ความเคลื่อนไหววันที่ 2
8.30 น. ณ ดอยเชิงดาว สาขาของป่าเดือนพันดาว
จักรพันธ์ จักรพรรดิและจักรภพกำลังจะออกเดินป่าจากดอยเชิงดาว
เพื่อให้ถึงภูผาเมฆตามกำหนดประมาณบ่ายสี่โมงเย็น
ช่วงนั้นจะมีธนัชมาร่วมสมทบด้วย และจะมีงานแถลงข่าวที่นั่นด้วย
ทางป่าเดือนพันดาวจะเปิดโอกาสให้แฟนคลับได้ใกล้ชิดทั้ง 4 หนุ่ม
ช่วงหัวค่ำจะมีงานกาล่าดินเนอร์การกุศลของ 4 หนุ่มด้วย และจะถือเป็น
Compulsory Gala Dinner ด้วย
ขนาดจัดเป็น Compulsory Gala Dinner ทุกห้องของภูผาเมฆก็ยังมีคนจองจนเต็ม
กลุ่มแฟนคลับของ 4 หนุ่มจองบัตรงานกาล่าดินเนอร์กันอย่างถล่มทลาย
ทุกคนรอเวลา 16.00 น. ณ ภูผาเมฆ ขนาดหนุ่ม ๆ ยังอยู่กันที่ดอยเชิงดาว
แต่ที่ภูผาเมฆก็เริ่มคึกคักกันตั้งแต่เช้า
9.00 น. ณ พระราชวังวริศรา
ขบวนรถพระที่นั่งออกจากพระราชวังวริศราตามหมายกำหนดการ
อรชุนอยู่บนชั้น 13 ของอาคารหอประชุม เขามองขบวนรถพระที่นั่งอย่างเลือดเย็น
โจอี้คนของอรชุนได้ขี่มอเตอร์ไซด์ตามขบวนเสด็จอยู่ไกล ๆ
โดยมีกริชหรือฉายากริชโหด คนของนายพลชวน ขี่มอเตอร์ไซต์สะกดรอยตามโจอี้ไป
10.00 น. ณ หมู่บ้านคาราวาน ชานเมืองเสสิขะ
ขบวนรถพระที่นั่งมาถึงหมู่บ้านคาราวาน พสกนิกรรอรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น
กษัตริย์หลุยส์และราชินีโซเฟียลงจากรถพระที่นั่ง ต่างโบกพระหัตถ์ให้ประชาชน
ราชินีโซเฟียงดงามมาก ทรงอยู่ในชุดราตรีสั้นสีครีม
นักข่าวหลายสำนักถ่ายภาพพระองค์กันอย่างล้นหลาม
นายกกวินและคณะมารอรับเสด็จ หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จสู่ปะรำพิธี
โจอี้ขี่มอเตอร์ไซด์มาถึงเนินนรบดี ซึ่งเป็นเนินสูงที่มองเห็นปะรำพิธีได้ดี
เขาเอาปืนยาวมาวางบนแท่นพาดยิงปืน เขากำลังตั้งศูนย์เล็ง
เป้าหมายคือกษัตริย์หลุยส์
ระหว่างนั้น นกยกกวินกำลังกล่าวรายงานอยู่ โจอี้คิดว่าพร้อมแล้วจึงยิง
แต่ตอนกำลังจะยิง กริชโหดถีบปืนไปก่อน ถึงกระสุนจะพลาดเป้าไปไกล
แต่เสียงดังของปืนนั้นทำให้คนในปะรำตกใจ
กริชโหดดึงตัวโจอี้เข้าไปในเนินนรบดี เพื่อไม่ให้คนระยะไกลมองเห็น
พวกเขาต่อสู้กันอยู่บนนั้น
นายกกวินหยุดอ่านเพราะเสียงปืน แต่คนในปะรำยังนั่งกันอยู่ที่เดิม
ทหารราชองครักษ์วิ่งไปดูสถานการณ์ แต่เนื่องจากทหารเหล่านี้คือคนของอรชุน
พวกเขาจึงแค่ทำท่าวิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับเพื่อมาบอกนายกกวินว่าเสียงที่ดังนั้น
คือเสียงปะทัดแตก เหตุการณ์ในปะรำจึงดำเนินไปตามปกติ
ส่วนบนเนินนรบดี ก็ยังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด โจอี้สู้ไม่ได้ จึงหลบหนีไป
เหตุการณ์ที่ปะรำ ผ่านสายตาชาวโลกตลอดเพราะมียูทูปเบอร์หลายคน
ได้ live สดไปด้วย
คนที่ติดตามตลอดคืออรชุน เขาคิดในใจว่า
"มันใช้ปืนเก็บเสียงไม่เป็นเหรอ" เขาหงุดหงิดมากที่โจอี้ทำงานพลาด
ทางหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกาได้ตามเรื่องนี้อยู่ตลอด
จริง ๆ แล้ว พวกเขามีทีมที่ติดตามความเคลื่อนไหวของหลายที่ทั่วโลก
แต่ที่พวกเขาสนใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโสฬสเพราะข่าวแพร่สะพัดที่ว่า
นายพลชวนวางแผนที่จะปกครองโสฬสและขึ้นเป็นประธานาธิบดี
นายพลชวนยังคิดที่จะเอาทั้งอาเซียนเป็นของโสฬสอีกด้วย
ทางการสหรัฐฯ อยากจะตัดไฟแต่ต้นลม เพราะตอนนี้มีสงครามเฉพาะที่เกิดขึ้น
หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรเกาหลี
บางส่วนของยุโรป บางส่วนของอเมริกาเหนือและใต้ อินเดีย-ปากีสถาน
และอีกหลายที่
การทำงานของหน่วยสืบฯ ในช่วงหลังจึงยึดนโยบาย "ตัดไฟแต่ต้นลม"
เหตุการณ์ในโสฬสก็ดำเนินตามนโยบายดังกล่าว
ส่วนเหตุการณ์ในปะรำเมื่อสักครู่ ทางการสหรัฐฯ จะเรียกเป็นรหัสว่า
เหตุการณ์ 505
เมื่อได้ออกรหัสแล้ว จึงได้มีการเรียกประชุมตามนโยบาย "ตัดไฟแต่ต้นลม"
"เหตุการณ์ 505 เบื้องหลังใช่นายพลชวนหรือไม่"
"ไม่น่าใช่ นายพลชวนไม่น่าปฏิบัติการณ์เช่นนี้"
หลังจากนั้นจึงระดมสมองกันว่าใครน่าจะอยู่เบื้องหลังบ้าง
ผลสรุปออกมาว่าผู้ต้องสงสัยมีดังนี้
คนของเจ้าชายจามร
คนจากพระราชวังวริศรา
ชายชาญ
ภันดรจากมหาเวหน
นายพลเฉิน
หน่วยสืบฯของสหรัฐฯจึงได้อนุมัติส่งบุคลากรมาที่ประเทศโสฬส
2 คนคือทอมและแบรด ทั้งสองเป็นฝรั่งผมบลอนด์
หน่วยสืบฯของอังกฤษและสวีเดนก็เห็นไม่ต่างกัน จึงตัดสินใจส่งคนของตนเข้ามาสังเกตการณ์
ทางอังกฤษส่งมาสองคนคือปีเตอร์และอาเธอร์
แต่ทางสวีเดนส่งมาถึง 4 คนคืออันโตเนียส บัลทาซาร์ วิคเตอร์และจอร์เจส
ประเทศในแถบอาเซียนที่ sensitive เกี่ยวกับเรื่องนี้คือไทยและสิงคโปร์
ของไทยส่งเดชากับโตมร ส่วนของสิงคโปร์ส่งไอเดนกับเจย์เดนเข้ามาสังเกตการณ์
หลังจากเสด็จออกจากหมู่บ้านคาราวานแล้ว ทั้งสองพระองค์เสด็จประทับ
ณ โรงแรมซิลเวีย เพื่อพักผ่อนอิริยาบถและเสวยพระกระยาหารกลางวัน
กวินสั่งเพิ่มราชองครักษ์ แต่ขอจากส่วนของวังทั้ง 7 แห่งโสฬส
ซึ่งมีพระราชวังดานูป พระราชวังโอดาน พระราชวังสีทันดร พระราชวังลาลูป
พระราชวังรามาวดี พระราชวังโอมาดารายัณและพระราชวังโสภิตา
วังทั้ง 7 คือราชวงศ์ที่หลงเหลือมาจากกษัตริย์รุ่นก่อน ๆ
กวินเห็นว่าน่าจะไว้วางใจได้ดีกว่าราชองครักษ์จากพระราชวังวริศรา
การที่กวินทำแบบนี้ ทำให้อรชุนไม่พอใจมากที่กวินไปดึงวังทั้ง 7 มาวุ่นวายด้วย
อรชุนทราบการตัดสินใจนี้จากหน่วยสอดแนมของตัวเองที่อยู่ในโรงแรมซิลเวีย
เจ้าชายปารีสจากพระราชวังโอดานเสด็จมายังพระราชวังวริศราทันที
อรชุนออกมาต้อนรับและโค้งคำนับ ทั้งสองไปคุยกันที่ห้องโสฬสโสภิดา
เจ้าชายปารีสถามขึ้นก่อน "ทำไมนายกรัฐมนตรีถึงมีสิทธิมาสั่งการเอาราชองครักษ์
จากวังทั้ง 7 ไปได้"
"เป็นไปตามเงื่อนไขใหม่ที่วังทั้ง 7 ได้แจ้งต่อรัฐบาลกระหม่อม"
"ใครแจ้ง" เจ้าชายปารีสถามอย่างเดือดดาล
"เออ เจ้าหญิงวิมลลักษณากระหม่อม"
"วิมลลักษณาเองเหรอ" เสียงของเจ้าชายปารีสดูเย็นลง
เพราะเจ้าหญิงวิมลลักษณาคือยอดดวงใจของเขา
ราชวงศ์แห่งโสฬสค่อนข้างซับซ้อน แต่ในปัจจุบันได้แยกออกเป็น 3 ฝ่ายใหญ่ ๆ
ฝ่ายแรกคือพระราชวังวริศรา ที่ประทับของกษัตริย์และราชินีองค์ปัจจุบัน
ฝ่ายที่สองคือวังทั้ง 7 เป็นที่รวมของราชวงศ์หลายสายหลายวัย
พวกเขาแต่งตั้งให้เจ้าหญิงวิมลลักษณาเป็นตัวแทนของพวกเขา
เจ้าหญิงมีพระชนมายุ 30 พรรษา
ส่วนฝ่ายที่ 3 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่าวังดาร วังดารเป็นหมู่พระราชวังสำคัญ
4 แห่งคือพระราชวังอันเดรเฟราอาน พระราชวังโซฟิสิโนโลยาน
พระราชวังอังเดรและพระราชวังอานุภาพรังสรรค์
วังดารเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ค่อนข้างจะนอกรีต พระราชวังทั้ง 4 แห่งเคยมีคดีฆาตกรรม
หลายคดี ทำให้เชื้อพระวงศ์ต้องเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 65 คนในรอบ 5 ปี
ผู้แทนคนสำคัญของวังดารคือเจ้าชายอังเดร ซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่า
ทรงมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับภันดรจากมหาเวหน แต่หลายคนคิดว่าเป็นข่าวลือ
ที่วังทั้ง 7 ปล่อยออกมาเพื่อดิสเครดิตวังดาร
ในประเทศโสฬส นอกจากจะมีความปั่นป่วนของการเมืองและการทหารแล้ว
ในส่วนของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ก็มีความปั่นป่วนพอ ๆ กัน
ทางเจ้าชายปารีสแห่งโอดานทรงคิดถึงเจ้าหญิงวิมลลักษณาแห่งดานูปมาก
ทั้งสองพระองค์เคยมีใจให้กัน แต่ทรงขัดแย้งกันสองเรื่องคือนโยบายของวังทั้ง 7 ต่อรัฐบาล
และท่าทีของวังทั้ง 7 ต่อวังดาร ทำให้ต้องแยกจากกันและไม่เคยพบกันอีกเลยเป็นเวลาหลายปี
เจ้าชายปารีสคิดจะอ้างเหตุที่เจ้าหญิงวิมลลักษณายอมมอบราชองครักษ์
ให้กับทางรัฐบาลเพื่อเข้าพบเจรจากัน เหตุที่อ้างก็คือข้ออ้างแห่งการขอเข้าพบ
แต่ใจจริงอยากพบด้วยความคิดถึง แต่ทรงไม่แน่ใจว่าเจ้าหญิงวิมลลักษณา
จะทรงมีความรู้สึกอย่างไร เพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
วิมานมายา โดย ศักดา ตอนที่ 20 ความเคลื่อนไหววันที่ 2 เริ่ม 8.30 น.
8.30 น. ณ ดอยเชิงดาว สาขาของป่าเดือนพันดาว
จักรพันธ์ จักรพรรดิและจักรภพกำลังจะออกเดินป่าจากดอยเชิงดาว
เพื่อให้ถึงภูผาเมฆตามกำหนดประมาณบ่ายสี่โมงเย็น
ช่วงนั้นจะมีธนัชมาร่วมสมทบด้วย และจะมีงานแถลงข่าวที่นั่นด้วย
ทางป่าเดือนพันดาวจะเปิดโอกาสให้แฟนคลับได้ใกล้ชิดทั้ง 4 หนุ่ม
ช่วงหัวค่ำจะมีงานกาล่าดินเนอร์การกุศลของ 4 หนุ่มด้วย และจะถือเป็น
Compulsory Gala Dinner ด้วย
ขนาดจัดเป็น Compulsory Gala Dinner ทุกห้องของภูผาเมฆก็ยังมีคนจองจนเต็ม
กลุ่มแฟนคลับของ 4 หนุ่มจองบัตรงานกาล่าดินเนอร์กันอย่างถล่มทลาย
ทุกคนรอเวลา 16.00 น. ณ ภูผาเมฆ ขนาดหนุ่ม ๆ ยังอยู่กันที่ดอยเชิงดาว
แต่ที่ภูผาเมฆก็เริ่มคึกคักกันตั้งแต่เช้า
9.00 น. ณ พระราชวังวริศรา
ขบวนรถพระที่นั่งออกจากพระราชวังวริศราตามหมายกำหนดการ
อรชุนอยู่บนชั้น 13 ของอาคารหอประชุม เขามองขบวนรถพระที่นั่งอย่างเลือดเย็น
โจอี้คนของอรชุนได้ขี่มอเตอร์ไซด์ตามขบวนเสด็จอยู่ไกล ๆ
โดยมีกริชหรือฉายากริชโหด คนของนายพลชวน ขี่มอเตอร์ไซต์สะกดรอยตามโจอี้ไป
10.00 น. ณ หมู่บ้านคาราวาน ชานเมืองเสสิขะ
ขบวนรถพระที่นั่งมาถึงหมู่บ้านคาราวาน พสกนิกรรอรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น
กษัตริย์หลุยส์และราชินีโซเฟียลงจากรถพระที่นั่ง ต่างโบกพระหัตถ์ให้ประชาชน
ราชินีโซเฟียงดงามมาก ทรงอยู่ในชุดราตรีสั้นสีครีม
นักข่าวหลายสำนักถ่ายภาพพระองค์กันอย่างล้นหลาม
นายกกวินและคณะมารอรับเสด็จ หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จสู่ปะรำพิธี
โจอี้ขี่มอเตอร์ไซด์มาถึงเนินนรบดี ซึ่งเป็นเนินสูงที่มองเห็นปะรำพิธีได้ดี
เขาเอาปืนยาวมาวางบนแท่นพาดยิงปืน เขากำลังตั้งศูนย์เล็ง
เป้าหมายคือกษัตริย์หลุยส์
ระหว่างนั้น นกยกกวินกำลังกล่าวรายงานอยู่ โจอี้คิดว่าพร้อมแล้วจึงยิง
แต่ตอนกำลังจะยิง กริชโหดถีบปืนไปก่อน ถึงกระสุนจะพลาดเป้าไปไกล
แต่เสียงดังของปืนนั้นทำให้คนในปะรำตกใจ
กริชโหดดึงตัวโจอี้เข้าไปในเนินนรบดี เพื่อไม่ให้คนระยะไกลมองเห็น
พวกเขาต่อสู้กันอยู่บนนั้น
นายกกวินหยุดอ่านเพราะเสียงปืน แต่คนในปะรำยังนั่งกันอยู่ที่เดิม
ทหารราชองครักษ์วิ่งไปดูสถานการณ์ แต่เนื่องจากทหารเหล่านี้คือคนของอรชุน
พวกเขาจึงแค่ทำท่าวิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับเพื่อมาบอกนายกกวินว่าเสียงที่ดังนั้น
คือเสียงปะทัดแตก เหตุการณ์ในปะรำจึงดำเนินไปตามปกติ
ส่วนบนเนินนรบดี ก็ยังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด โจอี้สู้ไม่ได้ จึงหลบหนีไป
เหตุการณ์ที่ปะรำ ผ่านสายตาชาวโลกตลอดเพราะมียูทูปเบอร์หลายคน
ได้ live สดไปด้วย
คนที่ติดตามตลอดคืออรชุน เขาคิดในใจว่า
"มันใช้ปืนเก็บเสียงไม่เป็นเหรอ" เขาหงุดหงิดมากที่โจอี้ทำงานพลาด
ทางหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกาได้ตามเรื่องนี้อยู่ตลอด
จริง ๆ แล้ว พวกเขามีทีมที่ติดตามความเคลื่อนไหวของหลายที่ทั่วโลก
แต่ที่พวกเขาสนใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโสฬสเพราะข่าวแพร่สะพัดที่ว่า
นายพลชวนวางแผนที่จะปกครองโสฬสและขึ้นเป็นประธานาธิบดี
นายพลชวนยังคิดที่จะเอาทั้งอาเซียนเป็นของโสฬสอีกด้วย
ทางการสหรัฐฯ อยากจะตัดไฟแต่ต้นลม เพราะตอนนี้มีสงครามเฉพาะที่เกิดขึ้น
หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรเกาหลี
บางส่วนของยุโรป บางส่วนของอเมริกาเหนือและใต้ อินเดีย-ปากีสถาน
และอีกหลายที่
การทำงานของหน่วยสืบฯ ในช่วงหลังจึงยึดนโยบาย "ตัดไฟแต่ต้นลม"
เหตุการณ์ในโสฬสก็ดำเนินตามนโยบายดังกล่าว
ส่วนเหตุการณ์ในปะรำเมื่อสักครู่ ทางการสหรัฐฯ จะเรียกเป็นรหัสว่า
เหตุการณ์ 505
เมื่อได้ออกรหัสแล้ว จึงได้มีการเรียกประชุมตามนโยบาย "ตัดไฟแต่ต้นลม"
"เหตุการณ์ 505 เบื้องหลังใช่นายพลชวนหรือไม่"
"ไม่น่าใช่ นายพลชวนไม่น่าปฏิบัติการณ์เช่นนี้"
หลังจากนั้นจึงระดมสมองกันว่าใครน่าจะอยู่เบื้องหลังบ้าง
ผลสรุปออกมาว่าผู้ต้องสงสัยมีดังนี้
คนของเจ้าชายจามร
คนจากพระราชวังวริศรา
ชายชาญ
ภันดรจากมหาเวหน
นายพลเฉิน
หน่วยสืบฯของสหรัฐฯจึงได้อนุมัติส่งบุคลากรมาที่ประเทศโสฬส
2 คนคือทอมและแบรด ทั้งสองเป็นฝรั่งผมบลอนด์
หน่วยสืบฯของอังกฤษและสวีเดนก็เห็นไม่ต่างกัน จึงตัดสินใจส่งคนของตนเข้ามาสังเกตการณ์
ทางอังกฤษส่งมาสองคนคือปีเตอร์และอาเธอร์
แต่ทางสวีเดนส่งมาถึง 4 คนคืออันโตเนียส บัลทาซาร์ วิคเตอร์และจอร์เจส
ประเทศในแถบอาเซียนที่ sensitive เกี่ยวกับเรื่องนี้คือไทยและสิงคโปร์
ของไทยส่งเดชากับโตมร ส่วนของสิงคโปร์ส่งไอเดนกับเจย์เดนเข้ามาสังเกตการณ์
หลังจากเสด็จออกจากหมู่บ้านคาราวานแล้ว ทั้งสองพระองค์เสด็จประทับ
ณ โรงแรมซิลเวีย เพื่อพักผ่อนอิริยาบถและเสวยพระกระยาหารกลางวัน
กวินสั่งเพิ่มราชองครักษ์ แต่ขอจากส่วนของวังทั้ง 7 แห่งโสฬส
ซึ่งมีพระราชวังดานูป พระราชวังโอดาน พระราชวังสีทันดร พระราชวังลาลูป
พระราชวังรามาวดี พระราชวังโอมาดารายัณและพระราชวังโสภิตา
วังทั้ง 7 คือราชวงศ์ที่หลงเหลือมาจากกษัตริย์รุ่นก่อน ๆ
กวินเห็นว่าน่าจะไว้วางใจได้ดีกว่าราชองครักษ์จากพระราชวังวริศรา
การที่กวินทำแบบนี้ ทำให้อรชุนไม่พอใจมากที่กวินไปดึงวังทั้ง 7 มาวุ่นวายด้วย
อรชุนทราบการตัดสินใจนี้จากหน่วยสอดแนมของตัวเองที่อยู่ในโรงแรมซิลเวีย
เจ้าชายปารีสจากพระราชวังโอดานเสด็จมายังพระราชวังวริศราทันที
อรชุนออกมาต้อนรับและโค้งคำนับ ทั้งสองไปคุยกันที่ห้องโสฬสโสภิดา
เจ้าชายปารีสถามขึ้นก่อน "ทำไมนายกรัฐมนตรีถึงมีสิทธิมาสั่งการเอาราชองครักษ์
จากวังทั้ง 7 ไปได้"
"เป็นไปตามเงื่อนไขใหม่ที่วังทั้ง 7 ได้แจ้งต่อรัฐบาลกระหม่อม"
"ใครแจ้ง" เจ้าชายปารีสถามอย่างเดือดดาล
"เออ เจ้าหญิงวิมลลักษณากระหม่อม"
"วิมลลักษณาเองเหรอ" เสียงของเจ้าชายปารีสดูเย็นลง
เพราะเจ้าหญิงวิมลลักษณาคือยอดดวงใจของเขา
ราชวงศ์แห่งโสฬสค่อนข้างซับซ้อน แต่ในปัจจุบันได้แยกออกเป็น 3 ฝ่ายใหญ่ ๆ
ฝ่ายแรกคือพระราชวังวริศรา ที่ประทับของกษัตริย์และราชินีองค์ปัจจุบัน
ฝ่ายที่สองคือวังทั้ง 7 เป็นที่รวมของราชวงศ์หลายสายหลายวัย
พวกเขาแต่งตั้งให้เจ้าหญิงวิมลลักษณาเป็นตัวแทนของพวกเขา
เจ้าหญิงมีพระชนมายุ 30 พรรษา
ส่วนฝ่ายที่ 3 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่าวังดาร วังดารเป็นหมู่พระราชวังสำคัญ
4 แห่งคือพระราชวังอันเดรเฟราอาน พระราชวังโซฟิสิโนโลยาน
พระราชวังอังเดรและพระราชวังอานุภาพรังสรรค์
วังดารเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ค่อนข้างจะนอกรีต พระราชวังทั้ง 4 แห่งเคยมีคดีฆาตกรรม
หลายคดี ทำให้เชื้อพระวงศ์ต้องเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 65 คนในรอบ 5 ปี
ผู้แทนคนสำคัญของวังดารคือเจ้าชายอังเดร ซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่า
ทรงมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับภันดรจากมหาเวหน แต่หลายคนคิดว่าเป็นข่าวลือ
ที่วังทั้ง 7 ปล่อยออกมาเพื่อดิสเครดิตวังดาร
ในประเทศโสฬส นอกจากจะมีความปั่นป่วนของการเมืองและการทหารแล้ว
ในส่วนของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ก็มีความปั่นป่วนพอ ๆ กัน
ทางเจ้าชายปารีสแห่งโอดานทรงคิดถึงเจ้าหญิงวิมลลักษณาแห่งดานูปมาก
ทั้งสองพระองค์เคยมีใจให้กัน แต่ทรงขัดแย้งกันสองเรื่องคือนโยบายของวังทั้ง 7 ต่อรัฐบาล
และท่าทีของวังทั้ง 7 ต่อวังดาร ทำให้ต้องแยกจากกันและไม่เคยพบกันอีกเลยเป็นเวลาหลายปี
เจ้าชายปารีสคิดจะอ้างเหตุที่เจ้าหญิงวิมลลักษณายอมมอบราชองครักษ์
ให้กับทางรัฐบาลเพื่อเข้าพบเจรจากัน เหตุที่อ้างก็คือข้ออ้างแห่งการขอเข้าพบ
แต่ใจจริงอยากพบด้วยความคิดถึง แต่ทรงไม่แน่ใจว่าเจ้าหญิงวิมลลักษณา
จะทรงมีความรู้สึกอย่างไร เพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว