ข่าวงานอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงวิมลลักษณาและเจ้าชายปารีสแพร่สะพัดไปทั่ว
และนับว่าเป็นข่าวที่ทำให้คนที่ได้ยินมีความสุข
เหตุการณ์ที่หนานนูเปียทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง ยิ่งภาพข่าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เหตุการณ์ที่หนานนูเปียเปรียบเหมือนกับนรกบนดิน ซึ่งถูกสร้างโดยความคิดของมนุษย์
ข่าวงานอภิเษกสมรสฯจึงถือเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีในใจให้หมดสิ้นไป
ที่ออกจะสร้างความประหลาดให้กับหลายฝ่ายก็คือภาพอดีตของทั้งสองพระองค์
ที่กำลังว่อนเน็ตอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นภาพที่เจ้าหญิงวิมลลักษณาขี่คอเจ้าชายปารีส
ซึ่งเป็นเหตุการณ์รัฐประหารครั้งสำคัญ มีข้อสันนิษฐานว่าพวกนักข่าวสงคราม
เก็บภาพได้ พอได้ข่าวงานอภิเษกฯ ก็เลยนำภาพเหล่านี้ลงเน็ตเพื่อร่วมระลึกถึงรักที่มั่นคง
วันนี้ทั้งสองพระองค์ก็นั่งอยู่หน้าคอมฯด้วยกันเพื่อชมภาพเหล่านี้
"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมีคนเก็บภาพได้" เจ้าชายปารีสได้พูดขึ้นก่อน
"ทำไมวันนั้น ท่านพี่จึงกล้าไปที่นั่นคะ"
"ก็น้องหญิงไม่อยู่ที่วังนี่ พี่เองก็ห่วง ข้างนอกตอนนั้นก็อันตราย"
"แล้วพี่ไม่กลัวเหรอคะ"
"ที่กลัวมีอย่างเดียวคือกลัวน้องหญิงจะเป็นอันตราย"
พูดจบ เจ้าชายปารีสทรงจุมพิตไปที่หน้าผากของเจ้าหญิงวิมลลักษณา
เจ้าหญิงหลับตาด้วยความเขินอาย
พอเจ้าหญิงลืมตาขึ้น ทรงพบกับผู้ชายที่สนิท คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก
ผู้ชายที่รักเธอ ให้ความอบอุ่นกับเธอมาตลอด
เจ้าชายปารีสทรงยิ้มให้กับเจ้าหญิง
เจ้าหญิงมิได้ทรงยิ้มตอบ แต่ทรงนำพระหัตถ์ไปจับพระพักตร์ของเจ้าชาย
หลังจากนั้นทรงจับที่ต้นคอแล้วค่อย ๆ โน้มคอของเจ้าชายลงมา
แล้วทรงจุมพิตที่พระโอษฐ์ เจ้าชายดูจะตกพระทัยนิดนึง
แต่ก็ทรงสนองจุมพิตนั้นอย่างละเมียดละไม
หลังจากถอนจากจุมพิต เจ้าหญิงวิมลลักษณาได้กล่าวว่า
"น้องรักท่านพี่มาตลอด แต่ไม่กล้าเอ่ย"
"วันนี้พี่เป็นทาสรักของน้องหญิงแล้ว ชีวิตพี่เป็นของเธอแล้ว
เธอไม่ต้องห่วงสิ่งใด เพราะพี่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
เจ้าชายทรงจุมพิตที่พระโอษฐ์อีกครั้ง ทรงหลับตา
เจ้าหญิงเองทรงหลับตาและจุมพิตตอบอย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้นสองวัน พวกนักการเมืองและทหารได้ปล่อยข่าวว่า
พวกเจ้าทำอะไรที่ไม่สมควรอีกแล้ว ชอบเอาเงินประชาชนมาผลาญเล่น
ประชาชนไม่พอใจกับข่าวพวกนี้มากเพราะเจ้าหญิงวิมลลักษณาและเจ้าชายปารีส
ทรงเป็นที่รักของประชาชน ประชาชนหลายกลุ่มจึงได้ร่วมบริจาคเงิน
เพื่อสมทบการจัดงานอภิเษกฯในครั้งนี้
เจ้าหญิงวิมลลักษณาเอง ได้ทรงดำริที่จะช่วยเหลือคนยากไร้
จึงได้ทรงคิดโครงการขึ้นมาชื่อว่า "ปันรัก" เพื่อนำเงินมอบให้ผู้ยากไร้คนละ 5000
วันแรกของโครงการมีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากมาช่วยจัดระเบียบผู้คนที่จะเข้าไปรับเงินในปะรำ
ในปะรำมีการจัดที่นั่งไว้ 7 ที่ โดยระบุให้เจ้าหญิงวิมลลักษณาทรงนั่งตรงกลาง
ส่วนอีก 6 คนนั้น ทางกลุ่มผู้ชายพันธ์แกร่งแห่งโสฬสอยากให้เป็นผู้หญิงทั้งหมด
วันแรกจึงได้เชิญผู้หญิงมาร่วมมอบเงินอีก 6 คน อาทิ ศรีจิตรา วรรณา จินตหรา สเตฟานี่
เจ้าหญิงเจนนิเฟอร์แห่งวังดารฯ
วันที่สองหลายคนตื่นเต้นมากเพราะราชินีโซเฟียได้ทรงร่วมในโครงการปันรักด้วย
เจ้าหญิงวิมลลักษณาทรงเชิญให้ราชินีโซเฟียทรงนั่งตรงกลาง แต่ราชินีตรัสตอบว่า
"ไม่หรอก นี่งานของเธอนะ เธอเป็นเจ้าภาพ ต้องนั่งตรงกลาง พี่จะนั่งใกล้ ๆ เธอตรงนี้แหละ"
วันนี้จึงมีนักข่าวมาเป็นจำนวนมาก พวกเขาอยากได้ภาพของ 3 เจ้าหญิง/ราชินี
เจ้าหญิงวิมลลักษณาแห่งวังทั้ง 7 ทรงนั่งตรงกลาง ทางซ้ายคือราชินีโซเฟียจากพระราชวังวริศรา
ส่วนทางขวาคือเจ้าหญิงเจนนิเฟอร์แห่งวังดาร นับเป็นภาพประวัติศาสตร์ของโสฬสอีกหนึ่งภาพ
................................................................................
หลังจากที่วรงค์ออกมาจากสำนักข่าวดาวพริกไทย เพื่อมาตั้งสำนักข่าวของตัวเอง
ผ่านมาหลายปี กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย หนี้ก็เยอะ ไหนจะภาระต่าง ๆ
วันนี้เขาต้องการการตัดสินใจในหลาย ๆ อย่าง ปืนพร้อมกระสุนก็อยู่ในลิ้นชัก
เขาไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องใช้มันไหม แต่ถ้าจำเป็น เขาอาจต้องใช้
ตลอดบ่าย เขาคิดวกไปเวียนมาในหัว จะก้าวต่อไป หนี้ก็อาจพอกพูน
จะเอายังไงกับชีวิตดี
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จิดาภาเข้ามาในห้อง
"พี่คะ มีคนสำคัญอยากจะพบพี่ค่ะ"
"วันนี้ ฉันไม่อยากเจอใครทั้งนั้น"
"แต่สองท่านนี้สำคัญจริง ๆ นะคะ"
"ก็ได้ ให้เข้ามาก็ได้"
จิดาภาออกไปเชิญแขก
ตอนนั้นวรงค์กำลังนั่งก้มหน้า พอได้ยินเสียงมีคนเข้ามาในห้อง เขาจึงเงยหน้าขึ้น
พอเงยหน้า เขาตกใจมาก ลุกขึ้นยืนเกือบไม่ทัน เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ
"เจ้าหญิงวิมลลักษณา เจ้าชายปารีส"
คนในสำนักข่าวช่วยกันหาเก้าอี้ที่ดีที่สุดให้ทั้งสองพระองค์ได้นั่ง
"ทรงนั่งเลยเพคะ" จิดาภากล่าวขึ้นก่อนจะออกจากห้องและปิดประตู
ทั้งสองพระองค์ได้นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว
"นั่งก่อนพี่ ยืนมันเมื่อย" เจ้าชายปารีสทรงบอกวรงค์
วรงค์ค่อย ๆ นั่งลง ตอนนี้เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์
"ทั้งสองพระองค์ทรงมีธุระ เออ อะไรกับหม่อมฉันเหรอครับกระหม่อม"
"ผมอยากจะเชิญพี่ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของผมอีกคนหนึ่งครับ"
วรงค์ตกใจมากจนพูดอะไรไม่ออก
"ถ้าพี่ไม่รับผมกับน้องหญิงขึ้นรถ แล้วไปส่งเราที่วังในวันนั้น พวกเราคงแย่"
วรงค์ยังคงเงียบอยู่ เจ้าชายทรงยื่นพระหัตถ์ไปจับมือของวรงค์
"พี่ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ผมนะครับ"
วรงค์ค่อย ๆ พยักหน้าอย่างช้า ๆ
"ส่วนเรื่องหนี้สินของพี่ทั้งหมด ผมจะจัดการให้ภายในเย็นนี้เลยนะครับ
จิดาภารวบรวมเอกสารมาให้ผมหมดแล้ว พี่จะได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ผมอย่างสบายใจ
ไม่ต้องกังวลใด ๆ ไงครับ"
วรงค์ลุกขึ้นแล้วทรุดตัวลงนั่งเพื่อจะก้มกราบ แต่เจ้าชายปารีสทรงทัดทานไว้
"พี่จะทำอะไรครับ พี่ไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้ครับ"
ตอนนั้นวรงค์คุกเข่าอยู่กับพื้น เจ้าชายก็ลงไปคุกเข่าด้วยเพื่อห้ามไม่ให้วรงค์ต้องก้มกราบ
เจ้าชายจับแขนของเขา "พี่มีบุญคุณกับพวกเรามากเลย อย่าทำอย่างนี้เลยครับ"
วรงค์มองหน้าเจ้าชายปารีส แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมา เขากอดเจ้าชายปารีสไว้แน่น
แล้วก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด เจ้าชายทรงปล่อยให้วรงค์กอดเขาสักพักนึงก่อนที่จะผละจากกัน
และต่างฝ่ายต่างลุกขึ้น
"ขอบคุณทั้งสองพระองค์มากนะครับ" วรงค์กล่าวและก็หันมองทั้งสองพระองค์
ทั้งสองพระองค์ทรงออกมาจากสำนักข่าวเล็ก ๆ และก็ต้องเดินออกจากตรอกเล็ก ๆ
ซึ่งรถพระที่นั่งเข้าไม่ถึง
ฝั่งตรงข้ามมีประชาชนโสฬสจำนวนมากมายืนรอรับเสด็จพร้อมเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ"
ทั้งสองพระองค์ทรงเดินช้า ๆ และยิ้มให้ประชาชน
มีเด็กผู้หญิงเดินเอาดอกกุหลาบ 1 ดอกมามอบให้เจ้าหญิงวิมลลักษณา พระองค์ทรงรับไว้
ทรงลูบหัวเด็กอย่างแผ่วเบา เด็กวิ่งกลับไป เจ้าหญิงทรงโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนของพระองค์
ประชาชนบางคนที่หลงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับทั้งสองพระองค์ รีบวิ่งไปอีกฝั่งทันที
จะได้ไม่รบกวนเบื้องยุคลบาท ตอนนี้ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักของประชาชนไม่ต่างไปจาก
กษัตริย์หลุยส์และราชินีโซเฟีย
วิมานมายา โดย ศักดา ตอนที่ 50
และนับว่าเป็นข่าวที่ทำให้คนที่ได้ยินมีความสุข
เหตุการณ์ที่หนานนูเปียทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง ยิ่งภาพข่าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เหตุการณ์ที่หนานนูเปียเปรียบเหมือนกับนรกบนดิน ซึ่งถูกสร้างโดยความคิดของมนุษย์
ข่าวงานอภิเษกสมรสฯจึงถือเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีในใจให้หมดสิ้นไป
ที่ออกจะสร้างความประหลาดให้กับหลายฝ่ายก็คือภาพอดีตของทั้งสองพระองค์
ที่กำลังว่อนเน็ตอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นภาพที่เจ้าหญิงวิมลลักษณาขี่คอเจ้าชายปารีส
ซึ่งเป็นเหตุการณ์รัฐประหารครั้งสำคัญ มีข้อสันนิษฐานว่าพวกนักข่าวสงคราม
เก็บภาพได้ พอได้ข่าวงานอภิเษกฯ ก็เลยนำภาพเหล่านี้ลงเน็ตเพื่อร่วมระลึกถึงรักที่มั่นคง
วันนี้ทั้งสองพระองค์ก็นั่งอยู่หน้าคอมฯด้วยกันเพื่อชมภาพเหล่านี้
"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมีคนเก็บภาพได้" เจ้าชายปารีสได้พูดขึ้นก่อน
"ทำไมวันนั้น ท่านพี่จึงกล้าไปที่นั่นคะ"
"ก็น้องหญิงไม่อยู่ที่วังนี่ พี่เองก็ห่วง ข้างนอกตอนนั้นก็อันตราย"
"แล้วพี่ไม่กลัวเหรอคะ"
"ที่กลัวมีอย่างเดียวคือกลัวน้องหญิงจะเป็นอันตราย"
พูดจบ เจ้าชายปารีสทรงจุมพิตไปที่หน้าผากของเจ้าหญิงวิมลลักษณา
เจ้าหญิงหลับตาด้วยความเขินอาย
พอเจ้าหญิงลืมตาขึ้น ทรงพบกับผู้ชายที่สนิท คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก
ผู้ชายที่รักเธอ ให้ความอบอุ่นกับเธอมาตลอด
เจ้าชายปารีสทรงยิ้มให้กับเจ้าหญิง
เจ้าหญิงมิได้ทรงยิ้มตอบ แต่ทรงนำพระหัตถ์ไปจับพระพักตร์ของเจ้าชาย
หลังจากนั้นทรงจับที่ต้นคอแล้วค่อย ๆ โน้มคอของเจ้าชายลงมา
แล้วทรงจุมพิตที่พระโอษฐ์ เจ้าชายดูจะตกพระทัยนิดนึง
แต่ก็ทรงสนองจุมพิตนั้นอย่างละเมียดละไม
หลังจากถอนจากจุมพิต เจ้าหญิงวิมลลักษณาได้กล่าวว่า
"น้องรักท่านพี่มาตลอด แต่ไม่กล้าเอ่ย"
"วันนี้พี่เป็นทาสรักของน้องหญิงแล้ว ชีวิตพี่เป็นของเธอแล้ว
เธอไม่ต้องห่วงสิ่งใด เพราะพี่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
เจ้าชายทรงจุมพิตที่พระโอษฐ์อีกครั้ง ทรงหลับตา
เจ้าหญิงเองทรงหลับตาและจุมพิตตอบอย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้นสองวัน พวกนักการเมืองและทหารได้ปล่อยข่าวว่า
พวกเจ้าทำอะไรที่ไม่สมควรอีกแล้ว ชอบเอาเงินประชาชนมาผลาญเล่น
ประชาชนไม่พอใจกับข่าวพวกนี้มากเพราะเจ้าหญิงวิมลลักษณาและเจ้าชายปารีส
ทรงเป็นที่รักของประชาชน ประชาชนหลายกลุ่มจึงได้ร่วมบริจาคเงิน
เพื่อสมทบการจัดงานอภิเษกฯในครั้งนี้
เจ้าหญิงวิมลลักษณาเอง ได้ทรงดำริที่จะช่วยเหลือคนยากไร้
จึงได้ทรงคิดโครงการขึ้นมาชื่อว่า "ปันรัก" เพื่อนำเงินมอบให้ผู้ยากไร้คนละ 5000
วันแรกของโครงการมีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากมาช่วยจัดระเบียบผู้คนที่จะเข้าไปรับเงินในปะรำ
ในปะรำมีการจัดที่นั่งไว้ 7 ที่ โดยระบุให้เจ้าหญิงวิมลลักษณาทรงนั่งตรงกลาง
ส่วนอีก 6 คนนั้น ทางกลุ่มผู้ชายพันธ์แกร่งแห่งโสฬสอยากให้เป็นผู้หญิงทั้งหมด
วันแรกจึงได้เชิญผู้หญิงมาร่วมมอบเงินอีก 6 คน อาทิ ศรีจิตรา วรรณา จินตหรา สเตฟานี่
เจ้าหญิงเจนนิเฟอร์แห่งวังดารฯ
วันที่สองหลายคนตื่นเต้นมากเพราะราชินีโซเฟียได้ทรงร่วมในโครงการปันรักด้วย
เจ้าหญิงวิมลลักษณาทรงเชิญให้ราชินีโซเฟียทรงนั่งตรงกลาง แต่ราชินีตรัสตอบว่า
"ไม่หรอก นี่งานของเธอนะ เธอเป็นเจ้าภาพ ต้องนั่งตรงกลาง พี่จะนั่งใกล้ ๆ เธอตรงนี้แหละ"
วันนี้จึงมีนักข่าวมาเป็นจำนวนมาก พวกเขาอยากได้ภาพของ 3 เจ้าหญิง/ราชินี
เจ้าหญิงวิมลลักษณาแห่งวังทั้ง 7 ทรงนั่งตรงกลาง ทางซ้ายคือราชินีโซเฟียจากพระราชวังวริศรา
ส่วนทางขวาคือเจ้าหญิงเจนนิเฟอร์แห่งวังดาร นับเป็นภาพประวัติศาสตร์ของโสฬสอีกหนึ่งภาพ
................................................................................
หลังจากที่วรงค์ออกมาจากสำนักข่าวดาวพริกไทย เพื่อมาตั้งสำนักข่าวของตัวเอง
ผ่านมาหลายปี กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย หนี้ก็เยอะ ไหนจะภาระต่าง ๆ
วันนี้เขาต้องการการตัดสินใจในหลาย ๆ อย่าง ปืนพร้อมกระสุนก็อยู่ในลิ้นชัก
เขาไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องใช้มันไหม แต่ถ้าจำเป็น เขาอาจต้องใช้
ตลอดบ่าย เขาคิดวกไปเวียนมาในหัว จะก้าวต่อไป หนี้ก็อาจพอกพูน
จะเอายังไงกับชีวิตดี
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จิดาภาเข้ามาในห้อง
"พี่คะ มีคนสำคัญอยากจะพบพี่ค่ะ"
"วันนี้ ฉันไม่อยากเจอใครทั้งนั้น"
"แต่สองท่านนี้สำคัญจริง ๆ นะคะ"
"ก็ได้ ให้เข้ามาก็ได้"
จิดาภาออกไปเชิญแขก
ตอนนั้นวรงค์กำลังนั่งก้มหน้า พอได้ยินเสียงมีคนเข้ามาในห้อง เขาจึงเงยหน้าขึ้น
พอเงยหน้า เขาตกใจมาก ลุกขึ้นยืนเกือบไม่ทัน เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ
"เจ้าหญิงวิมลลักษณา เจ้าชายปารีส"
คนในสำนักข่าวช่วยกันหาเก้าอี้ที่ดีที่สุดให้ทั้งสองพระองค์ได้นั่ง
"ทรงนั่งเลยเพคะ" จิดาภากล่าวขึ้นก่อนจะออกจากห้องและปิดประตู
ทั้งสองพระองค์ได้นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว
"นั่งก่อนพี่ ยืนมันเมื่อย" เจ้าชายปารีสทรงบอกวรงค์
วรงค์ค่อย ๆ นั่งลง ตอนนี้เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์
"ทั้งสองพระองค์ทรงมีธุระ เออ อะไรกับหม่อมฉันเหรอครับกระหม่อม"
"ผมอยากจะเชิญพี่ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของผมอีกคนหนึ่งครับ"
วรงค์ตกใจมากจนพูดอะไรไม่ออก
"ถ้าพี่ไม่รับผมกับน้องหญิงขึ้นรถ แล้วไปส่งเราที่วังในวันนั้น พวกเราคงแย่"
วรงค์ยังคงเงียบอยู่ เจ้าชายทรงยื่นพระหัตถ์ไปจับมือของวรงค์
"พี่ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ผมนะครับ"
วรงค์ค่อย ๆ พยักหน้าอย่างช้า ๆ
"ส่วนเรื่องหนี้สินของพี่ทั้งหมด ผมจะจัดการให้ภายในเย็นนี้เลยนะครับ
จิดาภารวบรวมเอกสารมาให้ผมหมดแล้ว พี่จะได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ผมอย่างสบายใจ
ไม่ต้องกังวลใด ๆ ไงครับ"
วรงค์ลุกขึ้นแล้วทรุดตัวลงนั่งเพื่อจะก้มกราบ แต่เจ้าชายปารีสทรงทัดทานไว้
"พี่จะทำอะไรครับ พี่ไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้ครับ"
ตอนนั้นวรงค์คุกเข่าอยู่กับพื้น เจ้าชายก็ลงไปคุกเข่าด้วยเพื่อห้ามไม่ให้วรงค์ต้องก้มกราบ
เจ้าชายจับแขนของเขา "พี่มีบุญคุณกับพวกเรามากเลย อย่าทำอย่างนี้เลยครับ"
วรงค์มองหน้าเจ้าชายปารีส แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมา เขากอดเจ้าชายปารีสไว้แน่น
แล้วก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด เจ้าชายทรงปล่อยให้วรงค์กอดเขาสักพักนึงก่อนที่จะผละจากกัน
และต่างฝ่ายต่างลุกขึ้น
"ขอบคุณทั้งสองพระองค์มากนะครับ" วรงค์กล่าวและก็หันมองทั้งสองพระองค์
ทั้งสองพระองค์ทรงออกมาจากสำนักข่าวเล็ก ๆ และก็ต้องเดินออกจากตรอกเล็ก ๆ
ซึ่งรถพระที่นั่งเข้าไม่ถึง
ฝั่งตรงข้ามมีประชาชนโสฬสจำนวนมากมายืนรอรับเสด็จพร้อมเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ"
ทั้งสองพระองค์ทรงเดินช้า ๆ และยิ้มให้ประชาชน
มีเด็กผู้หญิงเดินเอาดอกกุหลาบ 1 ดอกมามอบให้เจ้าหญิงวิมลลักษณา พระองค์ทรงรับไว้
ทรงลูบหัวเด็กอย่างแผ่วเบา เด็กวิ่งกลับไป เจ้าหญิงทรงโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนของพระองค์
ประชาชนบางคนที่หลงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับทั้งสองพระองค์ รีบวิ่งไปอีกฝั่งทันที
จะได้ไม่รบกวนเบื้องยุคลบาท ตอนนี้ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักของประชาชนไม่ต่างไปจาก
กษัตริย์หลุยส์และราชินีโซเฟีย