JJNY : 5in1 วงประชุมแจงคืบหน้า│ศปปส.ขู่นักข่าว│3ก.ค.ลุ้น‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก-พวก’│มั่นใจไม่ซ้ำรอย‘ต้มยำกุ้ง’│เสียงประชาชน

วงประชุม 8 พรรคร่วม แจงคืบหน้า 3 คณะทำงานชุดเปลี่ยนผ่าน เดินหน้าแก้ปัญหาค่าครองชีพ ช่วยเหลือปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4059168
 
 
วงประชุม 8 พรรคร่วม แจงคืบหน้า 3 คณะทำงานชุดเปลี่ยนผ่าน เดินหน้าแก้ปัญหาค่าครองชีพ ช่วยเหลือ ปชช.
 
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 กรกฎาคม ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงผลการประชุมของคณะทำงานประสานเปลี่ยนผ่านรัฐบาลในช่วง 46 วันที่ผ่านมา ของทั้ง 14 คณะ ซึ่งมีความคืบหน้าของคณะทำงาน 3 คณะ ได้แก่ 

1. คณะทำงานด้านพลังงาน ได้ประชุมในเรื่องราคาน้ำมันดีเซล ที่มีโอกาสจะขึ้นราคา 5 บาท ในวันที่ 20 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเราเข้าใจว่ายังอยู่ในช่วงของรัฐบาลรักษาการอยู่ เราจึงพิจารณาอย่างระมัดระวัง ดูทั้งข้อดีข้อเสีย ผลกระทบต่อสถานะกองทุนต่างๆ รวมถึงราคาเนื้อน้ำมันและก๊าซจากต่างประเทศ ทั้งนี้ได้มีความเห็นตรงกันทั้ง 8 พรรคว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในขณะนี้ และสามารถที่จะเลื่อนการตัดสินใจในกรณีนี้ไปได้ก่อน ในเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่า FT ตามที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการลดค่าไฟ 50-70 สตางค์ ผ่านทางกลไกต่างๆ ได้ และการนำเสนอการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรม เพื่อหาสมดุลระหว่างราคาพลังงานกับการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยการพิจารณาเรื่องข้างต้นเป็นไปได้ด้วยดี มีเอกภาพในการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน
 
2. คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัลและสังคม โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย มีการนำเสนอให้มีการตั้งวอร์รูม ที่จะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ DSI เพื่อรับเรื่องร้องเรียน แก้ไขปัญหาที่เกิดจากคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน ในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายอินเตอร์เน็ต มีแนวคิดเปลี่ยน “เน็ตประชารัฐ” เป็น “เน็ตประชาชน” ซึ่งไม่ได้แตกต่างเพียงชื่อ แต่แตกต่างในเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เพื่อให้ราคาถูกลงและมีความเสถียรมากขึ้น พร้อมย้ำว่า ไม่ได้ทำเพื่อแข่งขันกับภาคเอกชนแต่อย่างใด แต่ทำเพื่อให้ประชาชนคนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอในเรื่อง ดิจิทัล ไอดี ที่จะถูกนำมาใช้ในด้านบริการสาธารณสุขและด้านการศึกษา ทั้งข้อมูลการแพทย์ ยา การรักษา ที่จะนำมารวมไว้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันเพื่อให้สะดวกต่อการรักษา อีกทั้งยังสามารถลดปัญหาการคอร์รัปชั่นด้วย
 
3. คณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน ที่มีความกังวลใจเนื่องจากหากมองสภาพเศรษฐกิจของทั้งในและนอกประเทศ ที่มีการส่งออกลดลงต่อเนื่องนั้น เราจะใช้ประโยชน์จาก FTA ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว 14 ฉบับ ขณะเดียวกันเราก็ต้องเปิดตลาดใหม่ และพยายามทำให้เกิด FTA ใหม่ๆ เพื่อหาตลาดให้เอสเอ็มอีและพี่น้องประชาชน
 
ส่วนของหนี้ครัวเรือน คณะทำงานได้เสนอ 2 ข้อด้วยกัน คือ 1.หนี้กองทุนการกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และหนี้ข้าราชการ รวมทั้งหมดจะกระทบกับประชาชนทั้งหมด 14 ล้านคน ในเรื่องของหนี้ กยศ. ซึ่งตัวกฎหมายนั้นผ่านแล้วแต่ยังไม่มีการบังคับใช้ จะมีการบังคับใช้โดยเร็วที่สุด การสร้างแรงจูงใจในเรื่องของค่าปรับดอกเบี้ยหากชำระตรงเวลา จาก 0.5 เปอร์เซ็นต์ ลดเหลือ 0.25 เปอร์เซ็นต์ และเน้นหักที่เงินต้นมากกว่าดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาให้แก่พี่น้องประชาชนที่มีปัญหาในเรื่องหนี้ กยศ. รวมถึงการปรับโครงสร้างในเรื่องระยะเวลาของการผ่อน สำหรับหนี้ข้าราชการก็เช่นกัน ซึ่งมีความน่ากังวลพอสมควรเพราะว่า มีข้าราชการจำนวนมากถึง 3-4 ล้านคน ได้รับผลกระทบ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากคณะกรรมการที่สำรวจมาทั้งข้าราชการครูและตำรวจ เมื่อได้รับเงินเดือนมาก็ถูกหักเงินจากบัญชีเพื่อใช้หนี้สหกรณ์ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะมีเงินเดือนมากพอในการใช้ชีวิต ซึ่งในกลุ่มข้าราชการตำรวจมีอยู่จำนวนประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ โดยเราเสนอว่าให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้ทำข้อมูลนี้ และมีการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นทั้งรายได้ที่เป็นเงินเดือน หรือจะกำหนดให้เป็นเปอร์เซ็นต์ โดยไม่ว่าจะเหลือเงินเดือนเท่าไหร่ก็ตาม จะต้องเหลือเงินอยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้
 
ขณะเดียวกันมีการปรับโครงสร้างคล้ายกันกับหนี้ กยศ. มีการยืดระยะเวลามากขึ้นเพิ่มแรงจูงใจในการชำระหนี้ อาทิ หากชำระหนี้เร็วจะมีการลดดอกเบี้ยโดยการหักหนี้ที่เงินต้นมากกว่าการหักที่ดอกเบี้ย ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องปกติของภาคเอกชน การบริหารจัดการหนี้ก็เป็นประมาณนี้ ตนคิดว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรมหรือวิธีการในการบริหารหนี้สินแต่อย่างใด ซึ่งพี่น้องข้าราชการก็ควรที่จะได้รับการบริหารหนี้เช่นเดียวกัน
 
และส่วนของเอสเอ็มอีนั้นต้องมีการกระตุ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นหวยเอสเอ็มอีในระยะสั้น หรือการตั้งสภาเอสเอ็มอีในการกระตุ้นระยะยาว ในการบริหารระหว่างรัฐบาลและเอกชนเพื่อฟังเสียงของพี่น้องชาวเอสเอ็มอี ไม่ใช่เพียงแค่การฟังเสียงของสภาอุตสาหกรรม หรือหอการค้า ซึ่งจะเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่



แกนนำ ศปปส. ขึ้นเสียงข่มขู่นักข่าว ฉุนถูกถามจะคุมคนที่ก่อความวุ่นวายยังไง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4059015

แกนนำ ศปปส. ขึ้นเสียงข่มขู่นักข่าว ฉุนถูกถามจะคุมคนที่ก่อความวุ่นวายยังไง
 
เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 2 กรกฎาคม ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และคณะ เดินทางมายื่นหนังสือถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค ก.ก. เพื่อขอทราบจุดยืนของพรรค ก.ก. ต่อแนวคิดการเปลี่ยนแปลงวันชาติ ระหว่างที่ 8 พรรคร่วมรัฐบาลกำลังประชุมหารือกันในวันนี้
  
เมื่อกลุ่ม ศปปส.เดินทางมาถึง ได้เกิดวิวาทะขึ้นกับกองเชียร์ด้อมส้มที่มาปักหลักอยู่ที่พรรคก้าวไกล โดยกองเชียร์พรรค ก.ก.ได้ไล่ให้กลุ่ม ศปปส.ออกจากที่นี่ แต่ทางแกนนำ ศปปส.ยืนยันว่าต้องการมายื่นหนังสือถึงนายพิธา ซึ่งเป็นการแสดงออกตามประชาธิปไตย และไม่ได้สร้างความแตกแยก แต่ไม่ได้มีการปะทะหรือทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันแต่อย่างใด ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.หัวหมาก คอยรักษาความปลอดภัย
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อว่า Thot Limsodsai ได้ทวีตคลิปวิดีโอเหตุการณ์ความชุลมุนโดยเครติดมาจากสำนักข่าว “The Reporters“ พร้อมกับข้อความระบุว่า 

อย่างนี้พี่จะคุมคนของพี่ยังไง เพราะเริ่มก่อความวุ่นวายแล้ว” เป็นคำถามจากผู้สื่อข่าวถึงแกนนำ ศปปส. แต่กลับถูกพฤติกรรมข่มขู่อย่างชัดเจน #ศปปส #พรรคก้าวไกล CR. @thereportersth

ภายในคลิปดังกล่าวนั้น ทางแกนนำของ ศปปส.ได้ข่มขู่ผู้สื่อข่าวด้วยถ้อยคำว่า 
 
“แค่วุ่นวายคนเดียวคุณจะมีปัญหาอะไรป่ะหล่ะ คุณมีปัญหามากเลยหรอ แค่วุ่นวายคนเดียว ผมก็ห้ามของผมได้ คุณด่าคนอื่นเขาได้ เป็นไรอ่ะ” 
 
ก่อนที่แกนนำ ศปปส.หันไปตะโกนกล่าวกับคณะให้ทุกคนอย่าขัดขืนคำสั่งเด็ดขาด ให้ทำตามแกนนำ อย่าไปเข้าทางเขา และเหตุการณ์จึงคลี่คลายลง
 
https://twitter.com/jaabthot/status/1675380387189788677
 


ชี้ชะตา3ก.ค.? ลุ้นศาลพิพากษา ‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก-พวก’ ฉ้อโกงประชาชน
https://www.dailynews.co.th/news/2494999/

พรุ่งนี้ ลุ้นศาลอาญา พิพากษา คดี "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" กับ พวก ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน หลังชวนลงทุน ซื้อขาย-ฝาก ขายสินค้าแบรนด์เนม ช่วงปี 63 - 64 เสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรุ่งนี้ (3 ก.ค.) เวลา 09.30 น.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีฉ้อโกงประชาชนหมายเลขดำ อ.1837/2564 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท วีเลิฟยัวแบ็ก (ไทยแลนด์) จำกัด จำเลยที่ 1 น.ส.อมราภรณ์ หรือ พันตรีหญิง พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข จำเลยที่ 2
 
บริษัท เหนือโลก จำกัด โดย นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กรรมการผู้จัดการ ในฐานะนิติบุคคล จำเลยที่ 3 นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก อดีตประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน นักธุรกิจพันล้าน จำเลยที่ 4 นายกิตติศักดิ์ เย็นนานนทน์ จำเลยที่ 5 น.ส.ณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม จำเลยที่ 6 บริษัท เอ็ม โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด โดย นางสาวสิริมา เนาวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 7 น.ส.สิริมา เนาวรัตน์ จำเลยที่ 8 และ นายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ จำเลยที่ 9
โดยจำเลยทั้ง 9 ร่วมกันในฐานความผิด พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3, 4, 5, 9, 11, 12, 15 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14(1) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 341, 343 และให้พวกจำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายที่ยังไม่ได้รับคืน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
 
อัยการโจทก์ ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2563 ถึงวันที่ 19 เม.ย. 2564 พวกจำเลยได้ร่วมกันและแยกกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันด้วยการหลอกลวงและแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยการโฆษณาชักชวนประชาชนมาร่วมลงทุนซื้อขาย ฝากขายสินค้าแบรนด์เนม เช่น หลุยส์ วิตตอง ชาแนล แอเมส กุชชี่ และสินค้าทำความสะอาดสินค้าแบรนด์ เนม เป็นต้น ในหลายรูปแบบคิดโดยจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน ร้อยละ 40.15-51.1ต่อปี
 
ซึ่งเป็นผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามที่สถาบันการเงินกฎหมายกำหนดที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี จนมีประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อร่วมลงทุนกับพวกจำเลยตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่พวกจำเลยตั้งขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วพวกจำเลยไม่มีเจตนานำเงินจากประชาชน และผู้เสียหายไปลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เป็นเพียงอุบายเพื่อนำเงินลงทุนมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกจำเลยเท่านั้น สร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาลกว่า 1,000 ล้านบาท ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามความผิดด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ศาลเคยนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ แต่เนื่องจากเอกสารในคดีมีจำนวนมาก ทำให้ศาลพิจารณาไม่แล้วเสร็จ จึงเลื่อนมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 3.ก.ค.แทน



‘ซีอีโอ แบงก์ใหญ่’ มั่นใจไทยไม่ซ้ำรอย ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’
https://www.dailynews.co.th/news/2494703/

"ซีอีโอ แบงก์ใหญ่" เชื่อประเทศไทยไม่เกิดวิกฤติซ้ำรอยต้มยำกุ้ง เหมือนปี 2540 ฐานะการเงินไทยแข็งแกร่ง มาตรฐานเงินกองทุนสูง มีวิธีจัดการหนี้ การกำกับดูแลเข้มข้นรัดกุม.

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดเผยว่า ปี 2566 ครบรอบ 26 ปี วิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งตนเองไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะกลับไปเหมือนปี 2540 เนื่องจากตอนนั้นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กำหนด 4.25% แต่ในเวลานี้อยู่ที่ 15% หรือ 4 เท่า และตอนนั้นให้แจกแจงหนี้ด้อยคุณภาพ หรือเอ็นพีแอล(หนี้เสีย) ให้นับการค้างชำระ แต่ตอนนี้ให้นับเสมือนเอ็นพีแอลแล้วได้เข้มขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อนเยอะมาก และต้องวางสำรองตามลำดับชั้นขึ้นมา มองว่าโอกาสเป็นที่ธนาคารจะกลับไปตอนต้มยำกุ้ง

ในปัจจุบันการกำกับดูแลเข้มขึ้นมาก ต้องกันเงินสำรองสูง มีกันชนหนา เงินสำรอง ทุนสูงสุดในเอเชีย ไม่ต้องห่วงเลย แบงก์ไทยแข็งแรงมาก และธปท.ทำการทดสอบสเตรทเทส แบงก์เล็กๆด้วยไม่ใช่แค่แบงก์ใหญ่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่