[CR] No.43 Lamb : ลูกแม่ ใครก็ลัก


ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 46 นาทีตลอดทั้งเรื่องมีแต่ความอึมครึมไปหมด เพราะมันเป็นหนัง Drama สงครามประสาทการชิงลูกระหว่างคนกับสัตว์ที่ฉาบหน้าด้วยความเป็น Horror เชื่อมโยงกับความเชื่อยุโรปอย่างเรื่องเล่าของซาตานในร่างแพะ ที่เรียกว่า บาโฟเม็ท ผู้ต่อต้านพระเจ้า มาเป็นจุดผูกโยงกับบทแล้ว Adapt ปรับเปลี่ยน Dialogue ให้ร่วมสมัยกับปัจจุบันในรูปแบบจิตวิทยา สำหรับผมไม่ Get กับ message เหล่านี้เท่าไหร่แต่ในแง่ของสถานะระหว่างคนกับสัตว์ที่นอกเหนือความเป็นเจ้านายกับสัตว์เลี้ยงผมกลับเข้าถึงง่ายมากกว่าจนอาจจะลืมไปว่าสัตว์ก็มีความรู้สึก มีหัวใจไม่ต่างกับมนุษย์ เพียงแค่พูดไม่ได้เท่านั้น แม้จะอ้างว่าทำด้วยความรักหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันคือการฝ่าฝืนธรรมชาติในที่เป็นอยู่ของมันจนกลายเป็นการละเมิดสิทธิไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าคุณชอบดูแนวนี้อยู่แล้วก็พอจะเดาทางได้ว่าหนังจะเดินไปในทิศทางไหนในตัวหนังเดินเรื่องไปอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบตามสไตล์หนังยุโรปที่รู้กันอยู่ ยังดีที่มี Sound ประกอบจังหวะพอกับแกล้มให้บรรยากาศเป็นใจได้นิดหน่อย มีช่วงที่นิ่งและเงียบจนเกือบวูบหลับเป็นระยะ จึงไม่เหมาะกับคนใจร้อนเท่าไหร่ ต้องอาศัยความใจเย็น มีสมาธิ ทนต่อภาพเคลื่อนไหวที่ค่อย ๆ เดินพร้อมกับเราต้องเรียบเรียงเรื่องราวที่เข้ามาเสิร์ฟเป็นระยะว่า Details เหล่านี้มันจะเชื่อมโยงกันยังไงต่อ  

แม้ Plot จะมีความ Fantasy จนเกิดคำถามลอยขึ้นมาในหัวบ้าง แต่พอดูจบแล้วบอกได้ว่าไม่มี Scene ที่ต้องใช้ Effects ปรุงแต่งเข้ามาเสริมจินตนาการใด ๆ แม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็แอบสังเกตว่าบาง scene มีกลิ่นอายจากเรื่องอื่นผสมอยู่เหมือนกัน แม้หนังจะทำทรงเนิบ ๆ ช้า ๆ ติดอาร์ตเกินไปหน่อย แต่หนังสามารถกำหนดทิศทางจัดวาง story เป็นเส้นตรงที่ซื่อสัตย์และจริงใจกับการใส่ Scene อ่อนโยนที่ทำให้ผมแอบอมยิ้มขึ้นมาได้บ้าง เช่น  Scene อาบน้ำและแต่งตัวให้น้องแกะ , นั่งกินข้าวพร้อมกันเป็นพ่อแม่ลูก หรือ เล่นดนตรีด้วยกัน จนบางทีก็ลืมความรู้สึกย้อนแย้งกับการกระทำของนางเอกที่ไปเอาของเขามาเป็นของตัวเอง (ขโมยนั่นแหล่ะ) นั่นคือจุดเริ่มต้นในเรื่องราวทั้งหมดขณะเดียวกันก็ชวนให้คิดแอบสงสัยไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งถ้าผ่านจุดนี้ไปได้คุณจะมีภูมิคุ้มกันในการเสพงานอินดี้เรื่องอื่นได้ไม่ยากอีกต่อไป

บรรยากาศในหนังเลือกใช้ภาพเป็นโทนสีฟ้าเป็น Main หลักของเรื่อง มี Location เป็นบ้านหลังเดี่ยวของนางเอกตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาขาวโพลนแซมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีเป็นส่วนผสมระหว่างความสวยงามและความน่ากลัวได้อย่างกลมกลืน ซึ่งการถ่ายทำจากสถานที่จริงช่วยทำให้เรารู้สึกเชื่อว่าสมจริง เหมือนเดินอยู่ในสถานที่นั้นจริง ๆ บวกกับความสว่างของท้องฟ้าสีเทาปนก้อนเมฆขาว ๆ ปกคลุมช่วยบิ๊วท์กับความเย็นชาและความสิ้นหวังกับสภาวะไม่คงที่อยู่ในใจของตัวละครเข้าไปอีก โดยเฉพาะ scene ที่แม่แกะมาตามหาลูก แต่ถูกนางเอกไล่ออกไป ผมนี้รู้สึกทั้งสงสารและขนลุกผสมกัน เข้าใจว่ามีปมเรื่องลูก แต่สิ่งที่ทำอยู่มันไม่ถูกต้อง การเอาปมของตนเองมาอ้างเป็นความชอบธรรมให้แก่ตนเองไม่สามารถหักล้างกับการขโมยของผู้อื่นได้หรอก ลองคิดดูถ้าหากเป็นตัวเองโดนบ้างจะรู้สึกยังไง

ความที่ตัวละครนำหลัก ๆ มีกันแค่ 2 สามีภรรยา รับบทโดย คุมแม่ Noomi Rapace จาก What happened to monday (2017) กับ Hilmir Snær Guðnason จาก Woman at war (2018) ที่อยู่ด้วยกันในบ้านกระท่อมหลังโดด ๆ เลี้ยงแกะไปวันๆ จึงมีบทพูดค่อนข้างน้อยจึงอาศัยให้ภาพเล่าเรื่องซะมากกว่า แต่คุมแม่ Noomi เอาอยู่ทุกอย่าง สามารถถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านอากัปกิริยาได้ยอดเยี่ยมไปตั้งแต่ต้นจนจบ การเดินเรื่องช่วงเริ่มต้นจึงหมดไปกับชีวิตประจำวันของทั้งคู่ที่ดูไร้ชีวิตชีวาจนกระทั่งการปรากฎตัวของ น้อนแกะ นั่นแหล่ะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งและช่วยทำให้เรื่องน่าติดตามมากขึ้น หากน้อนแกะคือเปลวไฟเล็ก ๆ ที่เพิ่งจุดประกาย ฉะนั้นการมาเยือนของพี่ชายของสามี รับบทโดย Björn Hlynur Haraldsson จาก Eurovision song contest : the story of fire saga (2020)  ก็เป็นน้ำมันที่พร้อมราดลงเปลวไฟในความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ลุกโชนขึ้น จะเห็นว่าช่วงกลางเรื่องเหมือนอารมณ์รัก 3 เศร้า เรา 3 คนขนาดย่อม แต่หนังก็รู้ตัวดีว่าคงจะใช้มุกนี้ต่อไม่ได้แล้วจึงเลือกวิธีตัดประเด็นตรงนี้ทิ้งไปแล้วหันกลับมาโฟกัสที่ตัวน้อนแกะแบบดีกว่า ซึ่งกว่าจะเลี้ยวหัวกลับก็ปาเข้าไปเกือบช่วงท้าย ๆ จะจบเรื่องแล้ว

สรุปสำหรับผมชอบ แต่ไม่ได้ยอดเยี่ยมที่สุด ชอบบรรยากาศอมทุกข์ หลอน ๆ เยือกเย็น กับ การตีความใน Message ระหว่างความเชื่อกับจิตวิทยาที่เสิร์ฟเข้ามาให้ท้าทายสมองจนเป็นสาระสำคัญทิ้งท้ายให้เกิดข้อคิดเตือนใจคน แม้ในภาพรวมในการเล่าเรื่องดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะน่ากลัวก็ไม่สุด จะดราม่าก็ไม่ถึงมืออีก เรียกว่ายังไม่สุดทางเท่าไหร่ บางปมก็ไม่บอกที่มาก่อนว่า หรือบาง scene ก็ไม่เข้าใจว่าจะสื่อถึงอะไร เช่น ไม่เล่าที่มาว่าลูกเสียชีวิตเพราะอะไร หรือ ฝูงน้อนแกะวิ่งกรุออกมาจากกรง ก็ปล่อยให้คนดูไปคิดกันเอาเอง ยังดีที่พลังการแสดงของแม่ Noomi ช่วยแบกทั้งเรื่องไว้ได้ตลอดรอดฝั่งไม่งั้นจะน่าเบื่อกว่านี้แน่ บทสรุปก็จบดื้อ ๆ ไปซะงั้นแต่ยอมรับว่าหนังให้เหตุผลทั้งเหวอทั้งสะเทือนใจจนเกิดคำถามขึ้นมาทันที แม้ในใจของผมจะรู้คำตอบได้แล้วก็ตาม ดังนั้นความรักบางทีก็มาในรูปแบบของความผูกพันและความเห็นแก่ตัวเช่นกัน เป็นปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึกไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว เมื่อเกิดความอยากได้อยากเป็นเจ้าของครอบครองจนมืดบอดตามัวก็สามารถกระทำในสิ่งตรงกันข้ามกับความผิดชอบชั่วดีได้ทั้งนั้น รวมถึงให้ข้อคิดที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าหาทำกับสิ่งที่มองไม่เห็น เราไม่รู้ว่าการเอาตัวไปเล่นกับบางสิ่งบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ จะต้องแลกกับอะไร ฉะนั้นมีสติ เข้าใจในหลักการ อยู่กับความจริง และ ใช้ชีวิตในแบบที่ควรเป็นดีกว่า

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่