ปธ.สมาพันธ์เอสเอ็มอี ‘ไม่เอา รบ.แห่งชาติ’ พิธานัดถก 13 มิ.ย. ฝากเพิ่มโทษรีดส่วย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4009080
ปธ.สมาพันธ์เอสเอ็มอี ‘ไม่เอา รบ.แห่งชาติ’ พิธานัดถก 13 มิ.ย. ฝากเพิ่มโทษรีดส่วย
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา นาย
แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมเศรษฐกิจของพรรค จะเดินทางมาที่สมาพันธ์ (ถนนประชาชื่น) เพื่อพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนและรับฟังถึงสถานการณ์เอสเอ็มอี และรับฟังแนวทางต่างๆ ของทั้งสองฝ่าย
นาย
แสงชัยกล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาพันธ์อยู่ระหว่างการหารือภายในเพื่อเก็บข้อมูลและข้อเสนอของเครือข่ายเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ซึ่งในวันที่พบคณะนายพิธาก็จะมีประธานเอสเอ็มอีทุกภาคเข้าร่วมพูดคุยด้วย ทั้งนี้ สหพันธ์จะมุ่งเน้นการเกิดปฏิบัติได้จริงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งในส่วนนี้มีจำนวนเอสเอ็มอีถึง 85% ที่เกี่ยวข้องและขับเคลื่อน และเอสเอ็มอีคาดหวังหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
“
ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีเราผลักดันมาตลอด ที่จะร่วมมือและให้รัฐบาลสนับสนุนและแก้ปัญหาที่กำลังประสบอยู่ เพราะหากแก้ไขได้ตรงจุด จะมีส่วนผลักดันสัดส่วนจีดีพีเอสเอ็มอีจากไม่เกิน 35% ของจีดีพีประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 17 ล้านล้านบาท ขณะที่จำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีถึง 85% ให้สัดส่วนจีดีพีเอสเอ็มอีขยับเป็น 40-50% ในอนาคต อยากเสนอให้รัฐบาลใหม่นำการผลักดันเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายร่วมกันของรัฐและเอกชนให้เกิดเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นทางสมาพันธ์ได้เตรียมกลไก 5 ประเด็นขึ้นมาหารือในครั้งนี้” นาย
แสงชัยกล่าว
นาย
แสงชัยกล่าวต่อว่า สำหรับ 5 ประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นหารือกับนายพิธาและทีมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย
1. ขจัดปัญหาสะสมที่มีผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 450 บาท เรื่องนี้มีผลกระทบ และยังเห็นว่าไม่ถึงเวลาที่จะมีการปรับค่าแรงในอัตราสูงๆ ทันที ด้วยสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมของเอสเอ็มอีรายย่อย ยังไม่ฟื้นตัวเท่าก่อนเกิดเชื้อโควิด-19 ระบาด ยังมีหนี้สะสมสูง ยอดประกอบการยังไม่นิ่ง และกำลังซื้อทั่วไปยังไม่คล่องตัว
2. เร่งแก้กฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัยและยังเป็นอุปสรรค ซึ่งวันนี้ยังมีขั้นตอนและใช้เวลามากต่อการจะยื่นขออนุมัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้เกิดการทำธุรกิจ อยากให้รื้อระบบที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในระบบและนอกระบบ
นาย
แสงชัยกล่าวว่า 3.สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหารายได้เข้าประเทศ ทั้งการส่งเสริมการพัฒนาและลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้จะมีธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักได้รับการคัดเลือกก่อน 4.ยกระดับสมรรถภาพและขีดคงามสามารถเอสเอ็มอีและแรงงานภาคเอสเอ็มอี โดยส่งเสริมการเข้าถึงนวัตกรรม มาตรฐานสากล ออกระเบียบเอื้อการทำธุรกิจรายย่อยโดยตรง และหนุนการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มมาเสริมการทำงาน ที่จะมีผลดีต่อการลดต้นทุนในอนาคต
นาย
แสงชัยกล่าวต่อว่า เรื่องที่ 5 เร่งช่วยเหลือให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งทุน และมีการออกกลไกเฉพาะเพื่อช่วยเอสเอ็มอี เช่น จัดตั้งกองทุนใหม่ หรือปรับกองทุนเดิมที่มีอยู่ มาเพิ่มสัดส่วนให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึง ทดแทนที่เอสเอ็มอีต้องดิ้นร้นหาแหล่งทุนนอกระบบหรือเข้าระบบนอนแบงก์ ที่ต้องเสียอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-30% จากในระบบ 7-12%
นาย
แสงชัยกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทั้ง 5 ประเด็นดำเนินการโดยเร็วและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มปรับใน 5 เรื่องควบคู่กันไป คือกำหนดนิยามเอสเอ็มอีให้เหมือนกัน เพราะวันนี้แต่ละหน่วยงานกำหนดนิยามเอสเอ็มอีที่แตกต่างกัน ทำให้การเข้าเงินทุนหรือความช่วยเหลือตามมาตรการรัฐหรือเอกชนแตกต่างและตรงจุดน้อย อยากให้ยึดนิยามเอสเอ็มอีของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จากนั้นให้กำหนดมาตรการและดัชนีชี้วัดของความช่วยเหลือที่ให้เอสเอ็มอีเพื่อนำไปปรับปรุงหรือต่อยอด ประการต่อมา คือ จัดสรรงบประมาณและพิจารณาโครงการใช้งบน้อยแต่ได้งานมาก ปรับวิธีและกำลังคนที่ให้เกิดงานที่รวดเร็วและโปร่งใส รวมถึงมีการเปิดเผยดัชนีชี้วัดการทำงานของทีมงานรับผิดชอบนั้นๆ เพื่อให้ตระหนักถึงการทำงานและผลงานที่จะเกิดขึ้น
“
การปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นเป็น 2% กระทบต่อภาระที่เพิ่มขึ้นของเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายย่อยสูงขึ้นในอีก ที่ตอนนี้หลายแสนรายก็ยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ และต้องพึ่งพาเงินนอกระบบต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นดอกเบี้นมีผลต่อราคาสินค้าและเงินเฟ้อขยับขึ้นไปอีก ยังมีปัญหาสะสมเดิมอีก ทั้งต้นทุนพลังงาน ค่าไฟ วัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน ตลาดซื้อฝืด หนี้สูง
“ดังนี้ อยากให้รัฐบาลใหม่ควรจะดีไซต์มาตรการที่จะพยุงเอสเอ็มอีไม่แค่อยู่รอด แต่รอดแบบยั่งยืนด้วย เอสเอ็มอีไม่ยากแค่แลกเงินแต่อยากให้มั่นคงด้วย แน่นอนการอยากเห็นตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ความไม่ชัดแจนและการตัดสินใจเดินหน้าต่อการทำธุรกิจไม่ชะงักนาน เศรษฐกิจและประเทศจะเสียหาย เรื่องแนวคิดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย ระบอบประชาธิปไตย ต้องมีการถ่วงดุลฝ่ายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อเกิดการตรวจสอบ ไม่ให้เป็นพวกเดียวกันหมดแล้วภาพเห็นแค่คนดีทั้งหมดก็อาจไม่ได้นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขได้อย่างแท้จริง หรือรวดเร็วหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เอสเอ็มอีอยากเห็นการเมืองสร้างสรรค์ มากกว่าขัดแย้ง” นาย
แสงชัยกล่าว
นาย
แสงชัยกล่าวว่า เรื่องปัญหา ส่วย ก็เช่นกัน อีกเรื่องอยากฝากให้รัฐบาลใหม่เร่งทำ ซึ่งส่วนตัวมองว่าต้องเริ่มที่ต้นตอของบุคคลหรือระบบที่ไม่มีช่องโหว่และสร้างระบบที่ตรวจสอบได้ เห็นด้วยหากนำระบบดิจิทัลบล็อกเชน มาใช้ที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังและรู้ว่าแต่ละขั้นตอนอยู่ตรงใด อยากเสนอให้นำระบบตรวจสอบทรัพย์สินมาใช้กับเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจในการอนุมัติและกำกับดูแล หากมีความผิดปกติก็จะเข้าตรวจรายละเอียด และควรมีการเพิ่มบทลงโทษมากกว่าขึ้น ให้มองว่าเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นที่รุนแรงสูงสุด เหมือนในหลายประเทศ กำหนดโทษสูงมาก อย่างประเทศสิงคโปร์
พิชาย ฉะ รบ.รักษาการ แพ้เลือกตั้งแต่ไม่ยอมรับ นายกฯขาดสปิริต ส.ว.ชงแนวคิดประหลาดอีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4009143
พิชาย สะท้อนปัญหาการเมืองไทย รัฐบาลรักษาการแพ้เลือกตั้งแล้วไม่ยอมรับ นายกฯ-ส.ส.เสียงข้างน้อยขาดสปิริต ส.ว.ชงแนวคิดประหลาด ซ้ำ กกต.ทำงานช้ามาก
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน รศ.ดร.
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) แสดงทรรศระกรณีปัญหาทางการเมืองไทย ณ ขณะนี้ ความว่า
1.การขาดน้ำใจนักกีฬาของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลรักษาการที่แพ้เลือกตั้งแล้วไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่เคารพมติเสียงข้างมากของประชาชน ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อพลิกสถานการณ์ให้ตนเองเป็นรัฐบาล
2.ส.ว.ขวาจัดดัดจริตจำนวนหนึ่งที่ออกมาเสนอความคิดประหลาด ราวกับไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย บางคนก็ออกมาวิเคราะห์แบบหลุดโลก บางคนก็ขยันปล่อยข่าวลือแบบหาที่มาที่ไปไม่ได้ ทั้งหมดแล้วทั้งปวงทำดัดจริตว่ามีอุดมการณ์ ห่วงบ้านห่วงเมือง แต่ดูแล้วน่าจะมีเจตนาบางอย่างแอบแฝง
3.การทำงานที่ล่าช้าของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ 3 สัปดาห์หลังเลือกตั้งแล้ว ยังไม่ประกาศรับรอง ส.ส.แม้แต่คนเดียว เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง
4.นักการเมืองที่เป็น ส.ส.เสียงข้างน้อยไม่มีสปิริตเพียงพอที่ประกาศจุดยืนสนับสนุนเสียงข้างมาก เพื่อช่วยให้การจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น โดยไม่พึ่งพาเสียงที่ไร้ความชอบธรรมของ ส.ว.
5.นายกรัฐมนตรีรักษาการขาดสปิริตทางการเมือง ไม่ยอมลาออกทั้งที่รัฐบาลเสนอ พ.ร.ก.ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
‘โรม’ อัด ‘วิษณุ’ ขวาง ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ลั่นเดินหน้า ‘รัฐบาลแห่งประชาชน’ ไม่ใช่ ‘รัฐบาลแห่งชาติ’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4009148
‘โรม’ อัด ‘วิษณุ’ ขวาง ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ลั่นเดินหน้า ‘รัฐบาลแห่งประชาชน’ ไม่ใช่ ‘รัฐบาลแห่งชาติ’
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงตอบโต้กรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุปัญหาคุณสมบัติการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อาจทำให้เกิดปัญหาการเลือกตั้งเป็นโมฆะต้องเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ ว่า ต้องดูกฎหมายอื่นด้วย ตนไม่อยากจะลงรายละเอียดมาก เพราะเป็นเรื่องที่ต้องว่าไปตามคดีความ แต่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคในการเป็นสมาชิกพรรคของนายพิธาแน่นอน
“ขอยืนยันว่าบรรดานักร้องทั้งหลายที่ไปหยิบเอาเรื่องต่างๆ มาใช้ในการร้อง เจตนาของเขามีแค่เรื่องเดียว คือต้องการให้พรรค ก.ก.ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและเตะตัดขานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาไม่เป็นความจริง และเรามีการเตรียมการอยู่เป็นระยะ ถ้าเราโดนร้องไม่ว่าเรื่องอะไรเราพร้อมที่จะต่อสู้ตามกฎหมาย รวมไปถึงการดำเนินคดีในส่วนที่ใส่ร้ายและนำเรื่องเท็จไปร้อง ” นายรังสิมันต์กล่าว
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว.เสนอให้ตั้ง”รัฐบาลแห่งชาติ”ว่า คำถามสำคัญในตอนนี้คือการที่เราจะออกจากความขัดแย้งคือเราต้องการรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลแห่งประชาชน 8 พรรคที่ตั้งร่วมในขณะนี้ก็มาจากเสียงของประชาชนจำนวนมาก เกินครึ่งอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าเราเคารพในเสียงประชาชน และช่วยกันเตือนว่าทุกครั้งที่มีการไม่เคารพมติของประชาชนและเลือกระบบที่ไม่ตรงกับเจตจำนงของพวกเขามาโดยตลอด อันนั้นคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ส่วนตัวเข้าใจนายจเด็จที่แสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว เพราะไม่มีใครอยากจะมีความขัดแย้งต่อไป แต่เรารักษามติของประชาชนไม่ใช่หรือ ที่จะออกจากความขัดแย้งได้
นายพิธากล่าวต่อว่า หากทำตรงกันข้ามเมื่อใดนั่นคือสิ่งที่ประวัติศาสตร์สอนเรามา 20 ปีเป็นอย่างน้อย เรื่องดังกล่าวคือต้นเหตุ คือความขัดแย้ง จึงอยากยืนยันว่าพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกคน พร้อมที่จะเป็นรัฐบาลแห่งประชาชน ไม่ได้เป็นแค่รัฐบาลแห่งชาติเพียงอย่างเดียว
JJNY : ปธ.สมาพันธ์เอสเอ็มอี ‘ไม่เอา รบ.แห่งชาติ’│พิชายฉะ รบ.รักษาการ│‘โรม’อัด‘วิษณุ’ขวาง‘พิธา’│ถล่มกรุงเคียฟทำแม่-ลูกดับ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4009080
ปธ.สมาพันธ์เอสเอ็มอี ‘ไม่เอา รบ.แห่งชาติ’ พิธานัดถก 13 มิ.ย. ฝากเพิ่มโทษรีดส่วย
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมเศรษฐกิจของพรรค จะเดินทางมาที่สมาพันธ์ (ถนนประชาชื่น) เพื่อพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนและรับฟังถึงสถานการณ์เอสเอ็มอี และรับฟังแนวทางต่างๆ ของทั้งสองฝ่าย
นายแสงชัยกล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาพันธ์อยู่ระหว่างการหารือภายในเพื่อเก็บข้อมูลและข้อเสนอของเครือข่ายเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ซึ่งในวันที่พบคณะนายพิธาก็จะมีประธานเอสเอ็มอีทุกภาคเข้าร่วมพูดคุยด้วย ทั้งนี้ สหพันธ์จะมุ่งเน้นการเกิดปฏิบัติได้จริงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งในส่วนนี้มีจำนวนเอสเอ็มอีถึง 85% ที่เกี่ยวข้องและขับเคลื่อน และเอสเอ็มอีคาดหวังหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
“ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีเราผลักดันมาตลอด ที่จะร่วมมือและให้รัฐบาลสนับสนุนและแก้ปัญหาที่กำลังประสบอยู่ เพราะหากแก้ไขได้ตรงจุด จะมีส่วนผลักดันสัดส่วนจีดีพีเอสเอ็มอีจากไม่เกิน 35% ของจีดีพีประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 17 ล้านล้านบาท ขณะที่จำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีถึง 85% ให้สัดส่วนจีดีพีเอสเอ็มอีขยับเป็น 40-50% ในอนาคต อยากเสนอให้รัฐบาลใหม่นำการผลักดันเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายร่วมกันของรัฐและเอกชนให้เกิดเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นทางสมาพันธ์ได้เตรียมกลไก 5 ประเด็นขึ้นมาหารือในครั้งนี้” นายแสงชัยกล่าว
นายแสงชัยกล่าวต่อว่า สำหรับ 5 ประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นหารือกับนายพิธาและทีมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย
1. ขจัดปัญหาสะสมที่มีผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 450 บาท เรื่องนี้มีผลกระทบ และยังเห็นว่าไม่ถึงเวลาที่จะมีการปรับค่าแรงในอัตราสูงๆ ทันที ด้วยสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมของเอสเอ็มอีรายย่อย ยังไม่ฟื้นตัวเท่าก่อนเกิดเชื้อโควิด-19 ระบาด ยังมีหนี้สะสมสูง ยอดประกอบการยังไม่นิ่ง และกำลังซื้อทั่วไปยังไม่คล่องตัว
2. เร่งแก้กฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัยและยังเป็นอุปสรรค ซึ่งวันนี้ยังมีขั้นตอนและใช้เวลามากต่อการจะยื่นขออนุมัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้เกิดการทำธุรกิจ อยากให้รื้อระบบที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในระบบและนอกระบบ
นายแสงชัยกล่าวว่า 3.สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหารายได้เข้าประเทศ ทั้งการส่งเสริมการพัฒนาและลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้จะมีธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักได้รับการคัดเลือกก่อน 4.ยกระดับสมรรถภาพและขีดคงามสามารถเอสเอ็มอีและแรงงานภาคเอสเอ็มอี โดยส่งเสริมการเข้าถึงนวัตกรรม มาตรฐานสากล ออกระเบียบเอื้อการทำธุรกิจรายย่อยโดยตรง และหนุนการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มมาเสริมการทำงาน ที่จะมีผลดีต่อการลดต้นทุนในอนาคต
นายแสงชัยกล่าวต่อว่า เรื่องที่ 5 เร่งช่วยเหลือให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งทุน และมีการออกกลไกเฉพาะเพื่อช่วยเอสเอ็มอี เช่น จัดตั้งกองทุนใหม่ หรือปรับกองทุนเดิมที่มีอยู่ มาเพิ่มสัดส่วนให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึง ทดแทนที่เอสเอ็มอีต้องดิ้นร้นหาแหล่งทุนนอกระบบหรือเข้าระบบนอนแบงก์ ที่ต้องเสียอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-30% จากในระบบ 7-12%
นายแสงชัยกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทั้ง 5 ประเด็นดำเนินการโดยเร็วและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มปรับใน 5 เรื่องควบคู่กันไป คือกำหนดนิยามเอสเอ็มอีให้เหมือนกัน เพราะวันนี้แต่ละหน่วยงานกำหนดนิยามเอสเอ็มอีที่แตกต่างกัน ทำให้การเข้าเงินทุนหรือความช่วยเหลือตามมาตรการรัฐหรือเอกชนแตกต่างและตรงจุดน้อย อยากให้ยึดนิยามเอสเอ็มอีของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จากนั้นให้กำหนดมาตรการและดัชนีชี้วัดของความช่วยเหลือที่ให้เอสเอ็มอีเพื่อนำไปปรับปรุงหรือต่อยอด ประการต่อมา คือ จัดสรรงบประมาณและพิจารณาโครงการใช้งบน้อยแต่ได้งานมาก ปรับวิธีและกำลังคนที่ให้เกิดงานที่รวดเร็วและโปร่งใส รวมถึงมีการเปิดเผยดัชนีชี้วัดการทำงานของทีมงานรับผิดชอบนั้นๆ เพื่อให้ตระหนักถึงการทำงานและผลงานที่จะเกิดขึ้น
“การปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นเป็น 2% กระทบต่อภาระที่เพิ่มขึ้นของเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายย่อยสูงขึ้นในอีก ที่ตอนนี้หลายแสนรายก็ยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ และต้องพึ่งพาเงินนอกระบบต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นดอกเบี้นมีผลต่อราคาสินค้าและเงินเฟ้อขยับขึ้นไปอีก ยังมีปัญหาสะสมเดิมอีก ทั้งต้นทุนพลังงาน ค่าไฟ วัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน ตลาดซื้อฝืด หนี้สูง
“ดังนี้ อยากให้รัฐบาลใหม่ควรจะดีไซต์มาตรการที่จะพยุงเอสเอ็มอีไม่แค่อยู่รอด แต่รอดแบบยั่งยืนด้วย เอสเอ็มอีไม่ยากแค่แลกเงินแต่อยากให้มั่นคงด้วย แน่นอนการอยากเห็นตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ความไม่ชัดแจนและการตัดสินใจเดินหน้าต่อการทำธุรกิจไม่ชะงักนาน เศรษฐกิจและประเทศจะเสียหาย เรื่องแนวคิดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย ระบอบประชาธิปไตย ต้องมีการถ่วงดุลฝ่ายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อเกิดการตรวจสอบ ไม่ให้เป็นพวกเดียวกันหมดแล้วภาพเห็นแค่คนดีทั้งหมดก็อาจไม่ได้นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขได้อย่างแท้จริง หรือรวดเร็วหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เอสเอ็มอีอยากเห็นการเมืองสร้างสรรค์ มากกว่าขัดแย้ง” นายแสงชัยกล่าว
นายแสงชัยกล่าวว่า เรื่องปัญหา ส่วย ก็เช่นกัน อีกเรื่องอยากฝากให้รัฐบาลใหม่เร่งทำ ซึ่งส่วนตัวมองว่าต้องเริ่มที่ต้นตอของบุคคลหรือระบบที่ไม่มีช่องโหว่และสร้างระบบที่ตรวจสอบได้ เห็นด้วยหากนำระบบดิจิทัลบล็อกเชน มาใช้ที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังและรู้ว่าแต่ละขั้นตอนอยู่ตรงใด อยากเสนอให้นำระบบตรวจสอบทรัพย์สินมาใช้กับเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจในการอนุมัติและกำกับดูแล หากมีความผิดปกติก็จะเข้าตรวจรายละเอียด และควรมีการเพิ่มบทลงโทษมากกว่าขึ้น ให้มองว่าเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นที่รุนแรงสูงสุด เหมือนในหลายประเทศ กำหนดโทษสูงมาก อย่างประเทศสิงคโปร์
พิชาย ฉะ รบ.รักษาการ แพ้เลือกตั้งแต่ไม่ยอมรับ นายกฯขาดสปิริต ส.ว.ชงแนวคิดประหลาดอีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4009143
พิชาย สะท้อนปัญหาการเมืองไทย รัฐบาลรักษาการแพ้เลือกตั้งแล้วไม่ยอมรับ นายกฯ-ส.ส.เสียงข้างน้อยขาดสปิริต ส.ว.ชงแนวคิดประหลาด ซ้ำ กกต.ทำงานช้ามาก
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) แสดงทรรศระกรณีปัญหาทางการเมืองไทย ณ ขณะนี้ ความว่า
1.การขาดน้ำใจนักกีฬาของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลรักษาการที่แพ้เลือกตั้งแล้วไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่เคารพมติเสียงข้างมากของประชาชน ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อพลิกสถานการณ์ให้ตนเองเป็นรัฐบาล
2.ส.ว.ขวาจัดดัดจริตจำนวนหนึ่งที่ออกมาเสนอความคิดประหลาด ราวกับไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย บางคนก็ออกมาวิเคราะห์แบบหลุดโลก บางคนก็ขยันปล่อยข่าวลือแบบหาที่มาที่ไปไม่ได้ ทั้งหมดแล้วทั้งปวงทำดัดจริตว่ามีอุดมการณ์ ห่วงบ้านห่วงเมือง แต่ดูแล้วน่าจะมีเจตนาบางอย่างแอบแฝง
3.การทำงานที่ล่าช้าของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ 3 สัปดาห์หลังเลือกตั้งแล้ว ยังไม่ประกาศรับรอง ส.ส.แม้แต่คนเดียว เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง
4.นักการเมืองที่เป็น ส.ส.เสียงข้างน้อยไม่มีสปิริตเพียงพอที่ประกาศจุดยืนสนับสนุนเสียงข้างมาก เพื่อช่วยให้การจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น โดยไม่พึ่งพาเสียงที่ไร้ความชอบธรรมของ ส.ว.
5.นายกรัฐมนตรีรักษาการขาดสปิริตทางการเมือง ไม่ยอมลาออกทั้งที่รัฐบาลเสนอ พ.ร.ก.ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
‘โรม’ อัด ‘วิษณุ’ ขวาง ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ลั่นเดินหน้า ‘รัฐบาลแห่งประชาชน’ ไม่ใช่ ‘รัฐบาลแห่งชาติ’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4009148
‘โรม’ อัด ‘วิษณุ’ ขวาง ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ลั่นเดินหน้า ‘รัฐบาลแห่งประชาชน’ ไม่ใช่ ‘รัฐบาลแห่งชาติ’
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงตอบโต้กรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุปัญหาคุณสมบัติการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อาจทำให้เกิดปัญหาการเลือกตั้งเป็นโมฆะต้องเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ ว่า ต้องดูกฎหมายอื่นด้วย ตนไม่อยากจะลงรายละเอียดมาก เพราะเป็นเรื่องที่ต้องว่าไปตามคดีความ แต่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคในการเป็นสมาชิกพรรคของนายพิธาแน่นอน
“ขอยืนยันว่าบรรดานักร้องทั้งหลายที่ไปหยิบเอาเรื่องต่างๆ มาใช้ในการร้อง เจตนาของเขามีแค่เรื่องเดียว คือต้องการให้พรรค ก.ก.ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและเตะตัดขานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาไม่เป็นความจริง และเรามีการเตรียมการอยู่เป็นระยะ ถ้าเราโดนร้องไม่ว่าเรื่องอะไรเราพร้อมที่จะต่อสู้ตามกฎหมาย รวมไปถึงการดำเนินคดีในส่วนที่ใส่ร้ายและนำเรื่องเท็จไปร้อง ” นายรังสิมันต์กล่าว
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว.เสนอให้ตั้ง”รัฐบาลแห่งชาติ”ว่า คำถามสำคัญในตอนนี้คือการที่เราจะออกจากความขัดแย้งคือเราต้องการรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลแห่งประชาชน 8 พรรคที่ตั้งร่วมในขณะนี้ก็มาจากเสียงของประชาชนจำนวนมาก เกินครึ่งอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าเราเคารพในเสียงประชาชน และช่วยกันเตือนว่าทุกครั้งที่มีการไม่เคารพมติของประชาชนและเลือกระบบที่ไม่ตรงกับเจตจำนงของพวกเขามาโดยตลอด อันนั้นคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ส่วนตัวเข้าใจนายจเด็จที่แสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว เพราะไม่มีใครอยากจะมีความขัดแย้งต่อไป แต่เรารักษามติของประชาชนไม่ใช่หรือ ที่จะออกจากความขัดแย้งได้
นายพิธากล่าวต่อว่า หากทำตรงกันข้ามเมื่อใดนั่นคือสิ่งที่ประวัติศาสตร์สอนเรามา 20 ปีเป็นอย่างน้อย เรื่องดังกล่าวคือต้นเหตุ คือความขัดแย้ง จึงอยากยืนยันว่าพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกคน พร้อมที่จะเป็นรัฐบาลแห่งประชาชน ไม่ได้เป็นแค่รัฐบาลแห่งชาติเพียงอย่างเดียว