“เอกชัย” ยื่นร้องยุบพลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย สมาชิกมีเอี่ยวยื่นเท็จสอบ “พิธา”
https://www.one31.net/news/detail/63603
“เอกชัย” ร้อง กกต. ยุบพรรค “พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” ปมสมาชิกพรรคและผู้สมัคร ส.ส. อาจสมคบคิด ยื่นหลักฐานเท็จ สอบ “พิธา” ถือหุ้นiTV อาจเข้าข่ายแจ้งหลักฐานอันเป็นเท็จ
นาย
เอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ยื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากตั้งแต่ช่วงตันพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า นาย
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ร้องเรียนให้ กกต. ตรวจสอบคุณสมบัติ ของนาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากกรณีปมการถือหุ้น iTV อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และ 160
ส่วนนาย
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กลับมอบหลักฐานหลายรายการต่อ กกต. โดยมีรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น iTV ประจำปี พ.ศ. 2566 อันมีข้อความการตอบคำถาม จากนาย
ภานุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้น iTV ที่ได้รับมอบมาจากนาย
นิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 17 กรุงเทพ พรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ดำเนินกิจการของ iTV ต่อมาพบหลักฐานว่าประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เอกสารกับคลิปวิดีโอ ไม่ตรงกัน
โดยในคลิปวิดีโอการประชุมกรรมการบริหาร iTV ตอบคำถามประเด็นการดำเนินกิจการว่า
"
ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ"
แต่ในรายงานการประชุมนี้กลับระบุว่า
"
ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ"
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่ตรงกัน
ส่วนตัวมองว่ารายงานการประชุมนี้จึงมีข้อความอันเป็นเท็จ จึงได้ตั้งข้อสังเกต ว่า นาย
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนาย
นิกม์ แสงศิรินาวิน อาจร่วมกันสมคบนำหลักฐานเท็จกล่าวหานาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อกลั่นแกล้งให้ถูกเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งอันเป็นความผิดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 143
ขณะที่การเปลี่ยนมือหุ้นจากนาย
นิกม์ แสงศิรินาวิน ไปสู่ นาย
ภานุวัฒน์ ขวัญยืน อาจมีลักษณะเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อปกปิดความเป็นเจ้าของหุ้นของนาย
นิกม์ แสงศิรินาวิน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151
จึงขอให้คณะกรรมการเลือกตั้งดำเนินคดีอาญาต่อนาย
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนาย
นิกม์ แสงศิรินาวิน รวมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ในประเด็นดังกล่าว.
‘เพื่อไทย’ ต้อนรับทูต ‘โมซัมบิก’ ยินดีผลเลือกตั้ง หารือแลกเปลี่ยนด้านการค้า-การลงทุน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4029062
‘เพื่อไทย’ ต้อนรับทูต ‘โมซัมบิก’ ยินดีผลเลือกตั้ง หารือแลกเปลี่ยนด้านการค้า-การลงทุน
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายเบลมีรู จูแซ มาลาตี เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก และคณะ เข้าพบแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท., นาง
นลินี ทวีสิน ประธานคณะทำงานนโยบายด้านต่างประเทศ และ น.ส.
สรัสนันท์ อรรณนพพร ว่าที่ ส.ส.ขอนแก่น และคณะทำงานนโยบายด้านต่างประเทศ เพื่อหารือถึงแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย และโมซัมบิกในด้านการค้า การลงทุน และวาระอื่นๆ ตั้งแต่ความร่วมมือทางการพัฒนาด้านการเกษตร การประมง การพัฒนาสินค้าและการตลาด ตลอดจนด้านพลังงาน
โดย นาย
เบลมีรูกล่าวแสดงความยินดีกับพรรค พท.กับผลเลือกตั้ง พร้อมขอให้ได้รัฐบาลใหม่ และผู้นำใหม่โดยเร็ว เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนระหว่างกันในอนาคต เนื่องจากนับตั้งแต่การเยือนประเทศโมซัมบิกอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีการกระชับความสัมพันธ์อีกเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะประเทศโมซัมบิก และทวีปแอฟริกาคือโอกาสทางการค้าของประเทศไทย ประเทศโมซัมบิก และอีกหลายประเทศในแอฟริกามีความสนใจที่อยากกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า และเศรษฐกิจกับประเทศในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอุตสาหกรรมปลายน้ำหลายด้านที่สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่น ปิโตรเคมี ปุ๋ย การประมง และการเกษตร เป็นต้น
นาย
เบลมีรูกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ อุปสรรคทางการค้าและการลงทุนในประเทศแถบแอฟริกาคือ ปัญหาเรื่องความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการขนส่ง (logistics) หลังการขยายท่าเรือน้ำลึกในโมซัมบิกก็จะช่วยขยายโครงการขนส่งสินค้าได้สะดวกมากขึ้นอีกด้วย
ด้าน นาย
เศรษฐากล่าวว่า ทวีปแอฟริกามีศักยภาพตลาดที่น่าสนใจ มีทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นจำนวนมาก มีประชากรเยอะ อัตราการเกิดสูง ซึ่งพรรค พท.มองเห็นความสำคัญ และโอกาสทางการค้าการลงทุนกับประเทศโมซัมบิก และประเทศในแถบแอฟริกาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำประเทศไทย ควรต้องเป็นผู้นำในการเจรจาค้าขายอย่างจริงจัง ในส่วนของพรรค พท.จะช่วยประสานภาคธุรกิจจับคู่เจรจาค้าขายอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะทลายทุกอุปสรรคเพื่อประโยชน์ต่อประเทศแน่นอน
ก้าวไกล ร่ายยาวสิ่งที่ทำในโอกาสครบรอบ 1 เดือนเลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4029232
ก้าวไกล ร่ายยาวสิ่งที่ทำในโอกาสครบรอบ 1 เดือนเลือกตั้ง ย้ำกกต.รับรองส.ส.เร็ว ประเทศยิ่งเปลี่ยนเร็วขึ้น
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พรรคก้าวไกลโพสต์ผ่าน “
เพจพรรคก้าวไกล – Move Forward Party” ในโอกาสครบรอบ 1 เดือนของการเลือกตั้งส.ส. พร้อมชี้แจงการดำเนินงานตลอดเดือนที่ผ่านมา ดังนี้
‘ว่าที่ ส.ส.’ ก้าวไกลเดินหน้าทำงานเปลี่ยนประเทศมาแล้ว 1 เดือน
วันนี้ 14 มิถุนายน 2566 คือวันครบรอบ 1 เดือนของการเลือกตั้งที่ประชาชนทั้งประเทศ มอบอำนาจและความไว้วางใจให้พรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 ถึง 14,438,851 เสียง ผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต 112 คน และผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ 39 คน ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคอันดับหนึ่ง
พวกเรามีความฝันร่วมกันที่จะเปลี่ยนประเทศนี้ให้ดีขึ้น พวกเราเชื่อว่าโครงสร้างทางอำนาจ วิธีการบริหารประเทศ และผู้บริหารแบบเดิมไม่สามารถสร้างอนาคตให้กับประเทศนี้ได้
ตลอด 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่า กกต. จะยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลทุกคน ต่างเดินหน้าแข็งขันเพื่อเปลี่ยนประเทศ ตั้งแต่การแก้ปัญหาระดับพื้นฐานที่สุดในพื้นที่ การพบพูดคุยกับผู้คนกลุ่มคนต่างๆ เพื่อแสวงหาฉันทามติในการผลักดันนโยบาย และการทำงานศึกษานโยบายและการทำงานที่ผ่านมาของหน่วยงานเพื่อเปลี่ยนประเทศ
พวกเราทำอะไรไปแล้วบ้าง?
(1) ทันทีที่เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พรรคก้าวไกลได้ประชุมอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดที่มีจุดยืนต่อต้านอำนาจเผด็จการเพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ทำให้มีจำนวนเสียง ส.ส. ในสภา 313 เสียง ซึ่งเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาด
(2) พวกเราได้จัดประชุมเพื่อลงนามใน MOU หรือข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประกอบไปด้วย 23 วาระที่สำคัญ เช่น การผลักดันกระจายอำนาจ สมรสเท่าเทียม การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การสร้างสวัสดิการประชาชน รวมทั้งยังได้ตกลงที่จะปฏิบัติตามแนวทางอีก 5 ข้อ เพื่อสร้างการบริหารประเทศที่ดี
(3) พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลยังได้เดินหน้า ตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐบาล (Transition Team) ขึ้นมา เพื่อศึกษาและขับเคลื่อนนโยบายในระหว่างการรอการรับรองผลการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล
(4) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เดินหน้าพบตัวแทนผู้คนกลุ่มต่างๆ ในสังคม เพื่อหาฉันทามติร่วมกันในการผลักดันนโยบายการบริหารประเทศ กลุ่มคนที่พวกเราไปพบมาแล้วประกอบด้วย
– ตัวแทนจาก World Economic Forum เพื่อสร้างความร่วมมือ รวมทั้งพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมการประชุมประจำปี Davos World Economic Forum ที่ผู้นำประเทศ นักธุรกิจ นักวิชาการ ตลอดจนผู้นำกิจกรรมจากประเทศต่างๆ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจโลก และความท้าทายต่างๆ ที่นานาชาติต้องเผชิญ
– เข้าพบสภาอุตสาหกรรม เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายจากภาคอุตสาหกรรมพร้อมทั้งรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อกังวลของตัวแทนภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะนโยบายด้านการเพิ่มผลิตภาพ ความโปร่งใส และค่าแรง
– พูดคุยกับสภาอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ (Young FTI) เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคจากภาครัฐที่นักธุรกิจต้องเผชิญ
– พูดคุยกับกลุ่มสุราพื้นบ้าน-คราฟต์เบียร์ ที่ฝากความหวังการผลักดันสุราก้าวหน้าให้สำเร็จ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจทั่วประเทศ
– เข้าพูดคุยกับตัวแทน 45 สหภาพแรงงาน เพื่อรับฟังข้อเสนอเพิ่มเติมและตอบคำถามนโยบาย ในการเชื่อมต่อให้เกิดการทำงานร่วมกันหลังจากนี้
– เข้าพบสภาหอการค้าไทย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจ และยืนยันกับกลุ่มธุรกิจว่าโมเดลการพัฒนาประเทศแบบเดิมไม่สามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้
– ประชุมร่วมกับ 3 สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศไทย เพื่อยืนยันหลักการของนโยบายกระจายอำนาจ ว่าจะดำเนินไปอย่างแน่นอน 3 ขั้นตอน คือ ยกเลิกระเบียบมหาดไทยที่ไม่ให้อิสระท้องถิ่น, ทำประชามติเลือกตั้งผู้ว่าฯ และ ถ่ายโอนงาน-เงิน-คน ให้ท้องถิ่นให้ได้ปีละ 200,000 ล้านบาท
– เข้าร่วมกิจกรรม Pride Month ยืนยันเดินหน้าสมรสเท่าเทียมให้ผ่านสภาทันทีภายใน 100 วัน ภายหลังเป็นรัฐบาล และจะผลักดันนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศอื่นให้เกิดขึ้น
– ประชุมร่วมกับผู้ว่าฯ กทม. เพื่อลดช่องว่างการทำงานร่วมกัน ระหว่างรัฐบาลกลางและกรุงเทพฯ รวมถึงกระชับการทำงานระหว่างกันให้ใกล้ชิดขึ้นในฐานะที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างใน กทม.
– เข้าหารือแนวทางป้องกันปราบปรามการทุจริตกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) พร้อมยืนยันนโยบายที่จะสร้างความโร่งใสใน 100 วัน และตั้งเป้าว่าดัชนีคอร์รัปชันต้องดีขึ้นภายในรัฐบาลก้าวไกล
– เข้าพบสมาพันธ์ SME เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทางนโยบาย ในการผลักดันให้ SME มีสภา SME ของตนเองแบบเดียวกับบริษัทใหญ่มีสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร และสภาตลาดทุน
(5) นอกจากพิธาแล้ว ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล เดินหน้าทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น
– ‘วิโรจน์’ รับหนังสือและเอกสารหลักฐานเรื่องร้องเรียน “ส่วยทางหลวง” จาก สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการและสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งจำนวน 10 สมาคมทั่วประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสั่งย้ายข้าราชการและสืบสวนข้อเท็จจริง
– ‘ปกรณ์วุฒิ’ รับหนังสือจากตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน ที่ฝากความหวังแก้ปัญหาส่วย และการแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย
– ‘กรุณพล’ เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เหมาะสมของกรมการข้าว
– ด้านเครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคก้าวไกล นำโดย ‘เซีย จำปาทอง’ ประกาศพร้อมยื่นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ทันทีเมื่อเปิดสภาฯ ชุดใหม่ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงาน พร้อมกับเชิญชวนประชาชนแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงกฎหมายสหภาพแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีอำนาจสมดุลกับผู้จ้างงาน มีสิทธิการรวมตัวและนัดหยุดงานตามหลักสากล สอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การแรงงานฉบับที่ 87 และ 98
JJNY : 5in1 ยื่นยุบพปชร.-ภท.│‘พท.’รับทูต‘โมซัมบิก’│ก้าวไกลร่ายยาว│หวั่นตั้งรัฐบาลใหม่ลากยาว│ปูตินรับ ขาดแคลนยุทโธปกรณ์
https://www.one31.net/news/detail/63603
“เอกชัย” ร้อง กกต. ยุบพรรค “พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” ปมสมาชิกพรรคและผู้สมัคร ส.ส. อาจสมคบคิด ยื่นหลักฐานเท็จ สอบ “พิธา” ถือหุ้นiTV อาจเข้าข่ายแจ้งหลักฐานอันเป็นเท็จ
นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ยื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากตั้งแต่ช่วงตันพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ร้องเรียนให้ กกต. ตรวจสอบคุณสมบัติ ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากกรณีปมการถือหุ้น iTV อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และ 160
ส่วนนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กลับมอบหลักฐานหลายรายการต่อ กกต. โดยมีรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น iTV ประจำปี พ.ศ. 2566 อันมีข้อความการตอบคำถาม จากนายภานุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้น iTV ที่ได้รับมอบมาจากนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 17 กรุงเทพ พรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ดำเนินกิจการของ iTV ต่อมาพบหลักฐานว่าประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เอกสารกับคลิปวิดีโอ ไม่ตรงกัน
โดยในคลิปวิดีโอการประชุมกรรมการบริหาร iTV ตอบคำถามประเด็นการดำเนินกิจการว่า
"ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ"
แต่ในรายงานการประชุมนี้กลับระบุว่า
"ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ"
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่ตรงกัน
ส่วนตัวมองว่ารายงานการประชุมนี้จึงมีข้อความอันเป็นเท็จ จึงได้ตั้งข้อสังเกต ว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายนิกม์ แสงศิรินาวิน อาจร่วมกันสมคบนำหลักฐานเท็จกล่าวหานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อกลั่นแกล้งให้ถูกเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งอันเป็นความผิดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 143
ขณะที่การเปลี่ยนมือหุ้นจากนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ไปสู่ นายภานุวัฒน์ ขวัญยืน อาจมีลักษณะเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อปกปิดความเป็นเจ้าของหุ้นของนายนิกม์ แสงศิรินาวิน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151
จึงขอให้คณะกรรมการเลือกตั้งดำเนินคดีอาญาต่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายนิกม์ แสงศิรินาวิน รวมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ในประเด็นดังกล่าว.
‘เพื่อไทย’ ต้อนรับทูต ‘โมซัมบิก’ ยินดีผลเลือกตั้ง หารือแลกเปลี่ยนด้านการค้า-การลงทุน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4029062
‘เพื่อไทย’ ต้อนรับทูต ‘โมซัมบิก’ ยินดีผลเลือกตั้ง หารือแลกเปลี่ยนด้านการค้า-การลงทุน
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายเบลมีรู จูแซ มาลาตี เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก และคณะ เข้าพบแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท., นางนลินี ทวีสิน ประธานคณะทำงานนโยบายด้านต่างประเทศ และ น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร ว่าที่ ส.ส.ขอนแก่น และคณะทำงานนโยบายด้านต่างประเทศ เพื่อหารือถึงแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย และโมซัมบิกในด้านการค้า การลงทุน และวาระอื่นๆ ตั้งแต่ความร่วมมือทางการพัฒนาด้านการเกษตร การประมง การพัฒนาสินค้าและการตลาด ตลอดจนด้านพลังงาน
โดย นายเบลมีรูกล่าวแสดงความยินดีกับพรรค พท.กับผลเลือกตั้ง พร้อมขอให้ได้รัฐบาลใหม่ และผู้นำใหม่โดยเร็ว เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนระหว่างกันในอนาคต เนื่องจากนับตั้งแต่การเยือนประเทศโมซัมบิกอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีการกระชับความสัมพันธ์อีกเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะประเทศโมซัมบิก และทวีปแอฟริกาคือโอกาสทางการค้าของประเทศไทย ประเทศโมซัมบิก และอีกหลายประเทศในแอฟริกามีความสนใจที่อยากกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า และเศรษฐกิจกับประเทศในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอุตสาหกรรมปลายน้ำหลายด้านที่สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่น ปิโตรเคมี ปุ๋ย การประมง และการเกษตร เป็นต้น
นายเบลมีรูกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ อุปสรรคทางการค้าและการลงทุนในประเทศแถบแอฟริกาคือ ปัญหาเรื่องความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการขนส่ง (logistics) หลังการขยายท่าเรือน้ำลึกในโมซัมบิกก็จะช่วยขยายโครงการขนส่งสินค้าได้สะดวกมากขึ้นอีกด้วย
ด้าน นายเศรษฐากล่าวว่า ทวีปแอฟริกามีศักยภาพตลาดที่น่าสนใจ มีทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นจำนวนมาก มีประชากรเยอะ อัตราการเกิดสูง ซึ่งพรรค พท.มองเห็นความสำคัญ และโอกาสทางการค้าการลงทุนกับประเทศโมซัมบิก และประเทศในแถบแอฟริกาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำประเทศไทย ควรต้องเป็นผู้นำในการเจรจาค้าขายอย่างจริงจัง ในส่วนของพรรค พท.จะช่วยประสานภาคธุรกิจจับคู่เจรจาค้าขายอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะทลายทุกอุปสรรคเพื่อประโยชน์ต่อประเทศแน่นอน
ก้าวไกล ร่ายยาวสิ่งที่ทำในโอกาสครบรอบ 1 เดือนเลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4029232
ก้าวไกล ร่ายยาวสิ่งที่ทำในโอกาสครบรอบ 1 เดือนเลือกตั้ง ย้ำกกต.รับรองส.ส.เร็ว ประเทศยิ่งเปลี่ยนเร็วขึ้น
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พรรคก้าวไกลโพสต์ผ่าน “เพจพรรคก้าวไกล – Move Forward Party” ในโอกาสครบรอบ 1 เดือนของการเลือกตั้งส.ส. พร้อมชี้แจงการดำเนินงานตลอดเดือนที่ผ่านมา ดังนี้
‘ว่าที่ ส.ส.’ ก้าวไกลเดินหน้าทำงานเปลี่ยนประเทศมาแล้ว 1 เดือน
วันนี้ 14 มิถุนายน 2566 คือวันครบรอบ 1 เดือนของการเลือกตั้งที่ประชาชนทั้งประเทศ มอบอำนาจและความไว้วางใจให้พรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 ถึง 14,438,851 เสียง ผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต 112 คน และผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ 39 คน ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคอันดับหนึ่ง
พวกเรามีความฝันร่วมกันที่จะเปลี่ยนประเทศนี้ให้ดีขึ้น พวกเราเชื่อว่าโครงสร้างทางอำนาจ วิธีการบริหารประเทศ และผู้บริหารแบบเดิมไม่สามารถสร้างอนาคตให้กับประเทศนี้ได้
ตลอด 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่า กกต. จะยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลทุกคน ต่างเดินหน้าแข็งขันเพื่อเปลี่ยนประเทศ ตั้งแต่การแก้ปัญหาระดับพื้นฐานที่สุดในพื้นที่ การพบพูดคุยกับผู้คนกลุ่มคนต่างๆ เพื่อแสวงหาฉันทามติในการผลักดันนโยบาย และการทำงานศึกษานโยบายและการทำงานที่ผ่านมาของหน่วยงานเพื่อเปลี่ยนประเทศ
พวกเราทำอะไรไปแล้วบ้าง?
(1) ทันทีที่เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พรรคก้าวไกลได้ประชุมอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดที่มีจุดยืนต่อต้านอำนาจเผด็จการเพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ทำให้มีจำนวนเสียง ส.ส. ในสภา 313 เสียง ซึ่งเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาด
(2) พวกเราได้จัดประชุมเพื่อลงนามใน MOU หรือข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประกอบไปด้วย 23 วาระที่สำคัญ เช่น การผลักดันกระจายอำนาจ สมรสเท่าเทียม การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การสร้างสวัสดิการประชาชน รวมทั้งยังได้ตกลงที่จะปฏิบัติตามแนวทางอีก 5 ข้อ เพื่อสร้างการบริหารประเทศที่ดี
(3) พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลยังได้เดินหน้า ตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐบาล (Transition Team) ขึ้นมา เพื่อศึกษาและขับเคลื่อนนโยบายในระหว่างการรอการรับรองผลการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล
(4) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เดินหน้าพบตัวแทนผู้คนกลุ่มต่างๆ ในสังคม เพื่อหาฉันทามติร่วมกันในการผลักดันนโยบายการบริหารประเทศ กลุ่มคนที่พวกเราไปพบมาแล้วประกอบด้วย
– ตัวแทนจาก World Economic Forum เพื่อสร้างความร่วมมือ รวมทั้งพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมการประชุมประจำปี Davos World Economic Forum ที่ผู้นำประเทศ นักธุรกิจ นักวิชาการ ตลอดจนผู้นำกิจกรรมจากประเทศต่างๆ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจโลก และความท้าทายต่างๆ ที่นานาชาติต้องเผชิญ
– เข้าพบสภาอุตสาหกรรม เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายจากภาคอุตสาหกรรมพร้อมทั้งรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อกังวลของตัวแทนภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะนโยบายด้านการเพิ่มผลิตภาพ ความโปร่งใส และค่าแรง
– พูดคุยกับสภาอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ (Young FTI) เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคจากภาครัฐที่นักธุรกิจต้องเผชิญ
– พูดคุยกับกลุ่มสุราพื้นบ้าน-คราฟต์เบียร์ ที่ฝากความหวังการผลักดันสุราก้าวหน้าให้สำเร็จ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจทั่วประเทศ
– เข้าพูดคุยกับตัวแทน 45 สหภาพแรงงาน เพื่อรับฟังข้อเสนอเพิ่มเติมและตอบคำถามนโยบาย ในการเชื่อมต่อให้เกิดการทำงานร่วมกันหลังจากนี้
– เข้าพบสภาหอการค้าไทย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจ และยืนยันกับกลุ่มธุรกิจว่าโมเดลการพัฒนาประเทศแบบเดิมไม่สามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้
– ประชุมร่วมกับ 3 สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศไทย เพื่อยืนยันหลักการของนโยบายกระจายอำนาจ ว่าจะดำเนินไปอย่างแน่นอน 3 ขั้นตอน คือ ยกเลิกระเบียบมหาดไทยที่ไม่ให้อิสระท้องถิ่น, ทำประชามติเลือกตั้งผู้ว่าฯ และ ถ่ายโอนงาน-เงิน-คน ให้ท้องถิ่นให้ได้ปีละ 200,000 ล้านบาท
– เข้าร่วมกิจกรรม Pride Month ยืนยันเดินหน้าสมรสเท่าเทียมให้ผ่านสภาทันทีภายใน 100 วัน ภายหลังเป็นรัฐบาล และจะผลักดันนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศอื่นให้เกิดขึ้น
– ประชุมร่วมกับผู้ว่าฯ กทม. เพื่อลดช่องว่างการทำงานร่วมกัน ระหว่างรัฐบาลกลางและกรุงเทพฯ รวมถึงกระชับการทำงานระหว่างกันให้ใกล้ชิดขึ้นในฐานะที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างใน กทม.
– เข้าหารือแนวทางป้องกันปราบปรามการทุจริตกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) พร้อมยืนยันนโยบายที่จะสร้างความโร่งใสใน 100 วัน และตั้งเป้าว่าดัชนีคอร์รัปชันต้องดีขึ้นภายในรัฐบาลก้าวไกล
– เข้าพบสมาพันธ์ SME เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทางนโยบาย ในการผลักดันให้ SME มีสภา SME ของตนเองแบบเดียวกับบริษัทใหญ่มีสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร และสภาตลาดทุน
(5) นอกจากพิธาแล้ว ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล เดินหน้าทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น
– ‘วิโรจน์’ รับหนังสือและเอกสารหลักฐานเรื่องร้องเรียน “ส่วยทางหลวง” จาก สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการและสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งจำนวน 10 สมาคมทั่วประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสั่งย้ายข้าราชการและสืบสวนข้อเท็จจริง
– ‘ปกรณ์วุฒิ’ รับหนังสือจากตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน ที่ฝากความหวังแก้ปัญหาส่วย และการแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย
– ‘กรุณพล’ เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เหมาะสมของกรมการข้าว
– ด้านเครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคก้าวไกล นำโดย ‘เซีย จำปาทอง’ ประกาศพร้อมยื่นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ทันทีเมื่อเปิดสภาฯ ชุดใหม่ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงาน พร้อมกับเชิญชวนประชาชนแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงกฎหมายสหภาพแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีอำนาจสมดุลกับผู้จ้างงาน มีสิทธิการรวมตัวและนัดหยุดงานตามหลักสากล สอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การแรงงานฉบับที่ 87 และ 98