JJNY : เพื่อไทยช่วยดีล ส.ว.โหวตนายกฯจริง│“ประภาศรี”ยันโหวตให้“พิธา”│ดัชนีค้าปลีกไตรมาส 2 ยังซึม│“เซเลนสกี”จะพบผู้นำตุรกี

เพื่อไทยช่วยดีล ส.ว.โหวตนายกฯจริง แต่ก้าวไกลต้องเป็นหลัก ‘ประเสริฐ’ ย้ำไม่มีแผนสำรอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4067603
 
 
‘ประเสริฐ’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ ต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์เพื่อประโยชน์โหวตนายกฯ ยันไม่มีแผนสำรองหากรอบแรก ‘พิธา’ โหวตไม่ผ่าน เผย ‘เพื่อไทย’ ช่วยดีล ส.ว.เยอะอยู่ แต่หลักๆ ต้องเป็น ก.ก. มั่นใจไร้งูเห่า
 
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 7 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีการโหวตนายกรัฐมนตรี วันที่ 13 กรกฎาคม ว่ามีความกังวลท่าทีของ ส.ว.หรือไม่ว่า เท่าที่ฟังมีแค่ ส.ว.บางส่วนที่แสดงความคิดเห็น แต่เข้าใจว่า ส.ว.ส่วนมากยังสงวนท่าที คิดว่าการตัดสินใจของ ส.ว.จะตรงกับความต้องการของประชาชน

เมื่อถามว่า จะมีการพูดคุยกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในเงื่อนไขมาตรา 112 ของ ส.ว.เพื่อผลักดันให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค ก.ก. เป็นนายกรัฐมนตรีตามเจตนารมณ์หรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า เป็นเรื่องที่พรรค ก.ก.ซึ่งเป็นพรรคหลักต้องพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งเป็นข้อเสนอของ ส.ว.หลายคน ส่วนในนามพรรคร่วม 8 พรรค เคยพูดคุยเรื่องนี้กันมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น เรื่องนี้จึงมีความชัดเจนระหว่าง 8 พรรคร่วม ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่พรรค ก.ก.ต้องไปปรับกลยุทธ์เพื่อประโยชน์ในการเลือกนายกรัฐมนตรี
 
เมื่อถามว่า ท่าทีของ ส.ว.ชัดเจนเรื่องมาตรา 112 ทำให้มีการคาดการณ์ว่านายพิธาจะไม่ได้รับเลือกในรอบแรก นายประเสริฐกล่าวว่า หากฟังจากแกนนำพรรค ก.ก.จะเห็นชัดเจนว่าเขามั่นใจว่าจะผ่าน พรรค ก.ก.ให้ความมั่นใจมาโดยตลอดว่า ส.ว.จะสนับสนุน ก็ขอให้ดูการโหวตก่อน
 
เมื่อถามว่า พรรค พท.ได้เดินสายขอความร่วมมือกับ ส.ว.ด้วยหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า พรรค พท.ช่วยเป็นบางส่วน แต่ตัวหลักเป็นของพรรค ก.ก.เอง ฉะนั้น แกนนำทั้ง 8 พรรคหากใครรู้จัก ส.ว.ท่านใดก็พยายามทำความเข้าใจอยู่ แต่ส่วนใหญ่คือพรรค ก.ก.ต้องเดินเป็นหลัก

ถามย้ำว่า พรรค พท.ขยับช่วยในเรื่องนี้เยอะหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า ก็เยอะอยู่ ในช่วง 2-3 วันนี้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะเหลือเวลาไม่ถึงสัปดาห์ก็จะเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว
 
เมื่อถามว่า โค้งสุดท้ายมีอะไรแนะนำพรรค ก.ก.หรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า พรรค ก.ก.มีความสามารถอยู่แล้ว แต่อยากแนะนำให้ทุกฝ่ายสร้างบรรยากาศในการเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะฝั่ง ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชน ขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับเป็นหลักในการพิจารณา
 
เมื่อถามว่า 8 พรรคร่วมมีแผนสำรองหรือไม่ หากการโหวตรอบแรก นายพิธาไม่ได้รับเลือก หรือกรณีที่มีการเสนอชื่อแข่งแล้ว ส.ว.ไปสนับสนุน นายประเสริฐกล่าวว่า เราไม่มีแผนสำรอง หากในรอบแรกไม่ผ่านคงต้องหันกลับมาคุยกันอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่าอาจจะมีพรรคที่เคยเป็นขั้วเก่าของรัฐบาลเสนอคนแค่นั้น หากฟังจากการให้สัมภาษณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะเห็นชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งเรื่องนี้ก็เบาใจได้ระดับหนึ่ง แต่การเมืองก็เกิดอะไรขึ้นได้ จึงเป็นเรื่องที่แกนนำทั้ง 8 พรรคร่วมต้องประเมินสถานการณ์ให้ดี
 
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า ส่วน กระแสงูเห่า ยังไม่ทราบ แต่ขอยืนยันว่าในส่วนของพรรค พท.ไม่มี เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในอดีตที่ผ่านมาใครเป็นงูเห่า เลือกตั้งแต่ละครั้งสอบตกหมด ซึ่งครั้งนี้พรรค พท.คัดเลือกสมาชิกที่มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ จึงมั่นใจว่างูเห่าจะไม่เกิดขึ้น และในวันโหวตนายกรัฐมนตรีเราจะมีการกำชับไปยัง ส.ส.แต่ละท่าน รวมถึงวิธีการโหวตก็เป็นในทางที่เปิดเผยไม่ได้เป็นในทางลับ จึงเชื่อว่างูเห่าจะไม่กล้า หากใครทำเท่ากับฆ่าตัวเอง
 
เมื่อถามว่า หากโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 2-3 ครั้งแล้ว นายพิธายังไม่ผ่าน จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หรือจะหนุนนายพิธาไปเรื่อยๆ นายประเสริฐกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ 8 พรรคต้องกลับมาคุยกันเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นไหนๆ ก็เดินทางมาด้วยกันแล้ว ไม่ว่าจะโหวตกี่ครั้งก็ต้องกลับมาคุยกันก่อน
 
เมื่อถามว่า พรรค พท.มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้สะกิดบอกพรรค ก.ก.หรือไม่ว่าเรายังมีอีก 3 คน เพื่อจะได้มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย นายประเสริฐกล่าวว่า พรรค ก.ก.ทราบอยู่แล้วว่าพรรค พท.มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน ส่วนพรรค ก.ก.มีคนเดียว แต่เรายังไม่ได้คุยกันในประเด็นนี้และไม่ได้เตรียมแผนสำรองแต่อย่างใด ให้รอดูหน้างาน ตามขั้นตอนว่า 8 พรรคร่วมจะมีความคิดเห็นร่วมกันอย่างไรในการเดินหน้า
 
เมื่อถามว่า หากเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้อาจนำไปสู่การตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ นายประเสริฐกล่าวว่า คงไม่เดินทางไปถึงจุดนั้น เชื่อว่าสุดท้ายแล้วประเทศมีทางออก การเป็นรัฐบาลแห่งชาติ หากไม่มีฝ่ายค้านก็ไม่มีอำนาจถ่วงดุล ซึ่งไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะใช้ดุลพินิจในการตัดสินเรื่องนี้ได้ และคงไม่เกิดรัฐบาลแห่งชาติขึ้น



“ประภาศรี” ยันโหวตให้ “พิธา” ตามหน้าที่ สว. เผยมุมมองต่อการแก้ ม.112
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7753019

“ประภาศรี สุฉันทบุตร” ยันโหวตให้ “พิธา” ตามหน้าที่ สว. เผยมุมมองต่อการแก้ ม.112 เชื่อหากเสนอเมื่อไหร่ ร่างถูกตีตกอย่างแน่นอน
 
วันที่ 7 ก.ค.2566 นางประภาศรี สุฉันทบุตร ส.ว. กล่าวว่า จากที่ให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังสนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ที่ตนบอกว่าเป็นเรื่องขององค์กรที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณา ส.ว.ไม่มีหน้าที่ไปตัดสินในเรื่องเหล่านี้นั้น
 
ตนหมายความว่าขณะนี้ เป็นวาระของการเลือกนายกรัฐมนตรี สำหรับเรื่องมาตรา 112 หากมีการเสนอเข้าสู่สภาฯ ส.ว.ก็ต้องมีส่วนในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายตามหน้าที่ด้วยอยู่แล้ว
 
โดยส่วนตัวของดิฉันเอง ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการไปเเก้ไขมาตรา 112 เมื่อเข้าสู่สภาฯ เชื่อว่าข้อเสนอ หรือร่างพ.ร.บ.แก้ไขมาตรานี้จะตกไป” นางประภาศรี กล่าว



สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกไตรมาส 2 ยังซึม ชงรัฐบาลใหม่ เร่งบูสต์เศรษฐกิจ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4067607

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกไตรมาส 2 ยังซึม ชงรัฐบาลใหม่ เร่งบูสต์เศรษฐกิจ
 
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI (QoQ) ไตรมาสสอง 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสหนึ่ง 2566 มีความ “น่ากังวล” เนื่องจากปรับลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุดทุกองค์ประกอบเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ทั้งดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QoQ , ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคฐานรากยังอ่อนแอ ภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร กดดันให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น รวมทั้งยังไม่มีมาตรการใหม่จากรัฐในการกระตุ้นการจับจ่าย

ทั้งนี้การลดลงของดัชนีตามภูมิภาคต่างๆ บ่งบอกถึงธุรกิจยังคงไม่ฟื้นตัว แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในช่วงครึ่งปีแรกราว 12.4 ล้านคนก็ตาม ทั้งนี้หากจำแนกตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับลดลงในทุกประเภทร้านค้าโดยร้านค้าส่ง, ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว ยกเว้นซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นรวมทั้งสินค้าที่มีการจัดโปรโมชั่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
 
ทั้งนี้ได้เผยผลสำรวจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกของผู้ประกอบการ โดยสำรวจระหว่างวันที่ 19 – 26 มิถุนายน 2566 ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

1. การปรับตัวของธุรกิจในกรณีที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
ร้อยละ 63   จ้างพนักงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 61   เพิ่มทักษะและหน้าที่ของพนักงาน
ร้อยละ 59   ลดต้นทุนที่ไม่ใช่ค่าแรง
ร้อยละ 48   ขึ้นราคาสินค้า
ร้อยละ 22   ชะลอการลงทุน
ร้อยละ 22   ใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงาน
ร้อยละ 15   ปรับสวัสดิการมารวมเป็นค่าจ้าง
ร้อยละ 13   เลิกจ้างพนักงานบางส่วน

2. มาตรการสำหรับผู้ประกอบการในกรณีที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
ร้อยละ78 สนับสนุนมาตรการทางภาษี เช่น ลดภาษีนิติบุคคล หรือนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น
ร้อยละ 63  ทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นขั้นบันได
ร้อยละ 59   ลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ

3. คาดการณ์การปรับราคาสินค้าใน 3 เดือนข้างหน้า
ร้อยละ 48 จะปรับราคาสินค้าแต่ไม่เกิน 5%
ร้อยละ 22 จะยังไม่ปรับราคาสินค้า
ร้อยละ 17 จะปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 6-10 %
ร้อยละ 9   จะปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 11-15 %
 
อย่างไรก็ตามภาพรวมค้าปลีกครึ่งปีแรกยังไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญกับต้นทุนสูงจากทั้งค่าพลังงาน ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆ ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ ทางสมาคมฯ จึงขอนำเสนอ “ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่ชุดใหม่” ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

1. สนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วและราบรื่นเพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า

2. จัดสรรงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นไปแต่ละกลุ่มเป้าหมายและไม่ซับซ้อน โดยเพิ่มกำลังซื้อให้กลุ่มฐานรากและเพิ่มการใช้จ่ายในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้ง ลดขั้นตอนให้สามารถเข้าถึงได้สะดวก

3. ส่งเสริมภาคท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติและคนไทยท่องเที่ยวเมืองไทย เช่น การขยายเวลา Visa on Arrival ให้ต่างชาติพำนักในไทยได้นานขึ้น, การเพิ่มความถี่เที่ยวบินมาประเทศไทย รวมถึงมุ่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเมื่อมาเที่ยวเมืองไทย เป็นต้น
 
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอส่งสัญญาณถึงรัฐบาลใหม่ชุดใหม่ที่มีความตั้งใจจะเข้ามาบริหารประเทศ ได้ออกนโนบายและมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะมาพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก โดยสมาคมฯ มีความพร้อมและมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างมีเอกภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเข้มแข็ง” นายฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่