ปอบเดรัจฉาน & กลับบ้านเกิด





กลับบ้านเกิด
ล. วิลิศมาหรา

“ไอ้ศักดิ์ เอ็งจะกลับบ้านวันสงกรานต์นี้หรือเปล่า กูอยากฝากของไปให้แม่กูหน่อย”

ไอ้เซียงเพื่อนผมซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน โผล่หน้าเข้ามาหาที่ห้องเช่า พร้อมกับถุงของฝากถุงใหญ่ 

ผมกับไอ้เซียงเข้ามาทำงานในกรุงเทพพร้อมกันได้หลายปีดีดักแล้ว ผมทำงานเป็นกุ๊กในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ส่วนไอ้เซียงก็เป็นกุ๊กในร้านอาหารอีกแห่ง เราสองคนมักไม่มีวันหยุดยาวเหมือนพนักงานคนอื่น จะได้หยุดพักกันยาว ๆ ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นจริง ๆ หรือเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจนถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาลแล้วนั่นแหละ 

แต่แม้เราจะไม่ได้หยุดงานยาวหลายวัน แต่เราสองคนก็พอใจ เพราะมีงานทำย่อมดีกว่าตกงาน และมันจะการันตีรายได้ ทำให้เรามีเงินทองส่งไปให้ทางบ้านได้ใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ สร้างความภาคภูมิใจให้กับเราสองคน

แม้ทางร้านจะไม่มีวันหยุดพักยาวให้เรา แต่เราสองคนก็ได้หยุดกันในช่วงวันสงกรานต์ของทุกปี ที่ทั้งสองร้านจะหยุดให้เราได้กลับไปเยี่ยมบ้านประมาณสักอาทิตย์หนึ่ง ซึ่งในช่วงสองปีก่อนที่จะมีโรคระบาด ร้านที่ผมกับไอ้เซียงทำงานอยู่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาก ในช่วงเวลานั้นเอง แม้จะเป็นวันหยุดสงกรานต์ ที่ทางร้านควรจะให้พนักงานได้หยุดพักกันยาว ๆ แต่ทางร้านก็ไม่ได้ให้เราหยุด เราจึงไม่ได้กลับบ้านในช่วงวันสงกรานต์ติดกันถึงสองปี ที่พอเจอหน้ากันทีไร ไอ้เซียงมันก็จะบ่นกับผมทุกที ว่าตัวมันเองอยากจะกลับไปบ้าน เพื่อไปเยี่ยมแม่ เพราะป้าคำพาแม่ของไอ้เชียงมีโรคประจำตัวอยู่หลายโรค และมักจะมีอาการเป็นลมหน้ามืดอยู่บ่อย ๆ ไอ้เชียงซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวจึงอดเป็นห่วงแม่ไม่ได้ 

สิ่งที่ทำให้เราสองคนต้องดิ้นรนเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ เนื่องเพราะว่าการทำนาที่บ้านนอกไม่ค่อยจะได้ผล ฟ้าฝนเองก็ไม่เป็นใจ มาทำงานในร้านอาหารจะมีรายได้ที่มากกว่า ไอ้เชียงจึงตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพ ถ้าแม่ของมันดูแลตัวเองไม่ค่อยไหวเมื่อไหร่ มันถึงจะกลับไปอยู่บ้านอย่างถาวร ผมได้แต่พูดปลอบใจมัน บอกมันว่าวันสงกรานต์ของปีหน้า เราสองคนคงจะได้กลับบ้านกันแน่ ๆ

แต่ในวันสงกรานต์ของปีนี้ ไอ้เซียงก็ไม่ได้กลับบ้านดังตั้งใจ เพราะร้านของมันไม่ปิด ผิดกับผมที่ช่วงนี้กิจการของทางร้านทำท่าไม่ค่อยสู้ดีนัก ร้านไม่มีลูกค้ามานั่งกิน เจ้าของร้านเริ่มออกอาการหงุดหงิด มักบ่นให้ผมฟังเรื่องรายได้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลังบ่อย ๆ และในที่สุดก็คงจะต้องปิดกิจการลงเหมือนร้านอื่น พนักงานทุกคนจะถูกลอยแพ ต้องไปหางานทำกันใหม่หมด 

มันทำให้ผมคิดจะกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิดก่อน อย่างน้อยที่บ้านของผมก็มีอาชีพเลี้ยงวัว กลับไปเลี้ยงวัวขายก็ได้ เพราะไม่มีที่ทางให้ทำกินเหมือนบ้านของไอ้เชียง ป้าคำพามีที่นาอยู่สามสี่ไร่ พอให้ได้ปลูกข้าวไว้กินเอง ที่นาของแกอยู่ติดกับทางเข้าหมู่บ้านของเรานั่นเอง

“ถุงนี้เป็นของแม่กู อีกถุงนึง กูฝากไปให้ป้าเอี้ยงแม่เอ็ง ฝากความคิดถึงไปหาทางบ้านของพวกเราด้วย กูคงทำงานอีกแค่ปีเดียว สงกรานต์ปีหน้ากูก็จะกลับไปอยู่บ้านแล้ว เบื่อทำงานที่นี่เต็มทีว่ะ”

ไอ้เชียงเลยฝากของไปให้กับทางบ้านแทน ซึ่งก็เป็นประเภทของใช้และเสื้อผ้าใหม่ ๆ มันบ่นกระปอดกระแปดถึงความเบื่อหน่ายต่อการใช้ชีวิตในเมืองกรุง ผมรับถุงใส่ของฝากมา เอายัดลงกระเป๋าเป้ พยักหน้าบอกตกลงมันไป

“เออ...กูกลับไปรอที่บ้านนอกก่อน อยู่ทางนี้ก็รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีล่ะ เหล้ายาอย่าหามากินให้มันบ่อยนัก รถราก็อย่าขี่ให้มันไวเกิน ไม่มีกูคอยเตือนสติที่นี่ ตัวเองก็ต้องมีสติคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอด กูจะรอฉลองสงกรานต์กับที่บ้านเราปีหน้านะ”

ติดตามต่อได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ https://youtu.be/PGRshm2snZQ

copyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyrightcopyright

ปอบเดรัจฉาน
พยม ดาหลา 

เสียงเห่าหอนของหมาที่หอนรับกันเป็นทอด ๆ ดังอยู่ภายในหมู่บ้านเนินนกเอี้ยง ทำให้ทองดีที่กำลังจะเข้านอนต้องเงี่ยหูฟังอย่างค่อนข้างตื่นตระหนกตกใจ เพราะหมู่นี้มีเรื่องราวที่น่าสงสัยและน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นในหมู่บ้านของตนเองอยู่บ่อยครั้ง 

ในระยะนี้มักมีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน โดยเฉพาะลูกวัวควายที่เพิ่งเกิดใหม่ หรือแม้กระทั่งแม่วัวแม่ควายที่อุ้มท้องแก่ใกล้คลอด ได้เกิดมีตัวอะไรสักอย่างมาลักกัดท้องจนตาย โดยเฉพาะรกของวัวควายที่เกิดใหม่ซึ่งมักจะหายไป จนเกิดมีเสียงเล่าลือกันว่า ได้มีผีปอบลักลอบแฝงตัวอยู่ภายในหมู่บ้านเข้าให้แล้ว หรือบางทีก็อาจเป็นเพราะเกิดมีคนมีวิชาที่ไปทำผิดข้อคะลำเข้า จนทำให้วิชาเข้าตัวกลายมาเป็นปอบ และเจ้าผีปอบตัวนี้มันก็ชอบกินรกวัวควายเกิดใหม่ ซึ่งอาจหมายรวมไปถึงรกคนด้วยก็ได้ เพราะมีหลายครั้งแล้ว ที่หญิงท้องแก่ใกล้คลอด ซึ่งเมื่อยายอ่อนที่เป็นหมอตำแยประจำหมู่บ้านได้ช่วยทำคลอดให้เรียบร้อยแล้ว และได้นำรกเอาไปฝังดินไว้ กลับมีคนเห็นว่ามีหมาดำตัวใหญ่มาขุดเอารกนั้นไป ลือกันว่ามันเป็นหมาดำที่มีตัวสูงใหญ่กว่าหมาธรรมดามาก ดวงตามันสีแดงก่ำราวกับมีเลือดขังอยู่ข้างใน ชาวบ้านพากันหวาดผวา ลงความเห็นว่าปอบตัวนี้มันคือปอบหมาดำ ซึ่งมีฤทธิ์ร้ายกาจมากกว่าปอบธรรมดาทั่วไป แต่มันจะเป็นใครและมาจากไหน ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบมาได้

จวบจนกระทั่งมีเสียงร้องของวัวแม่ลูกอ่อนดังมาจากทางคอกวัวที่อยู่หลังบ้านนั่นแหละ ทองดีจึงรีบลุกจากที่นอน คว้ากระบอกไฟฉาย เผ่นลงจากบ้านไปยังคอกวัวของตัวเอง ด้วยความประหวั่นอยู่ในใจ ระคนกับร้อนใจ กลัวว่าแม่วัวของตัวเองจะเป็นอะไรไป  
    
มุ่งหน้าไปทางหลังบ้าน อ้อมมาทางด้านข้างของคอกวัว ขณะกำลังย่ำเท้าไปนั้น เสียงร้องของวัวก็ดังขึ้นอยู่เรื่อย ๆ เสียงของมันเสมือนกำลังตื่นตกใจในบางอย่างอยู่ ทองดีจึงตัดสินใจถลันพรวดเข้าไปดูในคอกวัว เพื่อให้หายแคลงใจ  

แต่ภาพที่ได้เห็นอยู่เบื้องหน้าทำเอาทองดีถึงกับยืนตะลึงตัวชา เพราะปรากฏว่าในคอกวัวนั้นเอง ได้มีร่างของหญิงชราคนหนึ่ง กำลังนั่งก้มหน้าทำอะไรบางอย่างอยู่ แสงไฟฉายในมือทองดี พุ่งเข้าปะทะใบหน้าของหญิงชรา ฉับพลันนั้นเอง ใบหน้านั้นก็หันขวับมามอง มีสีเขียวเรืองแสงขึ้นมาบนใบหน้าของแก พร้อมดวงตาคู่สีแดงเจิดจ้าจ้องหน้าทองดีเขม็ง 

ทองดียืนตะลึงตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก เสียงแม่วัวร้องครางขึ้น เมื่อหันไปดูถึงค่อยรู้ว่า นางผีปอบตนนี้มันมาลักกินรกวัวเกิดใหม่ของเขานั่นเอง

ทันใดนั้น จู่ ๆ ร่างหญิงแก่ก็กลายเป็นหมาดำตัวใหญ่ มันพุ่งทะยานเข้าชนทองดีอย่างจัง จนเขาล้มหน้าคะมำลง ไฟฉายหลุดจากมือกระเด็นไปตกอยู่ที่พื้น
ทองดีแม้เป็นคนใจกล้าและบ้าดีเดือดเป็นบางครั้ง สู้กับพวกโจรที่มาปล้นวัวควาย เขาเองไม่เคยหวั่น จะต่อสู้กับพวกมันด้วยกำปั้นหรือศอกเข่า เขาก็สู้ได้อย่างสบาย แต่ไม่ใช่กับผีปอบ!

พอพรวดพราดลุกขึ้นมาได้ เขาประสานสายตากับหมาดำ ท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิดของไฟฉาย พริบตานั้นเอง หมาดำก็กระโจนเข้าใส่เขาอย่างดุร้าย ทองดีสวนหมัดตรงเข้าเบ้าตาซ้ายของมันเต็มแรง จากนั้นไม่อยู่รอดูว่ามันจะเป็นยังไง หันหลังโกยอ้าววิ่งหนีไปจากที่ตรงนั้นทันที ย่ำเท้าก้าวพรวด ๆ ขึ้นบันได ปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว ก่อนโดดขึ้นเตียงนอน เอาผ้าห่มมาคลุมโปง สวดนะโมผิด ๆ ถูก ๆ อยู่ใต้ผ้าห่ม ภาพของปอบหมาดำอันแสนน่าสะพรึงกลัว ยังติดคาอยู่ในสมอง 

ได้ยินเสียงร้องของวัวแม่ลูกอ่อนดังขึ้นอีก แต่ทองดีไม่เหลือความกล้าหาญมากพอจะบังคับตัวเองให้ลงไปดูอีกแล้ว ได้แต่นอนฟังเสียงแม่วัวร้อง ก่อนที่มันจะเงียบเสียงไปเอง กลายเป็นเสียงหมาเห่าหอนขึ้นแทน 

นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม ความกลัวแล่นซ่านจนเหงื่อกาฬแตกเต็มตัวไปหมด คอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ เวลาผ่านไปท่ามกลางหัวใจที่เต้นแรงเหมือนตีกลองเพล ภาวนาให้ถึงเช้าเร็ว ๆ แสงตะวันจะได้ไล่สิ่งที่น่ากลัวให้ออกไปจากคอกวัวของตนเอง 

และแล้วหูของทองดีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันไดบ้านมา เสียงนั้นได้มาหยุดที่หน้าประตู ก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น 

“ไอ้ทองดี วัวน้อยของเอ็งแย่แล้ว ไม่ลงมาดูมั่งเหรอวะ”

ราวกับสวรรค์มาโปรด เสียงนั้นมันคือเสียงของผู้ใหญ่หาญ ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเนินนกเอี้ยงนั่นเอง 

ทองดีสะบัดผ้าห่มออกพ้นตัว ผลุนผลันไปที่ประตูบ้าน รีบเปิดมันออก ก็เห็นผู้ใหญ่หาญพร้อมกับผู้ช่วยอีกสองคน รวมทั้งรำพึง เมียสาวของผู้ใหญ่หาญอีกคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กำลังยืนมองอยู่ที่หน้าประตู ทุกคนถือคบไฟอยู่ในมือ และถือปืนยาวมาคนละกระบอก

“ผีปอบ ผู้ใหญ่ มันเป็นผีปอบหมาดำตัวใหญ่ แต่แรกมันเป็นผู้หญิงแก่ก่อน มันเข้ามาลักกินรกวัวน้อยของข้า พอข้าเข้าไปเห็นมันเข้า มันก็กลายเป็นหมาดำกระโจนเข้าใส่ข้า ข้าเห็นกับตาเลยคราวนี้ บ้านเรามีผีปอบออกอาละวาดจริง ๆ”

ทองดีบอกกับผู้ใหญ่บ้านปากคอสั่น ด้วยยังไม่หายจากความหวาดกลัวดี ต่อภาพผีปอบที่ไปเห็นมา

“ข้าเห็นแล้วล่ะ วัวน้อยของเอ็งก็ถูกมันกัดเละเทะไปแล้วด้วย ยังดีที่มันไม่ทำอะไรกับแม่วัวเอ็ง อีผีปอบตะกละ ข้าจะต้องลากเอาตัวมันออกมาให้ได้ คอยดู!” 

ผู้ใหญ่หาญพูดกึ่งคำรามด้วยความโกรธจัด ผีปอบตนนี้มันเป็นใครกัน ถึงได้บังอาจมาสร้างความยุ่งยากให้แก่ลูกบ้านของแกเป็นประจำ 

คืนนี้เป็นเพราะได้ยินเสียงหมามันเห่าหอนกันมากผิดปกติ ผู้ใหญ่หาญจึงไปตามผู้ช่วยอีกสองคนให้มุ่งหน้ามาทางบ้านของทองดี ซึ่งมีแม่วัวท้องแก่อยู่ในคอก ด้วยสังหรณ์ใจว่าผีปอบมันจะมาแอบลักกัดท้องแม่วัวกิน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดของแก

ติดตามต่อได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=5RYf4V09Gnc
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่