JJNY : มาเลย์แถลงผิดหวัง ส.ว.│ผลจากการฟังเสียงปชช. ‘ส.ว.ประภาศรี’│เอสเอ็มอีเตือนวิกฤตการเมือง│ส่อแล้งรุนแรง น้ำเหนือน้อย

เป็นการสบประมาท ปชช.ไทย-เครือข่าย ลต.สุจริต มาเลย์แถลงผิดหวัง ส.ว.ขวาง 'พิธา'เป็นนายกฯ
https://www.isranews.org/article/isranews-news/120240-isranews-Maalay.html

เครือข่ายเลือกตั้งสุจริต มาเลย์ฯออกแถลงการณ์ ผิดหวัง 'พิธา' ถูก ส.ว.ขัดขวางเป็นนายกฯ ชี้เป็นการสบประมาทเสียงประชาชนไทย 
หวั่นขยายตัวลามเสถียรภาพภูมิภาค จี้สมาชิกรัฐสภาลงมติอย่างรับผิดชอบ 19 ก.ค.นี้
 
---------------------------------------------------------------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับกรณีการเลือกนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยว่า ทางด้านของ กลุ่มแนวร่วมเพื่อการเลือกตั้งที่สะอาดและเป็นธรรมจากประเทศมาเลเซีย หรือ Berish ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลและผิดหวังที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ผู้ซึ่งได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์จากในที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถูกขัดขวางไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี จากสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งโดยทหาร ในการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งแรก
 
Berish กล่าวต่อไปว่าการกระทำที่สบประมาทต่อคะแนนเสียงของประชาชนไทยเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและ จะบั่นทอนเสถียรภาพของประเทศไทย อันจะส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจไทย และขยายวงต่อไปจนถึงเสถียรภาพในระดับภูมิภาค 
 
เราขอเรียกร้องให้สถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในประเทศไทยยุติวิกฤตการณ์ทางการเมืองนี้และทําให้เกิดความสมานฉันท์ระดับชาติโดยการลงคะแนนเสียงให้นายพิธาในการลงคะแนนเสียงครั้งที่สองในวันที่ 19 กรกฎาคม สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต้องไม่ท้าทายการเลือกตั้งของไทยและก่อให้เกิดความไม่สงบอย่างกว้างขวาง” แถลงการณ์ Berish ระบุ
 
แถลงการณ์ระบุต่อไปว่ากลไกทั้งหมดทั้งมวลเพื่อจะปฏิเสธนายพิธา รวมไปถึงการดำเนินการทางกฎหมายในนาทีสุดท้าย ซึ่งอาจจะตัดสิทธิ์นายพิธาได้นั้นจะทำให้เกิดคำถามอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีกระบวนการทางการเมืองอย่างสันติในประเทศไทย   ในฐานะทางเป็นองค์กรหนึ่งที่อุทิศตนเพื่อส่งเสริมการเลือกตั้งที่สะอาดและเป็นธรรม Berish ได้เฝ้าติดตามกระบวนการเลือกตั้งทั่วโลกอย่างใกล้ชิด และยืนหยัดในความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกับเพื่อสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน
 
ระบอบประชาธิปไตยที่ดีต้องอาศัยหลักการเป็นตัวแทนและเจตจํานงของประชาชน การที่ผู้สมัครที่ได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นภัยคุกคามต่อความชอบธรรมของรัฐบาลไทยชุดต่อไป” แถลงการณ์ระบุ
 
แถลงการณ์กล่าวต่อไปว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นมีความเข้มแข็งในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือและในญี่ปุ่น เพราะว่าไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเพราะว่าระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไม่ได้ถูกทำให้พิการโดยสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ป้องกันจากการเคลื่อนไหวเพื่อทำให้เป็นสาธารณรัฐ
 
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เจตจำนงของประชาชนจะต้องได้รับการเคารพและสะท้อนให้เห็นในผลการเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตยและเป็นพื้นฐานสำหรับเสถียรภาพทางการเมืองและระเบียบทางสังคม
 
Berish เชื่อว่าทุกคะแนนเสียงของประชาชนมีความสำคัญ และสิ่งที่สำคัญก็คือต้องรักษาความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในระบบทางการเมือง
ดังนั้น Berish จึงเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยทําหน้าที่อย่างชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบในวันที่ 19 กรกฎาคม เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของทุกฝ่าย รวมถึงสถาบันที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
 
เรียบเรียงจาก :

https://aliran.com/coalitions/clean-and-fair-elections/thailands-military-appointed-senators-must-vote-responsibly-on-second-pm-vote


 
ผลจากการฟังเสียงประชาชน ‘ส.ว.ประภาศรี’ เผยโมเมนต์ ไปที่ไหนๆ มีแต่คนขอบคุณ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4083524

ส.ว.ประภาศรี เผยโมเมนต์น่าชื่นใจ ไปที่ไหนๆ มีแต่คนขอบคุณ ร่วมโหวตหนุน ‘พิธา’ นายกฯ
  
จากกรณีที่ประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ออกเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีเลือก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โดยเห็นชอบเพียง 324 เสียง จำนวนนี้มีเสียงจาก ส.ว.อยู่ 13 เสียง อย่างไรก็ดี ยังถือว่าไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ดังนั้น จึงถือว่ามติที่ประชุมไม่เห็นชอบการแต่งตั้งนายพิธาเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรค 1

สำหรับ 13 ส.ว.ที่โหวต “เห็นชอบ” นายพิธาเป็นนายกฯ หนึ่งในนั้นคือ นางประภาศรี สุฉันทบุตร
 
ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม นางประภาศรีเปิดเผยทางเฟซบุ๊กส่วนตัว Prapasri Suchantabutr ถึงกระแสตอบรับจากประชาชนที่ตนเองโหวต “เห็นชอบ” นายพิธา

นางประภาศรีระบุว่า ไปที่ไหนชื่นใจเสมอ เมื่ออยู่เคียงข้าง “ประชาชน
 
สมัยนี้คนไทยตื่นตัวและสนใจเรื่องการเมืองกันมาก นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราได้เรียนรู้ประชาธิปไตยและการปกครองประเทศไปด้วยกัน

ช่วงนี้ไปที่ไหนก็มีคนเข้ามาคุย ไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯก็มีคนมาทักทาย เมื่อเช้าไปร่วมงานแต่งงานที่ยโสธร ชาวยโสธรจำนวนมากมาขอบคุณที่ “เห็นชอบ” กับเสียงข้างมาก ไปเดินออกกำลังกายก็มีคนมาทักทายและขอบคุณ วันก่อนไปโรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ เจ้าหน้าที่ก็มาขอถ่ายภาพด้วย
 
ตอนนี้มาที่สนามบินอุบลราชธานีก็ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากเจ้าหน้าที่สนามบินและยิ้มๆ ทักทายอย่างจริงใจ นั่งรอหน้า Gate ก็มีน้องๆ และรุ่นลูกมาทักทาย
 
ส.ว.ประภาศรีใช่ไหมคะ” ขอถ่ายภาพด้วยได้ไหม
 
ตอบว่า “ได้เลยค่ะลูก

https://www.facebook.com/psuchantabutr/posts/24171623039091740?ref=embed_post
 

 
เอสเอ็มอี เตือนวิกฤตการเมือง กดดัน เศรษฐกิจบอบช้ำ โชว์ 4 เรื่องเร่งรัฐบาลใหม่แก้ไข
https://www.matichon.co.th/economy/news_4083269

เอสเอ็มอี เตือนวิกฤตการเมือง กดดัน เศรษฐกิจบอบช้ำ โชว์ 4 เรื่องเร่งรัฐบาลใหม่แก้ไข
 
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การเมืองและการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 30 หลังจากนายพิธา ไม่ผ่านการโหวตรอบแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้นว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภา ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และหากการเลือกนั้นได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนทั้งประเทศ ไม่มุ่งเอาชนะในทางนิติศาสตร์เพียงด้านเดียว แต่ต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ในการขับเคลื่อนประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ไม่ฝืนเสียงประชาชน ประเทศไทยบอบช้ำจากวิกฤตทางการเมืองมาหลายครั้ง วิกฤตเศรษฐกิจมากมาย ปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อมที่ถาโถม การแข่งขัน การกีดกันทางการค้าของประเทศต่างๆที่รุกคืบ ล้วนเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่ สส. สว. รัฐบาล ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนต้องร่วมแรงร่วมใจในการกำหนดทิศทางอนาคตประเทศไทยไม่ให้หยุดชะงักหรือเดินถอยหลังไปอีก
 
นายแสงชัย กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจนอาจส่งผลกับการขยายตัวของจีดีพีที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3.6 % ซึ่งเป็นอุปสรรคในเครื่องยนต์ของการบริโภคภาครัฐ โครงการใหม่ๆ งบประมาณที่จะนำมาขับเคลื่อนนโยบาย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาระบบนิเวศน์เศรษฐกิจไทยล่าช้าออกไป ซึ่งเอสเอ็มอี 4 ภาคส่วน ได้แก่ 
1. ภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม
2. ภาคการท่องเที่ยวและบริการ
3. ภาคการค้าส่ง ค้าปลีก
และ 4. ภาคธุรกิจเกษตรและเกษตรกรรม
โดยทั้ง 4 ภาคส่วนเผชิญอุปสรรคปัญหาที่คล้ายคลึงกัน คือ ได้แก่

1. ต้นทุนวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิต ปุ๋ย อาหารสัตว์ เครื่องจักร พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ล้วนมีการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมากและขาดยุทธศาสตร์ในการปักหมุดลดการนำเข้าสินค้า บริการที่สำคัญ ส่งเสริมผู้ประกอบการลงทุนผลิตในประเทศแบบพึ่งพาตนเอง รวมทั้งขาดกลไกการลดต้นทุนพลังงานอย่างเป็นระบบจริงจังต่อเนื่อง เพื่อกระจายโอกาสให้ผู้ประกอบการ ประชาชนเป็นเจ้าของพลังงานสีเขียวที่มีต้นทุนต่ำ และแต้มต่อ อาทิ Solar rooftop Soalar farm เป็นต้น ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังรุกคืบเข้ามา 

2 .ต้นทุนแรงงานกับผลิตภาพที่ไม่สมดุลกัน ซึ่งระบบนิเวศน์การพัฒนาภาคแรงงานต้องออกแบบให้จูงใจแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบเพื่อส่งเสริมการยกระดับทักษะ สมรรถนะ ขีดความสามารถแรงงานอย่างต่อเนื่อง และตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการและกระแสการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
 
นายแสงชัย กล่าวอีกว่า 

3.การพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีฐานนวัตกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อยกระดับพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน ประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืนให้เอสเอ็มอี โดยนำความสร้างสรรค์ ดิจิทัลเทคโนโลยี นวัตกรรมมาเป็นกลไกสำคัญสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ BCG Economy Digital Economy และ Creative Economy เป็นต้น โดยนโยบาย มาตรการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีระบบส่งต่อผู้ประกอบการ เพื่อเชื่อมโยงความต้องการของผู้ประกอบการกับความช่วยเหลือ มาตรการดีๆของหน่วยงานต่างๆที่ออกมา และสามารถมีระบบอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสะดวก ง่าย ติดตาม ประเมินผล และโปร่งใส ซึ่งจะทำให้ฐานข้อมูลประเทศถูกจัดระบบอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

และ 4. การเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ ในการปรับปรุงกิจการ พัฒนาธุรกิจ สินค้า บริการ เพิ่มสภาพคล่อง ที่ต้องใช้กลไกกองทุนสนับสนุนควบคู่กับการบ่มเพาะ Financial literacy ตระหนักรู้และเข้าใจการบริหารจัดการทางการเงิน บัญชี ภาษีที่ถูกต้องเกิดประโยชน์ในการสร้างวินัยทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจใช้ SME wallet เข้ามาในสร้างระบบนิเวศน์การพิจารณาสินเชื่อ จูงใจ SME เข้าระบบ มีเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำให้ สามารถใช้ SME Walket ในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น อาทิ ซื้อสินค้า บริการ วัตถุดิบ จ่ายค่าจ้าง สาธารณูปโภค เป็นต้น สร้างระบบนิเวศน์ทางการเงินที่มีประสิทธิภาพให้ SME เป็นต้น

และ 5. การเชื่อมโยง SME Start up กับตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ที่ต้องใช้นโยบายเชิงรุก “สร้าง ส่งเสริม สนับสนุน SME Start up ไปเติบโตในต่างประเทศ” กลุ่มธุรกิจที่มีช่องว่าง สามารถสร้างโอกาสขยายธุรกิจในแบบ “Glocalization” ยกระดับธุรกิจท้องถิ่นสู่สากลอย่างเป็นระบบ อาทิ 5F Food Fashion Festival Fight Film หรือ ในกลุ่มธุรกิจ Creative Economy Digital Economy BCG Economy เป็นต้น
 
นายแสงชัย กล่าวถึงกรณีกรมบัญชีกลางปรับมาตรการเอสเอ็มอี โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หากเข้าประมูลงานภาครัฐและผลการประมูลงานแล้วราคาประมูลที่ประกาศออกมา หากราคาของนเอสเอ็มอีสูงกว่ารายใหญ่ ไม่เกิน 10 % หน่วยงานเจ้าของโครงการ ต้องเลือกที่เป็นเอสเอ็มอีผู้ชนะการประมูลโครงการนั้น เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีในประเทศให้เติบโตขึ้นในอนาคต นั้น เห็นด้วยกับแนวทางของกรมบัญชีกลาง ที่ขนาดของเอสเอ็มอีที่ประมูลงานภาครัฐ ต้องไม่เกินนิยามเอสเอ็มอี ได้ด้านรายได้ต่อปี ตามนิยามสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. และประมูลงานต้องไม่เกินมูลค่ารายได้ตามนิยาม หากเกินก็ไม่ควรได้แต้มต่อ 10% ของราคา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่