คดีหุ้น itv จบแล้ว!!??

ผมเห็น อาจารย์พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ท่านจั่วหัวในเฟส ว่า "คดีหุ้น itv จบแล้ว"  ทำให้เกิดคำถามว่าท่านมีมุมมองเรื่องนี้อย่างไร 
จริงๆ ค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใด อ.พิชาย ท่านถึงได้มั่นใจนั้นว่า กรณีคุณพิธาจะรอดแน่

แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเพราะ อ.พิชาย ท่านอาจมองในแง่ของรัฐศาสตร์แต่ท่านอาจลืมไปว่า กรณีของคุณพิธา นั้นเป็นเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติ เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนแบบกติกา ที่แบบถ้าพบว่าฝืนก็ถูกจับฟาวล์

ดังนั้นผมเห็นว่าการพิเคราะห์เรื่องคุณสมบัติจึงต้องว่ากันตามกฎหมาย พ.ร.ป.ฯ ที่ปรากฏไว้อย่างตรงไปตรงมา

เห็นว่าน่าสนใจที่จะนำมาถกกันในสาระ จึงขออนุญาต ยกเหตุผลของท่าน และความเห็นที่ผมไม่เห็นด้วยมาตอบในนี้ (ยาวหน่อยครับ แต่อยากให้ลองคิดลองถกตามกันดู)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ความเห็นผมก็คือ  หุ้น itv เป็นหุ้นที่คุณพิธาสวมหมวกสองใบในเวลาเดียวกัน คือหมวกแรกในฐานะผู้จัดการมรดก และอีกหมวกคือในฐานะทายาทมรดก ซึ่งกรณีนี้ต้องนำมาตรา ปพพ. มาตรา 1599 “เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท....”  ดังนั้นจริงชัดเจนว่าคุณพิธาย่อมมีส่วนในทรัพย์มรดกนั้นนับแต่เจ้ามรดกตาย(ทันที)  

ดังนั้น การตีความว่าคุณพิธาเป็นเพียงการถือครองแทนในฐานะผู้จัดการมรดก (ซึ่งเป็นการแต่งตั้งและทำหลังจากทรัพย์นั้นคุณพิธามีส่วนมาก่อนแล้ว) และคุณพิธามิได้มีการแจ้งสละสิทธิในส่วนมรดกของตน  จึงทำให้ตนย่อมมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกนั้นโดยสมบูรณ์ อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฎภายหลังว่าคุณพิธามีการโอนหุ้นของตนเองออกไปให้กับทายาทอื่นจึงเป็นการแย้งในข้อเท็จจริงที่ระบุว่าตนเองเป็นเพียงผู้จัดการมรดกจึงไม่น่าจะยกขึ้นมาต่อสู้ได้  และข้อสังเกตสำคัญที่ประกอบเอกสารที่ปรากฏในบัญชีผู้ถือหุ้นที่ระบุชื่อ คุณพิธา มิใช่ในฐานะผู้จัดการมรดก (ปรากฏตาม เวบไซด์ อิสราฯ) จึงยิ่งทำให้น้ำหนักการต่อสู้ในประเด็นนี้แทบไม่มี

 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
 
ข้อนี้ผมเห็นว่า กรณีตัวอย่าง นำมาเทียบเคียงกรณีตรงๆ ยังไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงในคดีมีความแตกต่างกัน  เช่นกรณีการยกข้อต่อสู้เรื่องการโอนหุ้นมรดกตาม ปพพ.แพ่ง ฯ เพื่อนำมาหักล้าง มาตรา 42(3) ตาม พ.ร.ป ว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่ระบุคุณสมบัติไว้ชัดเจนแล้วว่า ห้ามถือหุ้น ซึ่งข้อสังเกตในมาตรานี้ ต่างหากที่ควรนำมาพิจารณาถึงเจตนารมณ์ตามกฎหมายประกอบฉบับนี้ (มิใช่เจตนารมณ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ) ว่าเหตุใดจึงไม่กำหนดไว้ว่า การถือหุ้นแบบไหนอย่างไร หรือจำนวนเท่าไหร่จึงจะถือว่าต้องห้าม แต่กฎหมายกลับไม่ระบุ แต่เขียนชัดสั้น ๆ คือ  “ห้ามถือหุ้น”  

เหตุผลในการที่กฎหมายห้ามมีหุ้น นั้น ไม่จำเป็นต้องพิเคราะห์ให้หลงประเด็นว่า จำนวนเท่าไหร่จึงจะเป็นข้อยกเว้น (มิฉะนั้นก็คงมีการระบุไว้กฏหมายแล้ว เช่น  ห้ามมิให้ถือหุ้นสื่อ เว้นแต่หุ้นที่ถือนั้นมีจำนวนน้อยจนพิจารณาได้ว่าไม่สามารถครอบงำหรือชี้นำได้ฯลฯ)

ดังนั้นการไม่ระบุจำนวนหุ้นในมาตรานี้ จึงชัดทั้งในการถกชั้นกรรมาธิการ และผ่านสภาฯ จนตราออกมาเป็นกฎหมาย เพราะเห็นว่า แม้นจะมีหุ้นเพียง 0.000000001% นั่นไม่ใช้ประเด็น แต่ประเด็นคือ การครอบงำหรือชี้นำสื่อนั้น นักการเมืองสามารถย่อมใช้อิทธิพลอื่นใดได้อยู่แล้ว ดังนั้นการเขียนให้สั้นกระชับ และไ่ม่ให้ยกเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อสู้จะสามารถบังคับใช้ในทางปฏิบัติได้ชัดเจนมากกว่า (อธิบายแบบชาวบ้านคือ ห้ามถือหุ้นก็ห้ามหมดเลย)

ส่วนประเด็นที่ว่า itv เป็นสื่อหรือไม่ นั้น ผมมองว่าศาลท่านอาจพิเคราะห์อย่างง่าย ๆ คือ เมื่อยังไม่ได้แจ้งจดยกเลิก และตลอดเวลากิจการนั้นมีการทำธุรกรรมที่ต้องบังคับตามกฎหมายมาตลอด อาทิการยื่นงบฯ การจัดประชุมผู้ถือหุ้น ฯลฯ  จึงเป็นกิจกรรมที่ชัดเจนว่า itv ยังดำรงความเป็นสื่อตรงตามวัตถุประสงค์ทุกประการ  ส่วนจะออนแอร์หรือไม่นั้น หรือหยุดออนแอร์นานเพียงใดนั่นไม่ใช่ประเด็นจะต้องไปตีความให้มาตรานี้เสียงและอาจไปขัดค้อเจตนาเดิมในกฎหมายนี้(ที่ห้ามไม่ให้ถือเลย)  เพราะหากศาลท่านตีความตามการนำสืบว่า ไม่ได้ประกอบกิจการในทางพฤตินัย แต่หากศาลท่านตัดสินแล้ว คุณพิธารอด  ต่อมาเกิด itv ชนะคดีแล้วกลับมาออนแอร์ หรือเปลี่ยนจากออกแอร์มาเปลี่ยนเป็นเช่าช่องสถานีทำ หรือทำกิจการสื่อมวลชนอื่น ฯลฯ  แล้วจะทำกันอย่างไร?
 
ท่านใดที่อ่านกฎหมายออก...วิเคราะห์ข้อเท็จจริงเป็น  ก็น่าจะทราบดีครับ   อย่าไปหลงประเด็นอื่น นั่นได้มีน้ำหนักหรือประเด็นที่ศาลจะใช้เป็นข้อพิจารณาหลัก  

อย่าลืมว่า  การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  ท่านใช้วิธีการไต่สวน ดังนั้น การเรียกหาพยานหรือหลักฐานใด ๆ ไม่ได้ใช้การนำขึ้นสืบโดยผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องเท่านั้น แต่ท่านสามารถใช้อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงของท่านเพิ่มได้ตลอดเวลาครับ.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่