ลลิตา เผย พม่าจับตาการเมืองไทย ฝั่งต้านรัฐประหารคาดหวัง ‘รัฐบาลใหม่’ พรึบฟังบรรยายนับร้อย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4010655
ลลิตา เผย พม่าจับตาการเมืองไทย ฝั่งต้านรัฐประหารคาดหวัง ‘รัฐบาลใหม่’ พรึบฟังบรรยายนับร้อย
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.ดร.
ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์ประเด็นรัฐบาลใหม่ของไทยกับการเมืองในพม่า ในบทความ ‘
รัฐบาลใหม่กับการร่วมแก้ปัญหาในพม่า’ คอลัมน์ ไทยพบพม่า นสพ.มติชนรายวัน ตอนหนึ่งว่า
ตนค่อนข้างจะมั่นใจว่าในบรรดาประเทศทั้งหมดในอาเซียน พม่ามีท่าทีที่เป็นบวกกับไทยมากที่สุด และไทยภายใต้ระบบราชการแบบเดิมก็มองว่าไทยจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติของพม่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองประเทศหมายถึงความมั่นคงทางพลังงานของไทย ความมั่งคั่งของการค้าชายแดน และความสงบตามแนวชายแดนไทย-พม่ายังเป็นประเด็นด้านความมั่นคงที่สำคัญของไทย การคบหากับเพื่อนบ้านอย่างพม่าจึงไปในแนว “
บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น” ไม่ว่าประชาคมโลกหรืออาเซียนจะพยายามขับเคลื่อนนโยบายที่จะนำพม่ากลับสู่การเจรจาสันติภาพและเส้นทางประชาธิปไตยเพียงใด ไทยจะสงวนท่าทีไว้เสมอ
ผศ.ดร.
ลลิตา ระบุด้วยว่า ครั้งหนึ่งเคยพบผู้ใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ใหญ่คนนั้นพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงกับตนว่า “
อาจารย์ไม่มีวันรู้อะไรทั้งหมดหรอก เพราะฉะนั้นก็อย่าวิเคราะห์อะไรมากนักเลย” เพียงเพื่อจะแสดงออกว่าไม่มีใครรู้เรื่องพม่าดีไปกว่าข้าราชการในกระทรวง
“
เมื่อไทยไม่ได้มีนโยบายต่อพม่าที่จะทำให้ทั่วโลกเขาสรรเสริญ หรือทำตัวให้เป็นหนึ่งในผู้นำอาเซียนอย่างสมน้ำสมเนื้อ คำถามคือแล้วจะทำอย่างไรเล่า ไทยถึงจะกู้ศักดิ์ศรีในเวทีการเมืองระหว่างประเทศขึ้นมาได้ ในฐานะที่คลุกคลีกับประเด็นเรื่องพม่า ก็ต้องบอกว่าพม่านี่ล่ะค่ะจะเป็นกุญแจสำคัญที่กู้ความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลกขึ้นมาได้จริงๆ” ผศ.ดร.
ลลิตาระบุ
ผศ.ดร.
ลลิตา เผยต่อไปว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตนได้รับเชิญจากเพื่อนให้ไปบรรยายสรุปเรื่องผลการเลือกตั้งของไทยกับผลที่จะมีต่อพม่า มีผู้เข้าร่วมเป็นภาคประชาสังคมทั้งในและนอกพม่ามากถึง 250 คน ก่อนการจะเริ่มขึ้น ผู้จัดงานบรีฟให้ฟังว่าจะมีคำถามเยอะ เพราะภาคประชาชนรวมทั้งฝ่ายต่อต้านคณะรัฐประหารให้ความสนใจและคอยจับตามองการเลือกตั้งในไทยอย่างใกล้ชิดจริงๆ
คำถามที่สะท้อนจากผู้เข้าร่วมการบรรยายชี้ว่าชาวพม่ามอบความหวังให้รัฐบาลไทยชุดใหม่เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาหลายระดับ ทั้งปัญหาด้านผู้ลี้ภัย หรือการกระตุ้นให้ไทยเป็นฟันเฟืองหลักของอาเซียนเพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสันติภาพในพม่าให้ได้
“
ตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ผู้ที่ออกแอ๊กชั่นเรื่องการเจรจาเพื่อนำพม่ากลับไปสู่ครรลองประชาธิปไตยแบบเดิมคืออาเซียน และเกิดโรดแมปที่เรียกว่า ฉันทามติ 5 ข้อ อย่างไรก็ดี เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่คณะรัฐประหารเมินโรดแมปนี้โดยสิ้นเชิง และทำให้การเจรจาใดก็ตามไม่เกิดมรรคผล หากไทยมีนโยบายที่เกี่ยวกับพม่าโดยตรง ที่ผ่านการกลั่นกรองจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเป้าหมายด่านแรกคือการบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในฝั่งพม่าก่อน และด่านที่สองคือเป็นผู้นำการเจรจากับพม่าในเวทีอาเซียน เพียงแค่นี้ก็จะดึงภาพลักษณ์ด้านการต่างประเทศของไทยขึ้นมาได้ หากรัฐบาลใหม่มีพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเป็นแกนนำ เชื่อว่าอย่างไรเสีย นโยบายที่เกี่ยวกับพม่าที่อธิบายมาก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
กลับมาดูภายในประเทศ ประเทศไทยมีแรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายหลายล้านคน ในสถานการณ์ที่ไทยขาดแคลนแรงงาน เด็กเกิดน้อยลง และเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจะเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศในภายภาคหน้า แต่ที่ผ่านมาแรงงานเหล่านี้กลับถูกขูดรีด ไม่ได้รับค่าจ้างเท่ากับแรงงานไทย และเป็นเป้าหมายของขบวนการค้ามนุษย์
เมื่อรัฐบาลใหม่มีเป้าหมายเพื่อการปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิทั้งหมดนี้ย่อมครอบคลุมพี่น้องแรงงานต่างชาติทั้งหมดที่เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศไทยมาตลอด ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายลงในฝั่งพม่า คาดเดาได้ไม่ยากว่าในอนาคตจะมีแรงงานผิดกฎหมายหลั่งไหลเข้ามาในไทย รัฐบาลใหม่ควรทำให้การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติง่ายขึ้น เพื่อนำคนเหล่านี้เข้าสู่ระบบ
ท้ายที่สุดแล้ว ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าความมั่นคงภายในของพม่าหมายถึงความมั่นคงในไทย ทั้งความมั่นคงในความหมายเดิมคือด้านดินแดนและการทหาร การอยู่รอดของไทยในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก อีกทั้งการเติบโตของภาคธุรกิจของไทยอีกด้วย” ผศ.ดร.
ลลิตาระบุ
ลุงป้าอย่าใจร้อน! อ.รัฐศาสตร์ฟันธง หนีไม่พ้นเปลี่ยนแปลง ได้เวลาแสดง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ เลิกเอาแต่ใจไร้หลักการ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4010374
ลุงป้าอย่าใจร้อน ‘อ.รัฐศาสตร์ ม.สกลฯ’ ฟันธง หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง ได้เวลาแสดง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ ที่น่าเคารพ หยุดเอาแต่ใจไร้หลักการ
สืบเนื่องสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่อยู่ระหว่างการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง ระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อนหน้า นั้น
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นาย
วิชาญ ฤทธิธรรม อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก
วิเคราะห์แนวคิดทางการเมือง ที่คนรุ่นใหม่ส่วนมากมีความเห็นแตกต่างออกไปจากอดีต โดยเน้นอุดมการณ์ทางการเมือง มากกว่าการยึดติดที่ตัวบุคคล นอกจากนี้ยังเชื่อด้วยว่า ไม่ว่าอย่างไรการเมืองไทยก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง หากมีเหตุฉุกเฉิน อย่างการยุบพรรค หรือรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็ยังคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้ง เช่นเดิม
นาย
วิชาญระบุว่า ประเทศไทยวันนี้ คนรุ่นใหม่ให้ความหวังมากกว่า ดูมีระบบไม่ยึดติดตัวบุคคลและไม่มั่ว พวกเขามองไกล ใจเย็น รอคอยได้ (ผมว่าเอง)
รัฐประหารก็หนีไม่พ้นการเลือกตั้ง พรรคที่ถูกยุบไปก็ไม่เคยแพ้เลือกตั้ง กรี๊ดดดดได้จ่ะ… แต่หนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลงนะ
ลุงป้าก็อย่าใจร้อนรนจนไม่ฟังเสียงพวกเขาที่ดังขึ้นมาอย่างเปิดเผย ผู้ใหญ่มิใช่เจ้าของประเทศฝ่ายเดียว และยิ่งมิใช่ผู้คุมโทนความคิดของสังคม แต่ที่ใช่แน่ๆ คือพวกท่านเป็นผู้สร้างสังคมแบบนี้ให้พวกเขาโตขึ้นมาพร้อมคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบดีๆ มีแต่จะสั่งสอนและปิดปาก
ผู้ใหญ่ที่พร่ำคำสอนให้เด็กโตไปไม่โกง แต่พอแพ้บนกติกาที่พวกท่านกำหนดเอง ก็ไม่รู้จักแสดงน้ำใจยอมรับความพ่ายแพ้และยินดีกับพวกเขา ซ้ำพยายามหาช่องทางบิดเบือนจนสังคมบิดเบี้ยว นี่ยังไม่นับถึงผู้ร่างกติกาที่แก่วิชาจนทำให้ฝ่ายชนะตามปกติของชาวโลกเท่ากับแพ้ ผู้ใหญ่ชนิดนี้เคารพได้ลงหรือ
ต้องเป็นผู้ใหญ่ใจเที่ยงธรรม ยอมรับฟังพวกเขาดูบ้าง หันมานั่งคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ พวกเขารอฟังเสียงผู้ใหญ่แบบที่มีคุณภาพคุณธรรมของพวกท่านนั่นล่ะ กรี๊ดดดดด พอยัง?
ได้เวลาแสดงมันออกมาแล้ว ความเป็นผู้ใหญ่
#เอาแต่ใจไร้หลักการคือรุ่นเก่า
https://www.facebook.com/wichan.phuseangdaw/posts/pfbid0agiGCVizQJdtULXWSBPDhtTU4TYCp7RjAjcMcHMfF9rVfCx9j4NpktGSawSHYqbsl
พิธาเอฟเฟกต์! พูดถึง 'สังเวียน' สุราพื้นบ้านสุพรรณฯ ไม่ถึงวันคนแห่จองหมดโรงงาน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7696773
พิธาเอฟเฟกต์! พูดถึง ‘สังเวียน’ สุราพื้นบ้านสุพรรณฯ ไม่ถึงวันคนแห่จองหมดโรงงาน โซเชียลระบุสิ่งนี่คือ Soft power อย่างโดยแท้จริง
2 มิ.ย. 2566 – หลังจาก นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งรายการ “
คุยนอกจอ” ที่ดำเนินรายการโดย นาย
สรยุทธ สุทัศนะจินดา ในเรื่องของ “
สุราก้าวหน้า”
โดยช่วงหนึ่ง นาย
พิธา ได้พูดถึง “
สังเวียน” สุรากลั่นจาก จ.สุพรรณบุรี ที่ผลิตโดยใช้น้ำหวานจากอ้อยสดมาหมัก ให้เกิดแอลกอฮอล์แล้วนำไปกลั่น
ล่าสุดแฟนเพจเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ “
ประชาชนเบียร์” ระบุว่า
ตอนนี้ที่โรงเหล้าสังเวียนวุ่นวานมาก หลักจากนายก
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดถึงเมื่อเช้า ตกเย็นของหมดโรงงาน
ขณะที่คอมเมนต์ในโลกโซเชียล ต่างแสดงความเสียดายที่ไม่สามารถจับจองได้ทัน พร้อมระบุว่านี่คือ Soft power โดยแท้จริง
https://www.facebook.com/prachachonbeer/posts/pfbid02Ko5Uwp2BGJFn5bXPXgCE6xEZbZidRb7GjqghGQ2yCWYvyrbPHLRrmthuKWoNysbtl
JJNY : ลลิตาเผย พม่าจับตาการเมืองไทย│ลุงป้าอย่าใจร้อน! อ.รัฐศาสตร์ฟันธง เลิกเอาแต่ใจ│พิธาเอฟเฟกต์!│รัสเซีย ระส่ำอีกครั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4010655
ลลิตา เผย พม่าจับตาการเมืองไทย ฝั่งต้านรัฐประหารคาดหวัง ‘รัฐบาลใหม่’ พรึบฟังบรรยายนับร้อย
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์ประเด็นรัฐบาลใหม่ของไทยกับการเมืองในพม่า ในบทความ ‘รัฐบาลใหม่กับการร่วมแก้ปัญหาในพม่า’ คอลัมน์ ไทยพบพม่า นสพ.มติชนรายวัน ตอนหนึ่งว่า
ตนค่อนข้างจะมั่นใจว่าในบรรดาประเทศทั้งหมดในอาเซียน พม่ามีท่าทีที่เป็นบวกกับไทยมากที่สุด และไทยภายใต้ระบบราชการแบบเดิมก็มองว่าไทยจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติของพม่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองประเทศหมายถึงความมั่นคงทางพลังงานของไทย ความมั่งคั่งของการค้าชายแดน และความสงบตามแนวชายแดนไทย-พม่ายังเป็นประเด็นด้านความมั่นคงที่สำคัญของไทย การคบหากับเพื่อนบ้านอย่างพม่าจึงไปในแนว “บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น” ไม่ว่าประชาคมโลกหรืออาเซียนจะพยายามขับเคลื่อนนโยบายที่จะนำพม่ากลับสู่การเจรจาสันติภาพและเส้นทางประชาธิปไตยเพียงใด ไทยจะสงวนท่าทีไว้เสมอ
ผศ.ดร.ลลิตา ระบุด้วยว่า ครั้งหนึ่งเคยพบผู้ใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ใหญ่คนนั้นพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงกับตนว่า “อาจารย์ไม่มีวันรู้อะไรทั้งหมดหรอก เพราะฉะนั้นก็อย่าวิเคราะห์อะไรมากนักเลย” เพียงเพื่อจะแสดงออกว่าไม่มีใครรู้เรื่องพม่าดีไปกว่าข้าราชการในกระทรวง
“เมื่อไทยไม่ได้มีนโยบายต่อพม่าที่จะทำให้ทั่วโลกเขาสรรเสริญ หรือทำตัวให้เป็นหนึ่งในผู้นำอาเซียนอย่างสมน้ำสมเนื้อ คำถามคือแล้วจะทำอย่างไรเล่า ไทยถึงจะกู้ศักดิ์ศรีในเวทีการเมืองระหว่างประเทศขึ้นมาได้ ในฐานะที่คลุกคลีกับประเด็นเรื่องพม่า ก็ต้องบอกว่าพม่านี่ล่ะค่ะจะเป็นกุญแจสำคัญที่กู้ความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลกขึ้นมาได้จริงๆ” ผศ.ดร.ลลิตาระบุ
ผศ.ดร.ลลิตา เผยต่อไปว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตนได้รับเชิญจากเพื่อนให้ไปบรรยายสรุปเรื่องผลการเลือกตั้งของไทยกับผลที่จะมีต่อพม่า มีผู้เข้าร่วมเป็นภาคประชาสังคมทั้งในและนอกพม่ามากถึง 250 คน ก่อนการจะเริ่มขึ้น ผู้จัดงานบรีฟให้ฟังว่าจะมีคำถามเยอะ เพราะภาคประชาชนรวมทั้งฝ่ายต่อต้านคณะรัฐประหารให้ความสนใจและคอยจับตามองการเลือกตั้งในไทยอย่างใกล้ชิดจริงๆ
คำถามที่สะท้อนจากผู้เข้าร่วมการบรรยายชี้ว่าชาวพม่ามอบความหวังให้รัฐบาลไทยชุดใหม่เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาหลายระดับ ทั้งปัญหาด้านผู้ลี้ภัย หรือการกระตุ้นให้ไทยเป็นฟันเฟืองหลักของอาเซียนเพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสันติภาพในพม่าให้ได้
“ตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ผู้ที่ออกแอ๊กชั่นเรื่องการเจรจาเพื่อนำพม่ากลับไปสู่ครรลองประชาธิปไตยแบบเดิมคืออาเซียน และเกิดโรดแมปที่เรียกว่า ฉันทามติ 5 ข้อ อย่างไรก็ดี เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่คณะรัฐประหารเมินโรดแมปนี้โดยสิ้นเชิง และทำให้การเจรจาใดก็ตามไม่เกิดมรรคผล หากไทยมีนโยบายที่เกี่ยวกับพม่าโดยตรง ที่ผ่านการกลั่นกรองจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเป้าหมายด่านแรกคือการบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในฝั่งพม่าก่อน และด่านที่สองคือเป็นผู้นำการเจรจากับพม่าในเวทีอาเซียน เพียงแค่นี้ก็จะดึงภาพลักษณ์ด้านการต่างประเทศของไทยขึ้นมาได้ หากรัฐบาลใหม่มีพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเป็นแกนนำ เชื่อว่าอย่างไรเสีย นโยบายที่เกี่ยวกับพม่าที่อธิบายมาก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
กลับมาดูภายในประเทศ ประเทศไทยมีแรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายหลายล้านคน ในสถานการณ์ที่ไทยขาดแคลนแรงงาน เด็กเกิดน้อยลง และเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจะเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศในภายภาคหน้า แต่ที่ผ่านมาแรงงานเหล่านี้กลับถูกขูดรีด ไม่ได้รับค่าจ้างเท่ากับแรงงานไทย และเป็นเป้าหมายของขบวนการค้ามนุษย์
เมื่อรัฐบาลใหม่มีเป้าหมายเพื่อการปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิทั้งหมดนี้ย่อมครอบคลุมพี่น้องแรงงานต่างชาติทั้งหมดที่เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศไทยมาตลอด ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายลงในฝั่งพม่า คาดเดาได้ไม่ยากว่าในอนาคตจะมีแรงงานผิดกฎหมายหลั่งไหลเข้ามาในไทย รัฐบาลใหม่ควรทำให้การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติง่ายขึ้น เพื่อนำคนเหล่านี้เข้าสู่ระบบ
ท้ายที่สุดแล้ว ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าความมั่นคงภายในของพม่าหมายถึงความมั่นคงในไทย ทั้งความมั่นคงในความหมายเดิมคือด้านดินแดนและการทหาร การอยู่รอดของไทยในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก อีกทั้งการเติบโตของภาคธุรกิจของไทยอีกด้วย” ผศ.ดร.ลลิตาระบุ
ลุงป้าอย่าใจร้อน! อ.รัฐศาสตร์ฟันธง หนีไม่พ้นเปลี่ยนแปลง ได้เวลาแสดง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ เลิกเอาแต่ใจไร้หลักการ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4010374
ลุงป้าอย่าใจร้อน ‘อ.รัฐศาสตร์ ม.สกลฯ’ ฟันธง หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง ได้เวลาแสดง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ ที่น่าเคารพ หยุดเอาแต่ใจไร้หลักการ
สืบเนื่องสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่อยู่ระหว่างการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง ระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อนหน้า นั้น
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายวิชาญ ฤทธิธรรม อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก
วิเคราะห์แนวคิดทางการเมือง ที่คนรุ่นใหม่ส่วนมากมีความเห็นแตกต่างออกไปจากอดีต โดยเน้นอุดมการณ์ทางการเมือง มากกว่าการยึดติดที่ตัวบุคคล นอกจากนี้ยังเชื่อด้วยว่า ไม่ว่าอย่างไรการเมืองไทยก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง หากมีเหตุฉุกเฉิน อย่างการยุบพรรค หรือรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็ยังคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้ง เช่นเดิม
นายวิชาญระบุว่า ประเทศไทยวันนี้ คนรุ่นใหม่ให้ความหวังมากกว่า ดูมีระบบไม่ยึดติดตัวบุคคลและไม่มั่ว พวกเขามองไกล ใจเย็น รอคอยได้ (ผมว่าเอง)
รัฐประหารก็หนีไม่พ้นการเลือกตั้ง พรรคที่ถูกยุบไปก็ไม่เคยแพ้เลือกตั้ง กรี๊ดดดดได้จ่ะ… แต่หนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลงนะ
ลุงป้าก็อย่าใจร้อนรนจนไม่ฟังเสียงพวกเขาที่ดังขึ้นมาอย่างเปิดเผย ผู้ใหญ่มิใช่เจ้าของประเทศฝ่ายเดียว และยิ่งมิใช่ผู้คุมโทนความคิดของสังคม แต่ที่ใช่แน่ๆ คือพวกท่านเป็นผู้สร้างสังคมแบบนี้ให้พวกเขาโตขึ้นมาพร้อมคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบดีๆ มีแต่จะสั่งสอนและปิดปาก
ผู้ใหญ่ที่พร่ำคำสอนให้เด็กโตไปไม่โกง แต่พอแพ้บนกติกาที่พวกท่านกำหนดเอง ก็ไม่รู้จักแสดงน้ำใจยอมรับความพ่ายแพ้และยินดีกับพวกเขา ซ้ำพยายามหาช่องทางบิดเบือนจนสังคมบิดเบี้ยว นี่ยังไม่นับถึงผู้ร่างกติกาที่แก่วิชาจนทำให้ฝ่ายชนะตามปกติของชาวโลกเท่ากับแพ้ ผู้ใหญ่ชนิดนี้เคารพได้ลงหรือ
ต้องเป็นผู้ใหญ่ใจเที่ยงธรรม ยอมรับฟังพวกเขาดูบ้าง หันมานั่งคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ พวกเขารอฟังเสียงผู้ใหญ่แบบที่มีคุณภาพคุณธรรมของพวกท่านนั่นล่ะ กรี๊ดดดดด พอยัง?
ได้เวลาแสดงมันออกมาแล้ว ความเป็นผู้ใหญ่
#เอาแต่ใจไร้หลักการคือรุ่นเก่า
https://www.facebook.com/wichan.phuseangdaw/posts/pfbid0agiGCVizQJdtULXWSBPDhtTU4TYCp7RjAjcMcHMfF9rVfCx9j4NpktGSawSHYqbsl
พิธาเอฟเฟกต์! พูดถึง 'สังเวียน' สุราพื้นบ้านสุพรรณฯ ไม่ถึงวันคนแห่จองหมดโรงงาน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7696773
พิธาเอฟเฟกต์! พูดถึง ‘สังเวียน’ สุราพื้นบ้านสุพรรณฯ ไม่ถึงวันคนแห่จองหมดโรงงาน โซเชียลระบุสิ่งนี่คือ Soft power อย่างโดยแท้จริง
2 มิ.ย. 2566 – หลังจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งรายการ “คุยนอกจอ” ที่ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในเรื่องของ “สุราก้าวหน้า”
โดยช่วงหนึ่ง นายพิธา ได้พูดถึง “สังเวียน” สุรากลั่นจาก จ.สุพรรณบุรี ที่ผลิตโดยใช้น้ำหวานจากอ้อยสดมาหมัก ให้เกิดแอลกอฮอล์แล้วนำไปกลั่น
ล่าสุดแฟนเพจเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ “ประชาชนเบียร์” ระบุว่า
ตอนนี้ที่โรงเหล้าสังเวียนวุ่นวานมาก หลักจากนายกพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดถึงเมื่อเช้า ตกเย็นของหมดโรงงาน
ขณะที่คอมเมนต์ในโลกโซเชียล ต่างแสดงความเสียดายที่ไม่สามารถจับจองได้ทัน พร้อมระบุว่านี่คือ Soft power โดยแท้จริง
https://www.facebook.com/prachachonbeer/posts/pfbid02Ko5Uwp2BGJFn5bXPXgCE6xEZbZidRb7GjqghGQ2yCWYvyrbPHLRrmthuKWoNysbtl