกันก่อนเป็นนักการเมืองทั้งคู่
สำหรับกรณี ส.ว.
กิตติศักดิ์กล่าวว่า มี ส.ว.โหวตให้ไม่เกิน 5 คน นั้น นาย
พิธากล่าวว่า ก็รู้สึกว่าเป็นความเห็นของ ส.ว.
กิตติศักดิ์ ตนคิดว่าไม่สามารถมอง ส.ว.เป็นกลุ่ม เป็นก้อน ถือว่าไม่ยุติธรรมกับท่าน ทุกคนเป็นปัจเจกชน มีหลักการ ดุลพินิจ ของตัวเอง หลายท่านบอกว่า ไม่ว่าคดีอะไร มีองค์กรพิจารณาอยู่แล้ว ส.ว.ไม่มีหน้าที่ ท่านโหวตเพื่อหลักการ ไม่ได้โหวตเพื่อ
พิธา หรือก้าวไกล
สำหรับกรณีที่ รองประธานสภาคนที่ 2 ออกมาบอกว่าจะมีการโหวตนายกฯ 3 ครั้งนั้น นาย
พิธาระบุว่า เป็นการคาดการณ์ของแต่ละบุคคล ในเรื่องพรรคร่วมก็จะมีการประชุมกัน แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียด ดูแต่พาดหัว รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ มันโหวตได้เรื่อยๆ คุณ
เศรษฐา กับคุณ
ประเสริฐ ก็บอกว่าไม่มีแผนสอง ในฐานะพรรคร่วม 8 พรรค ก็ยังไม่มีการพูดคุย เรายังไม่มีแผน 2 เรากินข้าวทีละคำ อย่างในสหรัฐ ก็โหวตกันที่ 15 ครั้ง เชื่อว่า 13 กรกฎาคมนี้ เป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกจ้องมองประเทศไทยอยู่
“
ครั้งนี้ เป็นโอกาสที่พรรคการเมืองจะสามารถเรียกศรัทธาเข้าสู่ระบบการเมือง และคืนความปกติให้กับการเมืองไทย ให้โอกาสประเทศไทย”
นอกจากนี้
กรรชัย พิธีกรรายการ ยังได้อ้าง
เพชร กรุณพล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่
กรรชัยเคยถามว่า มีโอกาสจะได้เป็นรัฐมนตรีไหม ซึ่ง
เพชร กรุณพล เคยบอกว่า ไม่ได้หรอก มีกฎเหล็ก ต้องโชว์วิสัยทัศน์ ว่าเป็นแล้วเหมาะตรงไหน
พิธากล่าวว่า ตำนานไม่ใช่ตำแหน่ง หน้าที่ไม่ใช่หน้าตา คนที่จะมาทำงาน สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง เผลอๆ ต้องเจออภิปรายไม่ไว้วางใจในพรรคก่อนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นคนในพรรค คุยกันก่อนที่ทุกคนจะเป็น ส.ส. ว่าปัญหาของกระทรวงนี้ จะแก้ปัญหาได้ ต้องใช้คนแบบนี้ ถ้าคนในพรรคไม่มี ต้องใช้คนนอก เพราะว่าเราไม่ได้ต้องการจะรักษาอำนาจ ต่อรอง แต่ต้องการแก้ไขให้ตรงจุด
“นี่เป็นจุดแข็งเดียวที่พรรคก้าวไกลมี เราไม่ได้มีนายทุน และไม่ได้มีความสัมพันธ์กับนายทุนใหญ่ๆ ผมมีแต่ประชาชน และต้องแก้ไขให้ประชาชน ถ้าตรงนี้หายไปเมื่อไหร่ ผมไม่มีจุดแข็งของพรรคเหลือเลย ต้องรักษาไว้”
นาย
พิธากล่าวต่อว่า พยายามเต็มที่ โอบรับความหลากหลาย แต่ละคนมาจากแต่ละที่ เป็นองค์กรหนึ่ง ต้องเรียนรู้ มีความขัดแย้งเป็นปกติ แต่วิธีการบริหารความขัดแย้ง ต้องดูว่าทำอย่างไรกับปัญหา ก้าวไกลไม่สมบูรณ์แบบ สตริกต์ให้เท่าที่เป็นไปได้ แต่พร้อมจะเรียนรู้ แล้วทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่อีโก้สูง แล้วไม่ฟังใคร คนที่เลือกตั้งเรามา ตรวจสอบเราเยอะที่สุด
JJNY : 5in1 ศาลปค.เชียงใหม่พิพากษา│กกต.ยังไม่มีมติ│พิธาเปิดคุณสมบัติ‘รมต.’│น้ำมันขึ้นอีกแล้ว!│โพลชี้หลายชาติเร่งโอนทองคำ
https://www.isranews.org/article/isranews-news/120057-isranews-PMMM.html
โดยคำสรุปของศาลปกครองระบุว่า
วินิจฉัยแล้วว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ละเลยต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ล่าช้าเกินสมควรในการป้องกัน บรรเทาและแก้ไขปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่สถานการณ์ปัญหาควันหรือฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่เกิดขึ้นในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ได้คลี่คลายลงแล้วตั้งแต่ช่วง เดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัญหาควันหรือ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ก็ยังคงเกิดขึ้นเป็นประจํา ในช่วงเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคมของทุกปีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น อันจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และเกิดผลกระทบต่อ คุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 43 กําหนดให้บุคคลและ ชุมชนมีสิทธิจัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล และยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ และมาตรา 53 กําหนดให้รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ประกอบกับมาตรา 55 กําหนดให้รัฐต้องดําเนินการให้ ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค และการบริการสาธารณสุขครอบคลุมถึง การรักษาพยาบาล ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการระวังและป้องกันมิให้เกิดปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบเสียหาย ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในอนาคตไว้ก่อน ตามหลักการระวังไว้ก่อน (Precautionary principle) และหลักการป้องกันล่วงหน้า (Preventive principle)
ดังนั้น เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่าปัญหาควัน หรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีแนวโน้มว่าจะ เกิดขึ้นอีกในอนาคต กรณีจึงมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกําหนด มาตรการที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เพื่อใช้ในการระวัง ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหา ควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ที่อาจเกิดขึ้นใน อนาคต เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดําเนินการป้องกัน คุ้มครอง บํารุงรักษา ฟื้นฟู และบริหารจัดการปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอันเกิด จากควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ได้อย่างสมดุลและยั่งยืนต่อไป
พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ร่วมกันใช้อํานาจตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดําเนินการอื่นใดเพื่อระวัง ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหามลพิษอันเกิดจากควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ให้อยู่ในค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไป และเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศในระดับดีมาก หรือระดับดีต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้อย่างทันท่วงที คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
กกต. ยังไม่มีมติ ส่งศาลรธน.วินิจฉัยคุณสมบัติส.ส. ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อไอทีวี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4072640
กกต.ยังไม่มีมติส่งศาล รธน. วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส. ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อไอทีวี นัดถกต่อพรุ่งนี้
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วาระพิจารณาคำร้องกรณีมีผู้ยื่นร้องต่อ กกต.ขอให้พิจารณาและส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีชื่อถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน ) จำนวน 42,000 หุ้น เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) หรือไม่
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม เวลา 16.15 น. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เปิดเผยว่า การประชุม กกต.วันนี้ ที่ประชุมยังไม่ได้มีการลงมติกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรรและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กรณีถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพียงแต่เป็นการติดตามความคืบหน้าของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ได้รายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุม กกต.รับทราบ เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม กกต.ใช้เวลาประชุมตั้งแต่เวลา 13.00 น. และเลิกประชุมเวลา 16.00 น. โดยไม่มีการแถลงใดๆ แต่มีรายงานว่ามีการนัดประชุมเพิ่มเติมต่อในวันที่ 11 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. และวันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 09.00 น.
พิธา เปิดคุณสมบัติ ‘รัฐมนตรี’ ก้าวไกล เล่าเบื้องหลังคุยส.ว. หวังได้ร่วมทำงานเพื่อปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4072708
พิธา เปิดคุณสมบัติ ‘รัฐมนตรี’ ก้าวไกล เปิดเบื้องหลังคุย ส.ว. หวังได้ร่วมทำงานเพื่อ ปชช.
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจในรายการโหนกระแส โดยมี กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพิธีกร โดยนายพิธาได้ตอบคำถามถึงประเด็นการเมืองต่างๆ โดย เปิดเผยถึงประเด็นต่างๆ ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นก่อนการโหวตเลือกนายกฯ 13 กรกฎาคมนี้
โดย นายพิธากล่าวถึงประเด็นเสียงโหวตของ ส.ว.ว่า เป็นทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ บางครั้ง พี่น้องประชาชนฟังคำสัมภาษณ์มีหลายรูปแบบ ทั้งโหวต ไม่โหวต และขอฟังดูก่อน เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่น้องวุฒิสภามากขึ้น รู้สึกว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ อาจจะแตกต่างจากที่มา หลายๆ คนก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องบ้านเมือง บางคนบอก อยู่ สนช.มา พยายามปฏิรูปการศึกษามานานพอสมควร เรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ บางคนเคยทำงานกับผม อดีตปลัดพาณิชย์ ก็รู้สึกว่า สุดท้ายเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น มีความตั้งใจจะพัฒนาบ้านเมือง ตนวัยกลางคน 42 มีประสบการณ์ระดับหนึ่ง มีความรู้ในเรื่องการใช้ข้อมูล หากผ่านจุดนี้ไปได้ ท่านยังมีเวลาอีก 1 ปี ไม่แน่เราอาจจะได้ปรึกษาหารือ กับท่านในสภา ทำงานร่วมกันเพื่อประชาชนเป็นไปได้
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวว่า ก้าวไกลได้เสียง ส.ว. 20 เสียง เพื่อไทยได้อีก 40 เสียง และเสียงพรรคร่วมอีก 10 เสียง รวมแล้ว 70 เกิน จริงหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เป็นทิศทางที่ดี บางทีเราลงตัวเลขวันนี้ ไปกระทบวันที่ 13 กรกฎาคม แต่หากหาฉันทามติกันได้ อย่างแบ่งแยกดินแดน อันนี้ตนพูดชัดเจน รัฐไทยต้องเป็นรัฐเดี่ยว หรือการแทรกแซงของต่างประเทศ ตนคิดว่าไทยต้องกลับไปสู่เวทีโลก ที่หาจุดตรงกลางให้ได้ เมื่อได้นั่งคุย ได้ถกกัน วุฒิสภาหลายท่านก็เปิดใจรับฟัง หลายท่านก็เจอกันก่อนเป็นนักการเมืองทั้งคู่
สำหรับกรณี ส.ว.กิตติศักดิ์กล่าวว่า มี ส.ว.โหวตให้ไม่เกิน 5 คน นั้น นายพิธากล่าวว่า ก็รู้สึกว่าเป็นความเห็นของ ส.ว.กิตติศักดิ์ ตนคิดว่าไม่สามารถมอง ส.ว.เป็นกลุ่ม เป็นก้อน ถือว่าไม่ยุติธรรมกับท่าน ทุกคนเป็นปัจเจกชน มีหลักการ ดุลพินิจ ของตัวเอง หลายท่านบอกว่า ไม่ว่าคดีอะไร มีองค์กรพิจารณาอยู่แล้ว ส.ว.ไม่มีหน้าที่ ท่านโหวตเพื่อหลักการ ไม่ได้โหวตเพื่อพิธา หรือก้าวไกล
สำหรับกรณีที่ รองประธานสภาคนที่ 2 ออกมาบอกว่าจะมีการโหวตนายกฯ 3 ครั้งนั้น นายพิธาระบุว่า เป็นการคาดการณ์ของแต่ละบุคคล ในเรื่องพรรคร่วมก็จะมีการประชุมกัน แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียด ดูแต่พาดหัว รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ มันโหวตได้เรื่อยๆ คุณเศรษฐา กับคุณประเสริฐ ก็บอกว่าไม่มีแผนสอง ในฐานะพรรคร่วม 8 พรรค ก็ยังไม่มีการพูดคุย เรายังไม่มีแผน 2 เรากินข้าวทีละคำ อย่างในสหรัฐ ก็โหวตกันที่ 15 ครั้ง เชื่อว่า 13 กรกฎาคมนี้ เป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกจ้องมองประเทศไทยอยู่
“ครั้งนี้ เป็นโอกาสที่พรรคการเมืองจะสามารถเรียกศรัทธาเข้าสู่ระบบการเมือง และคืนความปกติให้กับการเมืองไทย ให้โอกาสประเทศไทย”
นอกจากนี้ กรรชัย พิธีกรรายการ ยังได้อ้าง เพชร กรุณพล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่กรรชัยเคยถามว่า มีโอกาสจะได้เป็นรัฐมนตรีไหม ซึ่ง เพชร กรุณพล เคยบอกว่า ไม่ได้หรอก มีกฎเหล็ก ต้องโชว์วิสัยทัศน์ ว่าเป็นแล้วเหมาะตรงไหน
พิธากล่าวว่า ตำนานไม่ใช่ตำแหน่ง หน้าที่ไม่ใช่หน้าตา คนที่จะมาทำงาน สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง เผลอๆ ต้องเจออภิปรายไม่ไว้วางใจในพรรคก่อนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นคนในพรรค คุยกันก่อนที่ทุกคนจะเป็น ส.ส. ว่าปัญหาของกระทรวงนี้ จะแก้ปัญหาได้ ต้องใช้คนแบบนี้ ถ้าคนในพรรคไม่มี ต้องใช้คนนอก เพราะว่าเราไม่ได้ต้องการจะรักษาอำนาจ ต่อรอง แต่ต้องการแก้ไขให้ตรงจุด
“นี่เป็นจุดแข็งเดียวที่พรรคก้าวไกลมี เราไม่ได้มีนายทุน และไม่ได้มีความสัมพันธ์กับนายทุนใหญ่ๆ ผมมีแต่ประชาชน และต้องแก้ไขให้ประชาชน ถ้าตรงนี้หายไปเมื่อไหร่ ผมไม่มีจุดแข็งของพรรคเหลือเลย ต้องรักษาไว้”
นายพิธากล่าวต่อว่า พยายามเต็มที่ โอบรับความหลากหลาย แต่ละคนมาจากแต่ละที่ เป็นองค์กรหนึ่ง ต้องเรียนรู้ มีความขัดแย้งเป็นปกติ แต่วิธีการบริหารความขัดแย้ง ต้องดูว่าทำอย่างไรกับปัญหา ก้าวไกลไม่สมบูรณ์แบบ สตริกต์ให้เท่าที่เป็นไปได้ แต่พร้อมจะเรียนรู้ แล้วทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่อีโก้สูง แล้วไม่ฟังใคร คนที่เลือกตั้งเรามา ตรวจสอบเราเยอะที่สุด