เศรษฐา ลั่นไม่กลัวถูกปืนจี้ เล่าหลังรปห. เจอมาหมด ทหารบุก แม่อายุ 80 ถูกคุกถาม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3972705
เศรษฐา ลั่นไม่กลัวถูกปืนจี้ เล่าหลังรปห. เจอมาหมด ทหารบุก แม่อายุ 80 ถูกคุกถาม
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดปราศรัย นำโดย นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยช่วงตอนหนึ่ง นายเศรษฐา ได้ปราศรัย กับ นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และ ผู้ช่วยหาเสียง ในประเด็นผลกระทบในช่วงรัฐประหารปี 2557 ว่า ตนเป็นนักธุรกิจมา 30 กว่าปี พูดตรงไปตรงมาว่ามีชีวิตที่สบายพอสมควร มีทรัพย์สิน มีลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้ารักชีวิตสบาย ก็ไม่ก้าวข้ามเส้นนักธุรกิจมาเป็นนักการเมือง
นาย
เศรษฐา กล่าวต่อว่า ถ้าก้าวเข้ามาแล้วไม่มีคำว่ากลัว เพราะตนเข้ามาอยู่พรรคเพื่อไทย ที่ยึดโยงประชาชนเป็นหลัก เวลาเราทำอะไรทำตามกฎหมาย ตามนโยบายที่แจ้ง ไม่มีการนอกเส้น ถ้าเกิดมีคนใส่ชุดทหารเขียวๆ จะเอาปืนมาจี้ เอาอะไร ตนก็ไม่กลัว และตนเรียนว่าไม่ใช่ไม่เคย สมัยรัฐประหารปี 2557 ตนเป็นนักธุรกิจ เป็นนักธุรกิจคนแรกๆที่เขาเชิญเข้าไปในกรมทหาร เชิญเข้าไปนั่ง มีทหารถือ เอ็ม 16 อยู่ข้างหลัง ต้องไปรายงานตัว ตนก็เป็นคนไทย เป็นนักธุรกิจที่ไปหารายได้เข้าประเทศ เวลาจะบินออกนอกประเทศทุกหนต้องไปขออนุญาต และเขาก็กลั่นแกล้ง กว่าจะอนุญาตเครื่องบินจะเทคออฟแล้ว
“
เขาทราบตลอด ว่าผมอยู่ตรงไหน ผมทำอะไรอยู่ ไม่เป็นไร ทำกับผม ผมไม่ว่า ผมมีคุณแม่อายุ 80 กว่า อยู่ที่บ้าน เขารู้ผมอยู่เมืองนอก เขาเอารถแฮมเมอร์ มีทหารใส่ยูนิฟอร์มเข้าไป ไปจอดอยู่หน้าบ้าน ผมไม่อยู่บ้าน อยู่เมืองนอก ซึ่งเขาก็ทราบ กลุ่มคนเหล่านี้ มาขู่เข็ญคุณแม่ผมอายุ 80 กว่า ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลย ถ้าจะมาขู่ผม ผมไม่ว่า แต่เขารู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่อยู่ นี่เป็น 1 ในประเด็น ที่ผมต้องเดินหน้าเข้าสู่การเมือง” นาย
เศรษฐา กล่าว
นาย
เศรษฐา ยังกล่าวด้วยว่า เชื่อใจว่า อุ๊งอิ๊งก็ไม่กลัวแน่นอน เจอมาเยอะกว่าผมเยอะ ตามสถานที่ต่างๆ ก็เจอการโห่ไล่มา เป็นหญิงแกร่ง มั่นใจว่าเราจิตใจเดียวกัน
นาย
ณัฐวุฒิ จึงได้กล่าวต่อว่า “
เรียนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยความเคารพ ไม่มีใครเขากลัว-ึงนะครับ”
นาย
เศรษฐา กล่าวต่อว่า ตนเป็นนักธุรกิจที่หัวใจประชาธิปไตย เอาปืนมาจี้พรรคการเมือง ที่เราอยู่ ที่เราให้ความเคารพ ชนะเลือกตั้ง เอาปืน เอารถถังมาจี้ ขังเราไว้ในความคิดไม่ได้เรื่อง สมมติ ตนเป็นนายกฯ ให้ตนไปบอกรองนายกฯ ว่า พี่ประยุทธ์ จะเอารถถังกี่คน ตนจินตนาการไปไม่ได้ มันขัดมาก การที่เขาเอารถแฮมเมอร์ไปขู่เข็ญ ไปเรียกคนที่ไม่อยากเป็นทหารว่าชังชาติ ปล่อยให้ลูกน้องมาพูด แล้วตนเองนั่งเฉย แสดงว่าตนยอมรับใช่ไหม ว่าลูกหลานเราที่ไม่อยากเป็นทหาร เป็นคนชังชาติ แสดงว่า พล.อ.
ประยุทธ์ ยอมรับใช่ไหม
“
อย่าว่าแต่ไปจับมือเลย เรานี่หละ จะเป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล เราจะยึดโยงกับพรรคการเมือง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย เราจะเดินไปด้วยกัน”
ด้อมส้มกาญจน์แน่น! แห่ฟังแกนนำก้าวไกล ปราศรัยหน้าศาลหลักเมือง(คลิป)
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7656866
” วิโรจน์ – ศิริกัญญา ” ขึ้นรถปราศรัยบูรพาไม่แพ้ ปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครส.ส.ทั้ง 5 เขตของพรรคก้าวไกล ด้อมส้มกว่า 2 พัน สวมใส่เสื้อสีส้มแห่ฟังแน่นลานหน้าศาลหลักเมืองกาญจนบุรี
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 10 พ.ค.2566 นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ เดินทางมาช่วยผู้สมัครส.ส.ทั้ง 5 เขตของพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีรถปราศรัยหาบูรพาไม่แพ้
โดยมีประชาชนกว่า 2,000 ส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อสีส้มมาร่วมฟังปราศรัย จนแน่นลาน หน้าศาลหลักเมืองกาญจนบุรี ถนนหลักเมือง
นาย
วิโรจน์ กล่าวถึงกรณีพิธาถูกร้องเรียนเรื่องหุ้นไอทีวี ว่าเป็นสัญญาณว่าตอนนี้พิธาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตัวจริงแล้ว และตอนนี้เท่ากับว่าพรรคก้าวไกลถูกมองว่าเป็นพรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของบรรดานักร้องทั้งหลาย รวมทั้งปล่อยคลิปออกมาโจมตีพรรคก้าวไกล
“
ตอนนี้ต้องยอมรับว่าพรรคที่ปักธงนำประชาธิปไตยที่ต่อสู้กับกลุ่มทุนอุปถัมภ์กลุ่มอำนาจนิยม ตอนนี้พรรคก้าวไกลถือธงนำแล้ว และตอนนี้เราจะสังเกตุว่าพอมารไม่มีบารมีก็จะไม่เกิด ตอนนี้ก็มีกลุ่มนักร้องต่างๆถ้าเราเอาเนื้อหาจริงๆเราไม่กังวลเลย สิ่งต่างๆเหล่านี้เหมือนแมลงหวี่แมลงวันให้เราเสียสมาธิเท่านั้น”
นาย
วิโรจน์ กล่าวต่อว่า วันนี้พรรคก้าวไกลและรถปราศรัยบูรพาไม่แพ้มาที่กาญจนบุรีเราได้รับการตอบรับดีมาก ประชาชนมาให้กำลังใจพรรคก้าวไกลจำนวนมาก เรามั่นใจมากๆกับการที่คนกาญจนบุรีตอบรับการลงพื้นที่ของพรรคก้าวไกลมากๆ ทั้งหัวคะแนนธรรมชาติที่ช่วยอธิบายนโยบายให้เรา ที่สำคัญเขาช่วยชี้แจงกับสังคมในเรื่องที่เราโดนสาดโคลน
ต้องยอมรับว่าการที่นักร้องร้องเราเยอะๆ ฝ่ายตรงข้ามฝ่ายอำนาจนิยมที่ออกมาโจมตีเราเยอะ แสดงว่าอะไร ตอนนี้เรากำลังถือธงนำต่อสู้กับกลุ่มอำนาจนิยม แสดงว่าพรรคก้าวไกลถูกมองว่าอาจจะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่เป็นคำพูดที่มันเลื่อนลอยเลย
”
เรารู้สึกว่าแรกๆมีการแข่งขันกันอยู่หลายพรรค พอแข่งกันไปแข่งกับมาโค้งสุดท้ายเหลืออีกสี่วันสี่คืน ปรากฎว่า เหลือขั้วที่ต่อสู้กันเหลืออยู่แค่สองพรรค คือฝ่ายหนึ่งเรียกลุงก็แล้วกัน ส่วนอีกกลุ่มคือพรรคก้าวไกล เราจะเห็นการสาดโคลนจากกลุ่มอำนาจนิยมมาที่พรรคก้าวไกล แต่เราก็ยืนยันว่าเราไม่วอกแวก เราก็จะเข้าเส้นชัยพร้อมกันกับประชาชนในวันที่ 14 พ.ค.นี้ พรรคก้าวไกลยืนว่ามีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา ก็ชัดเจนแบบนี้ ” นาย
วิโรจน์ ระบุ
ครัวเรือนกังวลหนัก ค่าไฟ-ดอกเบี้ยแพง กระทบรายได้การออมเงิน
https://www.dailynews.co.th/news/2316920/
ครัวเรือนกังวลค่าไฟแพง ฉุดดัชนีครองชีพร่วงในรอบ 5 เดือน แถมเจอดอกเบี้ยขาขึ้นมาซ้ำ คนไทย 58.8% มองเงินเฟ้อกระทบรายได้-เงินออม
“
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ได้เปิดเผยผลสำรวจในเดือน เม.ย. 66 ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือน ถูกกดให้ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 34.5 จาก 35.8 ในเดือน มี.ค. 66 ขณะที่ดัชนีฯ 3 เดือนข้างหน้ายังคงทรงตัว จากสภาพแวดล้อมของต้นทุนการครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูงในขณะนี้ ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อไทยจะปรับลดต่ำสุดในรอบ 16 เดือนที่ 2.67% แต่ครัวเรือนก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับราคาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 66 ที่แม้ปรับลงจากงวดเดือนก่อนหน้าที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ครัวเรือนยังคงรู้สึกถึงผลกระทบของค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ท่ามกลางปริมาณการใช้ไฟที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่ร้อน ซึ่งในเดือน พ.ค. 66 ภาครัฐก็ได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นให้ได้รับส่วนลด แต่มาตรการดังกล่าวถูกปรับใช้กับเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เนื่องด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ
นอกจากนี้ การสำรวจเพิ่มเติมของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เกี่ยวกับระดับความกังวลต่อเงินเฟ้อของครัวเรือนในขณะนี้พบว่า ครัวเรือนเกินครึ่งหนึ่ง 58.8% มีความกังวลมากเนื่องจากมีผลต่อการใช้จ่าย รายได้และการออม ขณะที่ครัวเรือนอีกเกือบ 1 ใน 3 หรือ 30.3% ยังมีความกังวล เนื่องจากแม้มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย แต่คาดว่าเงินเฟ้อจะมีทิศทางลดลง และครัวเรือนที่เหลือ 10.9% ไม่ค่อยมีความกังวล เนื่องจากมองว่าเงินเฟ้อได้ชะลอลงแล้วและคาดว่าภาครัฐจะสามารถจัดการได้
ขณะเดียวกันต้นทุนทางเงินที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้แก่ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง ถึงภาระในการชำระหนี้เมื่อดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งในการประชุม กนง. เดือน พ.ค. นี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2% ต่อปี
ขณะที่พฤติกรรมของครัวเรือนช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นพบว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่ 76.5% ได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยงดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยถึง 71% และยังมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่ ลดการบริโภค 25.4% ชะลอการก่อหนี้หรือซื้อของที่มีมูลค่าสูง เช่น บ้าน รถยนต์ 21.2% หารายได้ทำงานมากขึ้น 14.8% นำเงินเก็บออกมาใช้ 14.4% และกู้เงินจากแหล่งอื่น 7.8%
“
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จะยังสร้างมุมมองที่ดีเกี่ยวกับรายได้และการจ้างงานของครัวเรือนได้ แต่ก็อาจไม่เพียงพอให้ดัชนีสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในระยะอันสั้น เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยที่กดดันครัวเรือน ที่โดยเฉพาะต้นทุนการครองชีพ ทั้งทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไป ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมีมุมมองว่า จะยังมีแนวโน้มต้องเผชิญกับแรงกดดันจากค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงยังคงต้องติดตามการส่งผ่านราคาของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนจากทิศทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง”
JJNY : เศรษฐา ลั่นไม่กลัวถูกปืนจี้│ด้อมส้มกาญจน์แน่น!│ครัวเรือนกังวลหนัก ค่าไฟ-ดอกเบี้ยแพง│ขีปนาวุธรัสเซียโจมตีนักข่าว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3972705
เศรษฐา ลั่นไม่กลัวถูกปืนจี้ เล่าหลังรปห. เจอมาหมด ทหารบุก แม่อายุ 80 ถูกคุกถาม
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดปราศรัย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยช่วงตอนหนึ่ง นายเศรษฐา ได้ปราศรัย กับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และ ผู้ช่วยหาเสียง ในประเด็นผลกระทบในช่วงรัฐประหารปี 2557 ว่า ตนเป็นนักธุรกิจมา 30 กว่าปี พูดตรงไปตรงมาว่ามีชีวิตที่สบายพอสมควร มีทรัพย์สิน มีลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้ารักชีวิตสบาย ก็ไม่ก้าวข้ามเส้นนักธุรกิจมาเป็นนักการเมือง
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ถ้าก้าวเข้ามาแล้วไม่มีคำว่ากลัว เพราะตนเข้ามาอยู่พรรคเพื่อไทย ที่ยึดโยงประชาชนเป็นหลัก เวลาเราทำอะไรทำตามกฎหมาย ตามนโยบายที่แจ้ง ไม่มีการนอกเส้น ถ้าเกิดมีคนใส่ชุดทหารเขียวๆ จะเอาปืนมาจี้ เอาอะไร ตนก็ไม่กลัว และตนเรียนว่าไม่ใช่ไม่เคย สมัยรัฐประหารปี 2557 ตนเป็นนักธุรกิจ เป็นนักธุรกิจคนแรกๆที่เขาเชิญเข้าไปในกรมทหาร เชิญเข้าไปนั่ง มีทหารถือ เอ็ม 16 อยู่ข้างหลัง ต้องไปรายงานตัว ตนก็เป็นคนไทย เป็นนักธุรกิจที่ไปหารายได้เข้าประเทศ เวลาจะบินออกนอกประเทศทุกหนต้องไปขออนุญาต และเขาก็กลั่นแกล้ง กว่าจะอนุญาตเครื่องบินจะเทคออฟแล้ว
“เขาทราบตลอด ว่าผมอยู่ตรงไหน ผมทำอะไรอยู่ ไม่เป็นไร ทำกับผม ผมไม่ว่า ผมมีคุณแม่อายุ 80 กว่า อยู่ที่บ้าน เขารู้ผมอยู่เมืองนอก เขาเอารถแฮมเมอร์ มีทหารใส่ยูนิฟอร์มเข้าไป ไปจอดอยู่หน้าบ้าน ผมไม่อยู่บ้าน อยู่เมืองนอก ซึ่งเขาก็ทราบ กลุ่มคนเหล่านี้ มาขู่เข็ญคุณแม่ผมอายุ 80 กว่า ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลย ถ้าจะมาขู่ผม ผมไม่ว่า แต่เขารู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่อยู่ นี่เป็น 1 ในประเด็น ที่ผมต้องเดินหน้าเข้าสู่การเมือง” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา ยังกล่าวด้วยว่า เชื่อใจว่า อุ๊งอิ๊งก็ไม่กลัวแน่นอน เจอมาเยอะกว่าผมเยอะ ตามสถานที่ต่างๆ ก็เจอการโห่ไล่มา เป็นหญิงแกร่ง มั่นใจว่าเราจิตใจเดียวกัน
นายณัฐวุฒิ จึงได้กล่าวต่อว่า “เรียนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยความเคารพ ไม่มีใครเขากลัว-ึงนะครับ”
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ตนเป็นนักธุรกิจที่หัวใจประชาธิปไตย เอาปืนมาจี้พรรคการเมือง ที่เราอยู่ ที่เราให้ความเคารพ ชนะเลือกตั้ง เอาปืน เอารถถังมาจี้ ขังเราไว้ในความคิดไม่ได้เรื่อง สมมติ ตนเป็นนายกฯ ให้ตนไปบอกรองนายกฯ ว่า พี่ประยุทธ์ จะเอารถถังกี่คน ตนจินตนาการไปไม่ได้ มันขัดมาก การที่เขาเอารถแฮมเมอร์ไปขู่เข็ญ ไปเรียกคนที่ไม่อยากเป็นทหารว่าชังชาติ ปล่อยให้ลูกน้องมาพูด แล้วตนเองนั่งเฉย แสดงว่าตนยอมรับใช่ไหม ว่าลูกหลานเราที่ไม่อยากเป็นทหาร เป็นคนชังชาติ แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับใช่ไหม
“อย่าว่าแต่ไปจับมือเลย เรานี่หละ จะเป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล เราจะยึดโยงกับพรรคการเมือง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย เราจะเดินไปด้วยกัน”
ด้อมส้มกาญจน์แน่น! แห่ฟังแกนนำก้าวไกล ปราศรัยหน้าศาลหลักเมือง(คลิป)
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7656866
” วิโรจน์ – ศิริกัญญา ” ขึ้นรถปราศรัยบูรพาไม่แพ้ ปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครส.ส.ทั้ง 5 เขตของพรรคก้าวไกล ด้อมส้มกว่า 2 พัน สวมใส่เสื้อสีส้มแห่ฟังแน่นลานหน้าศาลหลักเมืองกาญจนบุรี
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 10 พ.ค.2566 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ เดินทางมาช่วยผู้สมัครส.ส.ทั้ง 5 เขตของพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีรถปราศรัยหาบูรพาไม่แพ้
โดยมีประชาชนกว่า 2,000 ส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อสีส้มมาร่วมฟังปราศรัย จนแน่นลาน หน้าศาลหลักเมืองกาญจนบุรี ถนนหลักเมือง
นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณีพิธาถูกร้องเรียนเรื่องหุ้นไอทีวี ว่าเป็นสัญญาณว่าตอนนี้พิธาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตัวจริงแล้ว และตอนนี้เท่ากับว่าพรรคก้าวไกลถูกมองว่าเป็นพรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของบรรดานักร้องทั้งหลาย รวมทั้งปล่อยคลิปออกมาโจมตีพรรคก้าวไกล
“ตอนนี้ต้องยอมรับว่าพรรคที่ปักธงนำประชาธิปไตยที่ต่อสู้กับกลุ่มทุนอุปถัมภ์กลุ่มอำนาจนิยม ตอนนี้พรรคก้าวไกลถือธงนำแล้ว และตอนนี้เราจะสังเกตุว่าพอมารไม่มีบารมีก็จะไม่เกิด ตอนนี้ก็มีกลุ่มนักร้องต่างๆถ้าเราเอาเนื้อหาจริงๆเราไม่กังวลเลย สิ่งต่างๆเหล่านี้เหมือนแมลงหวี่แมลงวันให้เราเสียสมาธิเท่านั้น”
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า วันนี้พรรคก้าวไกลและรถปราศรัยบูรพาไม่แพ้มาที่กาญจนบุรีเราได้รับการตอบรับดีมาก ประชาชนมาให้กำลังใจพรรคก้าวไกลจำนวนมาก เรามั่นใจมากๆกับการที่คนกาญจนบุรีตอบรับการลงพื้นที่ของพรรคก้าวไกลมากๆ ทั้งหัวคะแนนธรรมชาติที่ช่วยอธิบายนโยบายให้เรา ที่สำคัญเขาช่วยชี้แจงกับสังคมในเรื่องที่เราโดนสาดโคลน
ต้องยอมรับว่าการที่นักร้องร้องเราเยอะๆ ฝ่ายตรงข้ามฝ่ายอำนาจนิยมที่ออกมาโจมตีเราเยอะ แสดงว่าอะไร ตอนนี้เรากำลังถือธงนำต่อสู้กับกลุ่มอำนาจนิยม แสดงว่าพรรคก้าวไกลถูกมองว่าอาจจะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่เป็นคำพูดที่มันเลื่อนลอยเลย
” เรารู้สึกว่าแรกๆมีการแข่งขันกันอยู่หลายพรรค พอแข่งกันไปแข่งกับมาโค้งสุดท้ายเหลืออีกสี่วันสี่คืน ปรากฎว่า เหลือขั้วที่ต่อสู้กันเหลืออยู่แค่สองพรรค คือฝ่ายหนึ่งเรียกลุงก็แล้วกัน ส่วนอีกกลุ่มคือพรรคก้าวไกล เราจะเห็นการสาดโคลนจากกลุ่มอำนาจนิยมมาที่พรรคก้าวไกล แต่เราก็ยืนยันว่าเราไม่วอกแวก เราก็จะเข้าเส้นชัยพร้อมกันกับประชาชนในวันที่ 14 พ.ค.นี้ พรรคก้าวไกลยืนว่ามีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา ก็ชัดเจนแบบนี้ ” นายวิโรจน์ ระบุ
ครัวเรือนกังวลหนัก ค่าไฟ-ดอกเบี้ยแพง กระทบรายได้การออมเงิน
https://www.dailynews.co.th/news/2316920/
ครัวเรือนกังวลค่าไฟแพง ฉุดดัชนีครองชีพร่วงในรอบ 5 เดือน แถมเจอดอกเบี้ยขาขึ้นมาซ้ำ คนไทย 58.8% มองเงินเฟ้อกระทบรายได้-เงินออม
“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ได้เปิดเผยผลสำรวจในเดือน เม.ย. 66 ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือน ถูกกดให้ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 34.5 จาก 35.8 ในเดือน มี.ค. 66 ขณะที่ดัชนีฯ 3 เดือนข้างหน้ายังคงทรงตัว จากสภาพแวดล้อมของต้นทุนการครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูงในขณะนี้ ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อไทยจะปรับลดต่ำสุดในรอบ 16 เดือนที่ 2.67% แต่ครัวเรือนก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับราคาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 66 ที่แม้ปรับลงจากงวดเดือนก่อนหน้าที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ครัวเรือนยังคงรู้สึกถึงผลกระทบของค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ท่ามกลางปริมาณการใช้ไฟที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่ร้อน ซึ่งในเดือน พ.ค. 66 ภาครัฐก็ได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นให้ได้รับส่วนลด แต่มาตรการดังกล่าวถูกปรับใช้กับเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เนื่องด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ
นอกจากนี้ การสำรวจเพิ่มเติมของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เกี่ยวกับระดับความกังวลต่อเงินเฟ้อของครัวเรือนในขณะนี้พบว่า ครัวเรือนเกินครึ่งหนึ่ง 58.8% มีความกังวลมากเนื่องจากมีผลต่อการใช้จ่าย รายได้และการออม ขณะที่ครัวเรือนอีกเกือบ 1 ใน 3 หรือ 30.3% ยังมีความกังวล เนื่องจากแม้มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย แต่คาดว่าเงินเฟ้อจะมีทิศทางลดลง และครัวเรือนที่เหลือ 10.9% ไม่ค่อยมีความกังวล เนื่องจากมองว่าเงินเฟ้อได้ชะลอลงแล้วและคาดว่าภาครัฐจะสามารถจัดการได้
ขณะเดียวกันต้นทุนทางเงินที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้แก่ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง ถึงภาระในการชำระหนี้เมื่อดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งในการประชุม กนง. เดือน พ.ค. นี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2% ต่อปี
ขณะที่พฤติกรรมของครัวเรือนช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นพบว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่ 76.5% ได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยงดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยถึง 71% และยังมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่ ลดการบริโภค 25.4% ชะลอการก่อหนี้หรือซื้อของที่มีมูลค่าสูง เช่น บ้าน รถยนต์ 21.2% หารายได้ทำงานมากขึ้น 14.8% นำเงินเก็บออกมาใช้ 14.4% และกู้เงินจากแหล่งอื่น 7.8%
“การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จะยังสร้างมุมมองที่ดีเกี่ยวกับรายได้และการจ้างงานของครัวเรือนได้ แต่ก็อาจไม่เพียงพอให้ดัชนีสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในระยะอันสั้น เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยที่กดดันครัวเรือน ที่โดยเฉพาะต้นทุนการครองชีพ ทั้งทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไป ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมีมุมมองว่า จะยังมีแนวโน้มต้องเผชิญกับแรงกดดันจากค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงยังคงต้องติดตามการส่งผ่านราคาของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนจากทิศทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง”