เรื่องสั้นเรื่องที่สอง แปลกแหวกแนวครับ...
สองพี่น้องชาวนา ต้อนวัวต้อนควายจากบ้านมายังทุ่งนา ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติๆ อากาศบริสุทธิ์ และพบกับสิ่งที่ไม่ปกติ ซึ่งชั่วชีวิตไม่เคยเห็น
สิ่งนั้นคืออะไร ตามไปดูกับพวกเขาครับ อ่านจบ แจกเกรด และชี้ตัวคนเขียนกันเลย...
ในชนบท กลางท้องทุ่งนาแห่งหนึ่ง....
"เฮ้ย! ใครมาทำห่าอะไรไว้ตรงนี้วะ "
ชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้น ๆ ร้องโวยวาย หลังจากที่เขากับน้องชายช่วยกันต้อนวัวควายออกมาจากบ้านมาหากินกลางทุ่งในตอนเช้า แล้วมาพบเจอกับสิ่งประหลาดซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
"มันรอยอะไรเนี่ย พี่ขวัญ ?" คนน้องมองกลางทุ่งนานั้นอย่างมึนงงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า "เวรจริง ๆ รวงข้าวงาม ๆ ยับเยินหมด"
"ต้องมีคนแกล้งเราแน่ ไอ้ขุน" คนพี่ทำหน้าบึ้งตึง ท่าทางฮึดฮัด "เมื่อวานเย็น ก่อนจะต้อนวัวต้อนควายกลับบ้าน ข้าวในนายังดี ๆ อยู่เลย ไหงเช้านี้กลายเป็นยังงี้ไปได้"
"ใครที่ไหนจะมาแกล้งเราแบบนี้ล่ะพี่ ?"
"จะไปรู้เรอะ ? แต่มันต้องมีใครสักคนทำแน่นอน อยู่ ๆ นาข้าวจะราบลงแบนแต๊ดแต๋ติดดินยังงี้ได้ไงวะ"ไอ้ขวัญพี่ชายกล่าวอย่างฉุนเฉียวระคนกับความแปลกประหลาดใจ
"มันมีกลิ่นแปลก ๆ ด้วยนา พี่ขวัญ" ไอ้ขุนน้องชายทำจมูกฟุตฟิต ๆ ขณะก้มลงดูที่พื้น "ต้นข้าวแห้งกรอบเชียว" เขาหยิบต้นข้าวซึ่งแบนราบติดดินขึ้นมาลองดมดู
"ต้องเป็นฝีมือไอ้เข้มแน่!" ไอ้ขวัญขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด "มันกะข้าเพิ่งมีเรื่องกันสองสามวันก่อน มันคงแค้นใจที่ข้าได้แต่งงานกับอีเดือน เลยพาพวกมาทำลายนาข้าวของพวกเรา"
"ไม่มั้ง พี่ขวัญ" น้องชายส่ายหน้าไม่เห็นด้วย "หลัง ๆ มานี่ พี่เข้มเขาก็ดีขึ้นเยอะแล้วนา ยิ่งหลังจากสิกขาลาเพศมาแล้ว เขาก็ไม่เกกมะเหรกเกเรเหมือนอย่างเมื่อก่อน"
"ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าคนอย่างมัน จะกลับกลายมาเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ ไอ้ขุน" ไอ้ขวัญสะบัดหน้าพรืด "เอ็งอย่าเพิ่งไปหลงศรัทธามัน เราเพิ่งมีเรื่องกับมันมานะ อย่าลืม"
"โธ่พี่....ก็แค่ขัดแย้งกันเรื่องการบ้านการเมือง พี่ก็ไม่น่าเลือดร้อนลงไม้ลงมือกับเขาก่อนนี่นา ไปจ้วงหมัดชกเขาก่อน เขาก็ต้องตอบโต้สิ สุดท้ายก็เป็นเรื่องเป็นราว แล้วพี่ก็แพ้ต้องเสียค่าปรับ คนที่ควรจะเคียดแค้นคือพี่นา ไม่ใช่เขา!"
"เอ๊...ไอ้น้องชายข้าคนนี้ มันยังไงวะ ไป ๆ มา ๆ เข้าข้างศัตรูเฉยเลย" ไอ้ขวัญหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อได้ยินน้องชายพูดเข้าข้างฝ่ายตรงกันข้าม
"ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้าข้าง...ฉันพูดตามหลักความจริง" ไอ้ขุนร้องโอดครวญ "แล้วพี่ขวัญลองคิดดูดี ๆ สมมติว่าพวกพี่เข้มมาทำ พี่ว่าพวกเขาทำได้ง่าย ๆ เหรอ ? พี่ขวัญดูนาข้าวสิ มันไม่ใช่น้อย ๆ นะที่แบนราบลงไป มันกินอาณาบริเวณกว้างมากเลยนะพี่ ดูสิ! ดูให้รอบตัว ถ้าพวกพี่เข้มมาทำ พวกเขาจะเอาอะไรมาทำ รถแทร็กเตอร์เหรอ ? ถ้ารถแทร็กเตอร์ ก็ต้องใช้เป็นสิบ ๆ คันเลยนา พี่เข้มไม่รวยขนาดนั้นหรอก เขามีรถแทร็กเตอร์แค่สองคันเอง ถ้ามาทำอะไรแบบนี้ ฉันว่าต้องทำทั้งคืนน่ะ ! แล้วถ้าอุตตริทำอะไรแผลง ๆ แบบนี้ ทั้งคืน ภายในคืนเดียว มีหรือที่ชาวบ้านจะไม่รู้ไม่เห็น"
ไอ้ขวัญอึ้งกับคำพูดของน้องชายโดยมิอาจโต้แย้งได้ ใช่...จริงอย่างที่มันพูด
และถ้าหากทั้งสองพี่น้องสามารถเหาะได้ หรือนั่งเครื่องบินอย่างเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปสูง ๆ แล้วมองลงมายังทุ่งนาเบื้องล่าง ทั้งสองจะยิ่งประหลาดใจมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้อีกหลายสิบเท่า!
เพราะทั้งสองพี่น้อง จะมองเห็นรอยเป็นวงกลมใหญ่โตมโหฬาร กินพื้นที่นาไปหลายแปลง ทั้งต้นข้าวและคันนาถูกกดให้ยุบราบลงตามรูปทรงกลม และยังผสมผสานกับรอยรูปร่างแปลก ๆ อย่างน่าฉงน ราวกับว่าผืนนานั้นถูกประทับตราลงมาจากฟ้าเบื้องบน โดยใคร หรืออะไรบางอย่าง!
เทวดา หรือว่าผีห่าซาตานตนใดกัน มาประทับตราอะไรแปลก ๆ ประหลาด ๆ ขนาดมหึมา บนผืนนา แบบนี้ ???
"วัวควายมันไม่ยอมมากินหญ้าบริเวณนี้ด้วยพี่ขวัญ ดูสิ" ไอ้ขุนน้องชายชี้ให้พี่ชายดูฝูงวัวควายซึ่งพากันหลีกไปหากินห่างออกไป "ฉันว่ามันแปลกพิลึกนะเรื่องนี้"
"ยังไงข้าต้องลองไปสอบถามไอ้ทิดเข้มมันสักหน่อยละวะ"
"ตามใจพี่ละกันจ้ะ แต่พี่ขวัญพูดคุยกับเขาดี ๆ ล่ะ ไม่ใช่ว่าไปหาเรื่องอีกนา"
"เออน่ะ! ไปกันไอ้ขุน!"
สองพี่น้องไปหาทิดเข้ม หนุ่มในวัยไล่เลี่ยกันซึ่งเพิ่งลาสิกขาบทมาจากวัดใหม่ ๆ ได้ไม่นาน และเพิ่งมีเรื่องทะเลาะกันด้วย สาเหตุเพราะโต้เถียงกันเรื่องการเมือง และเป็นฝ่ายขวัญที่เลือดร้อนตบะแตกไปชกทิดเข้มก่อน เรื่องไปถึงโรงพัก สุดท้ายต้องเสียค่าปรับให้ทิดเข้มไปอย่างที่ไอ้ขุนว่า
พอไปถึงหน้าบ้าน ไอ้ขวัญก็ร้องตะโกนเรียกเสียงดังลั่น "ไอ้เข้ม ไอ้ทิดเข้มโว้ย อยู่ไหมวะ ?"
ครู่หนึ่งชายหนุ่มผมเกรียนเจ้าของบ้านก็ออกมายืนที่หัวบันไดแล้วถามด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ พลางมองหน้าผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ "เอ็งมีธุระอะไรกับข้า ไอ้ขวัญ ?"
"ไม่มีแล้วข้าจะมาทำหอกอะไรเล่า" ไอ้ขวัญสวนกลับเหมือนจะหาเรื่อง จนไอ้ขุนน้องชายต้องรีบกระตุกแขนปรามพี่ของตน
"พี่ขวัญ ใจเย็นสิ พูดกับพี่เข้มดี ๆ เรามาหาเขาถึงบ้านนะพี่"
"ไม่เป็นไรหรอกไอ้ขุน ข้าไม่ถือสาพี่เอ็ง" ทิดเข้มโบกไม้โบกมือ แล้วหันไปพูดกับคนที่เป็นพี่ต่อ "มีอะไรก็ว่ามา ไอ้ขวัญ"
ไอ้ขวัญเม้มปากคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม "เมื่อคืนนี้ เอ็งออกจากบ้านไปไหนหรือเปล่าวะ ?"
"เปล่านี่" เขาสั่นหน้าปฏิเสธ "ข้าไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แต่ในบ้าน กินเหล้ากินยากับเพื่อนเกลอข้าสองสามคนจนดึกดื่น เมาแล้วก็พากันนอน"
"ไม่ได้ออกไปไหนเลยเหรอวะ ?" ไอ้ขวัญถามย้ำ และขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ไม่ใช่สงสัยคู่อริที่อยู่ตรงหน้า แต่กำลังสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
"ไม่ได้ไปไหนเลยจริง ๆ เอ็งมีเรื่องอะไรวะ ดูหน้าตาตื่นกันทั้งพี่ทั้งน้อง ?" คราวนี้เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายถามบ้าง
สองพี่น้องมองหน้ากันและกัน แล้วคนพี่ก็ตอบ "มัน...มีเรื่องประหลาด เกิดขึ้นกลางทุ่งนา ข้านึกว่าเป็นฝีมือของเอ็ง ก็เลยมาถาม"
"เรื่องประหลาด กลางทุ่งนา ?" ทิดเข้มเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ "มันเป็นยังไงวะ ไอ้ที่เอ็งว่าประหลาดน่ะ ?"
"นาข้าวหลายแปลงมันยุบลงจนติดดิน แห้งกรอบหมดเลยไอ้เข้ม เหมือนโดนรถแทรกเตอร์ไถจนแบนราบไป"
"เฮ้ย! จริงเหรอ ? ใครมันจะมาทำอะไรแผลง ๆ อย่างนั้น" ทิดสึกใหม่ขมวดคิ้ว สีหน้าซึ่งแสดงความฉงนอย่างชัดแจ้งนั้นทำให้ไอ้ขวัญเชื่อสนิทใจว่า คู่อริของตนไม่ได้ทำเรื่องอุตริพิสดารนี้อย่างแน่นอน
"ข้าชักอยากเห็นเสียแล้วสิ ขอข้าไปดูนาข้าวของพวกเอ็งหน่อยได้ไหม ?"
"เอาสิ ไอ้ทิด ไปดูด้วยกัน" ไอ้ขวัญพยักหน้าตอบ บรรยากาศแห่งมิตรภาพเริ่มขึ้น
สองพี่น้องพาทิดใหม่ไปดูร่องรอยประหลาดกลางท้องทุ่ง และเมื่อได้เห็นกับตา ทิดใหม่ก็ได้แต่ส่ายหน้า
"ใครที่ไหนมาทำวะนี่ ? มันไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ นา เมื่อวานนี้ยังไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม ?"
"ใช่ ไอ้ทิด เมื่อวานเย็นนาข้าวยังดี ๆ อยู่เลย ผ่านมาคืนเดียว เช้าวันนี้ข้ากับไอ้ขุนต้อนวัวต้อนควายมาถึง ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว"
"เมื่อคืน พวกเอ็ง เข้านอนกันตอนกี่โมง ?"
"กี่โมงวะ ไอ้ขุน ?" ไอ้ขวัญหันมาถามน้องชาย
"สองทุ่มกว่า ๆ พวกเราก็นอนแล้วจ้ะ พี่เข้ม"
ทิดเข้มฉุกใจคิดถึงอะไรบางอย่างที่เขาได้เห็นเมื่อคืนนี้....
มันเป็นคืนเดือนมืด ตอนนั้น เขากับเพื่อนสามคนนั่งกินเหล้ากันอยู่ในบ้าน จนถึงประมาณเกือบเที่ยงคืน เขาและเพื่อน ๆ ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงแปลก ๆ ดังหึ่ง ๆ มาจากเหนือหลังคาบ้าน พร้อมกับแสงสว่างจ้าสาดลงมา มองเห็นได้จากหน้าต่างบ้านซึ่งเปิดอ้าอยู่ทุกบานเพื่อรับลม เนื่องจากอากาศร้อน พอเขาและเพื่อนทั้งสามออกมายืนดูที่นอกชาน ก็ได้เห็นดวงไฟสีส้มขนาดใหญ่เท่ากระด้งลอยอยู่กลางท้องฟ้าเหนือหลังคาบ้านสูงลิบลิ่ว และฉับพลันทันใดนั้น ดวงไฟนั้นก็พุ่งหายวับไปอย่างรวดเร็ว
เขาและเพื่อนทั้งสาม ตกใจกลัวกันมาก และลงความเห็นว่า ต้องเป็นผีอะไรสักอย่างเป็นแน่!
"ทำไมนิ่งเงียบไป ไอ้ทิด ?" ไอ้ขวัญเอ่ยถามหลังจากเห็นทิดเข้มนิ่งไปเฉย ๆ ไม่พูดไม่จา
"เอ้อ...เมื่อคืน ข้า กับเพื่อน ๆ ก็เจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งว่ะ!"
"เจออะไรเข้า ไหนเล่าให้ข้าฟังซิ"
ทิดเข้มจึงเล่าถึงสิ่งที่ได้เห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาให้สองพี่น้องฟัง หลังจากฟังแล้ว คนพี่ยิ่งมีสีหน้างุนงงหนักขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่คนน้องทำหน้าตาตื่นตระหนก และขนแขนลุกตั้งชูชัน
"ผีเหรอ..." ไอ้ขวัญเอ่ยขึ้น "ผีห่าอะไรวะ พวกเอ็งเมาแล้วตาฝาดไปหรือเปล่า ?"
"ไม่ ๆ ๆ ไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เห็นกันทั้งสี่คน แปดลูกกะตานะเว้ย แถมตอนมันสาดแสงไฟลงมา หมาเห่ากันเกรียวเลย" ทิดสึกใหม่ยืนยันอย่างหนักแน่น ทำหน้าตาขึงขัง
"แปลก! เมื่อคืน เอ็งกับเพื่อน ๆ เห็นผีประหลาด ตอนเช้า นาข้าวข้าพังยับเยิน เพราะใคร หรืออะไรก็ไม่รู้" ไอ้ขวัญกล่าวอย่างมึนงง "ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ผีที่เอ็งกับเพื่อน ๆ เห็น กับไอ้รอยพิลึกกึกกือบนนาข้าวเนี่ย"
"งั้นเรามาคอยดูกันไหมล่ะ ไอ้ขวัญ ไอ้ขุน ?" ทิดเข้มอออกปากชวน
"คอยดูกัน ยังไงวะ ?"
"คืนนี้ไง! ข้าว่า มันอาจจะมาอีก ไอ้ 'ผี' ที่เอ็งสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการมาย่ำยีนาของพวกเอ็ง เรามาซุ่มดูกัน!"
"ว้าย! ฉันขอตัวจ้า พี่ทิด ฉันกลัว แค่ฟังพี่เล่าเมื่อตะกี้ ก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวแล้ว" ไอ้ขุนรีบปฏิเสธ "มาแอบส่องดูผีในเวลากลางค่ำกลางคืนมืด ๆ ฉันไม่ไหวจ้ะ"
"ปอดแหกจริงเอ็งนี่!" ไอ้ขวัญเอ็ดตะโรใส่น้องชาย "อยู่ด้วยกันสามคน จะกลัวอะไรวะ ?"
"ใช่ ๆ พี่เอ็งพูดถูก ไอ้ขุน" ทิดเข้มรีบสนับสนุน "โบราณว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้นะเว้ย ถ้าเอ็งไม่อยู่ด้วย ปล่อยให้ข้ากับพี่เอ็งอยู่กันสองคน สองคนเพื่อนตายนะไอ้ขุน! หมายความว่าอาจตายได้ทั้งสองคน! และถ้าข้าตายไปเพราะไม่มีเอ็งอยู่ด้วยเนี่ยนะ ข้ารับรองเลย!"
"รับรองอะไรจ๊ะพี่ทิด ?" ไอ้ขุนถามด้วยความสงสัย ข้องใจ และหวั่นใจ
"ข้า จะมาหาเอ็ง !!!" ทิดเข้มกล่าวและทำตาดุ ตีสีหน้าบึ้งตึง
"โอ๊ย...ตายแล้ว ไม่เอาพี่ทิด" ไอ้ขุนร้องเสียงหลง ส่วนพี่ชายหัวเราะหึหึ
"ไม่เอายังงั้นใช่ไหม ถ้าไม่เอา เอ็งก็ต้องอยู่ด้วยกันกับข้า และพี่ของเอ็งด้วย มาเฝ้าซุ่มรอดูผีห่านั่นด้วยกัน คืนนี้ !!"
"อ๋อยย...ก็ได้จ้ะพี่ โอย...ไอ้ขุน เจอผีทั้งขึ้นทั้งล่องงานนี้..."
"หัดเข้มแข็งอย่างพี่เอ็งมั่งสิวะ ปอดแหกแบบนี้จะหาเมียได้เหรอเอ็ง!" พูดแล้วทิดเข้มก็ตบหัวไอ้ขุนเบา ๆ แล้วกล่าวสรุป "ตกลง คืนนี้ เรามาดักซุ่มดูด้วยกัน"
"เอ็งจะมาซักกี่โมง ไอ้ทิด ?"
"เอาซักสองทุ่มก็แล้วกัน ข้าจะเอาเหล้าติดมือมาด้วย ถือโอกาสกินเหล้ากระชับมิตรกันก็แล้วกันนะ ไอ้ขวัญ"
"ความคิดเอ็งเข้าท่าว่ะ! ตกลง งั้นข้ากับไอ้ขุนจะมารอเอ็งก่อน ที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ แอ่งน้ำตรงปลายนาโน้นนะ" ไอ้ขวัญชี้จุดนัดพบให้ครู่อริซึ่งกำลังจะกลายเป็นเพื่อน
ทิดเข้มมองไปยังที่ ๆ ไอ้ขวัญชี้ให้ดูแล้วพยักหน้า "ตกลง งั้นคืนนี้สองทุ่มเจอกัน ข้าไปทำงานที่บ้านก่อนละนะ"
คนทั้งสามโบกไม้โบกมืออำลากัน จากนั้นทิดเข้มก็เดินกลับบ้าน ส่วนไอ้ขวัญกับน้องชายก็พากันกลับเข้าบ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับทุ่งนานั้นเอง รอเวลาที่นัดกันไว้ด้วยความรู้สึกที่ต่างกันไป
ไอ้ขวัญผู้เป็นพี่ อยากให้ถึงเวลาสองทุ่มเร็ว ๆ เพราะอยากจะเห็นและหวังว่าจะได้เห็นอะไรอย่างที่ทิดเข้มได้เห็น และอยากจะรู้ด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับการกระทำที่พิลึกพิลั่นบนนาข้าวของเขาหรือไม่อย่างไร
ไอ้ขุน ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตามธรรมชาติคนปอดแหกอย่างมัน กะว่าคืนนี้มันจะกินเหล้าให้หนักเพื่อข่มความหวาดกลัว
(มีต่ออีกนิดครับ)
🌴🌾🌴THE WEEKLY GLOVES ไตรมาสสุดท้าย วีคที่ 36 เรื่องสั้น#79 "รอยปริศนา" โดย "ถุงมือพิศวง"🌴🌾🌴
เรื่องสั้นเรื่องที่สอง แปลกแหวกแนวครับ...
สองพี่น้องชาวนา ต้อนวัวต้อนควายจากบ้านมายังทุ่งนา ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติๆ อากาศบริสุทธิ์ และพบกับสิ่งที่ไม่ปกติ ซึ่งชั่วชีวิตไม่เคยเห็น
สิ่งนั้นคืออะไร ตามไปดูกับพวกเขาครับ อ่านจบ แจกเกรด และชี้ตัวคนเขียนกันเลย...
ในชนบท กลางท้องทุ่งนาแห่งหนึ่ง....
"เฮ้ย! ใครมาทำห่าอะไรไว้ตรงนี้วะ "
ชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้น ๆ ร้องโวยวาย หลังจากที่เขากับน้องชายช่วยกันต้อนวัวควายออกมาจากบ้านมาหากินกลางทุ่งในตอนเช้า แล้วมาพบเจอกับสิ่งประหลาดซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
"มันรอยอะไรเนี่ย พี่ขวัญ ?" คนน้องมองกลางทุ่งนานั้นอย่างมึนงงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า "เวรจริง ๆ รวงข้าวงาม ๆ ยับเยินหมด"
"ต้องมีคนแกล้งเราแน่ ไอ้ขุน" คนพี่ทำหน้าบึ้งตึง ท่าทางฮึดฮัด "เมื่อวานเย็น ก่อนจะต้อนวัวต้อนควายกลับบ้าน ข้าวในนายังดี ๆ อยู่เลย ไหงเช้านี้กลายเป็นยังงี้ไปได้"
"ใครที่ไหนจะมาแกล้งเราแบบนี้ล่ะพี่ ?"
"จะไปรู้เรอะ ? แต่มันต้องมีใครสักคนทำแน่นอน อยู่ ๆ นาข้าวจะราบลงแบนแต๊ดแต๋ติดดินยังงี้ได้ไงวะ"ไอ้ขวัญพี่ชายกล่าวอย่างฉุนเฉียวระคนกับความแปลกประหลาดใจ
"มันมีกลิ่นแปลก ๆ ด้วยนา พี่ขวัญ" ไอ้ขุนน้องชายทำจมูกฟุตฟิต ๆ ขณะก้มลงดูที่พื้น "ต้นข้าวแห้งกรอบเชียว" เขาหยิบต้นข้าวซึ่งแบนราบติดดินขึ้นมาลองดมดู
"ต้องเป็นฝีมือไอ้เข้มแน่!" ไอ้ขวัญขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด "มันกะข้าเพิ่งมีเรื่องกันสองสามวันก่อน มันคงแค้นใจที่ข้าได้แต่งงานกับอีเดือน เลยพาพวกมาทำลายนาข้าวของพวกเรา"
"ไม่มั้ง พี่ขวัญ" น้องชายส่ายหน้าไม่เห็นด้วย "หลัง ๆ มานี่ พี่เข้มเขาก็ดีขึ้นเยอะแล้วนา ยิ่งหลังจากสิกขาลาเพศมาแล้ว เขาก็ไม่เกกมะเหรกเกเรเหมือนอย่างเมื่อก่อน"
"ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าคนอย่างมัน จะกลับกลายมาเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ ไอ้ขุน" ไอ้ขวัญสะบัดหน้าพรืด "เอ็งอย่าเพิ่งไปหลงศรัทธามัน เราเพิ่งมีเรื่องกับมันมานะ อย่าลืม"
"โธ่พี่....ก็แค่ขัดแย้งกันเรื่องการบ้านการเมือง พี่ก็ไม่น่าเลือดร้อนลงไม้ลงมือกับเขาก่อนนี่นา ไปจ้วงหมัดชกเขาก่อน เขาก็ต้องตอบโต้สิ สุดท้ายก็เป็นเรื่องเป็นราว แล้วพี่ก็แพ้ต้องเสียค่าปรับ คนที่ควรจะเคียดแค้นคือพี่นา ไม่ใช่เขา!"
"เอ๊...ไอ้น้องชายข้าคนนี้ มันยังไงวะ ไป ๆ มา ๆ เข้าข้างศัตรูเฉยเลย" ไอ้ขวัญหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อได้ยินน้องชายพูดเข้าข้างฝ่ายตรงกันข้าม
"ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้าข้าง...ฉันพูดตามหลักความจริง" ไอ้ขุนร้องโอดครวญ "แล้วพี่ขวัญลองคิดดูดี ๆ สมมติว่าพวกพี่เข้มมาทำ พี่ว่าพวกเขาทำได้ง่าย ๆ เหรอ ? พี่ขวัญดูนาข้าวสิ มันไม่ใช่น้อย ๆ นะที่แบนราบลงไป มันกินอาณาบริเวณกว้างมากเลยนะพี่ ดูสิ! ดูให้รอบตัว ถ้าพวกพี่เข้มมาทำ พวกเขาจะเอาอะไรมาทำ รถแทร็กเตอร์เหรอ ? ถ้ารถแทร็กเตอร์ ก็ต้องใช้เป็นสิบ ๆ คันเลยนา พี่เข้มไม่รวยขนาดนั้นหรอก เขามีรถแทร็กเตอร์แค่สองคันเอง ถ้ามาทำอะไรแบบนี้ ฉันว่าต้องทำทั้งคืนน่ะ ! แล้วถ้าอุตตริทำอะไรแผลง ๆ แบบนี้ ทั้งคืน ภายในคืนเดียว มีหรือที่ชาวบ้านจะไม่รู้ไม่เห็น"
ไอ้ขวัญอึ้งกับคำพูดของน้องชายโดยมิอาจโต้แย้งได้ ใช่...จริงอย่างที่มันพูด
และถ้าหากทั้งสองพี่น้องสามารถเหาะได้ หรือนั่งเครื่องบินอย่างเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปสูง ๆ แล้วมองลงมายังทุ่งนาเบื้องล่าง ทั้งสองจะยิ่งประหลาดใจมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้อีกหลายสิบเท่า!
เพราะทั้งสองพี่น้อง จะมองเห็นรอยเป็นวงกลมใหญ่โตมโหฬาร กินพื้นที่นาไปหลายแปลง ทั้งต้นข้าวและคันนาถูกกดให้ยุบราบลงตามรูปทรงกลม และยังผสมผสานกับรอยรูปร่างแปลก ๆ อย่างน่าฉงน ราวกับว่าผืนนานั้นถูกประทับตราลงมาจากฟ้าเบื้องบน โดยใคร หรืออะไรบางอย่าง!
เทวดา หรือว่าผีห่าซาตานตนใดกัน มาประทับตราอะไรแปลก ๆ ประหลาด ๆ ขนาดมหึมา บนผืนนา แบบนี้ ???
"วัวควายมันไม่ยอมมากินหญ้าบริเวณนี้ด้วยพี่ขวัญ ดูสิ" ไอ้ขุนน้องชายชี้ให้พี่ชายดูฝูงวัวควายซึ่งพากันหลีกไปหากินห่างออกไป "ฉันว่ามันแปลกพิลึกนะเรื่องนี้"
"ยังไงข้าต้องลองไปสอบถามไอ้ทิดเข้มมันสักหน่อยละวะ"
"ตามใจพี่ละกันจ้ะ แต่พี่ขวัญพูดคุยกับเขาดี ๆ ล่ะ ไม่ใช่ว่าไปหาเรื่องอีกนา"
"เออน่ะ! ไปกันไอ้ขุน!"
สองพี่น้องไปหาทิดเข้ม หนุ่มในวัยไล่เลี่ยกันซึ่งเพิ่งลาสิกขาบทมาจากวัดใหม่ ๆ ได้ไม่นาน และเพิ่งมีเรื่องทะเลาะกันด้วย สาเหตุเพราะโต้เถียงกันเรื่องการเมือง และเป็นฝ่ายขวัญที่เลือดร้อนตบะแตกไปชกทิดเข้มก่อน เรื่องไปถึงโรงพัก สุดท้ายต้องเสียค่าปรับให้ทิดเข้มไปอย่างที่ไอ้ขุนว่า
พอไปถึงหน้าบ้าน ไอ้ขวัญก็ร้องตะโกนเรียกเสียงดังลั่น "ไอ้เข้ม ไอ้ทิดเข้มโว้ย อยู่ไหมวะ ?"
ครู่หนึ่งชายหนุ่มผมเกรียนเจ้าของบ้านก็ออกมายืนที่หัวบันไดแล้วถามด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ พลางมองหน้าผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ "เอ็งมีธุระอะไรกับข้า ไอ้ขวัญ ?"
"ไม่มีแล้วข้าจะมาทำหอกอะไรเล่า" ไอ้ขวัญสวนกลับเหมือนจะหาเรื่อง จนไอ้ขุนน้องชายต้องรีบกระตุกแขนปรามพี่ของตน
"พี่ขวัญ ใจเย็นสิ พูดกับพี่เข้มดี ๆ เรามาหาเขาถึงบ้านนะพี่"
"ไม่เป็นไรหรอกไอ้ขุน ข้าไม่ถือสาพี่เอ็ง" ทิดเข้มโบกไม้โบกมือ แล้วหันไปพูดกับคนที่เป็นพี่ต่อ "มีอะไรก็ว่ามา ไอ้ขวัญ"
ไอ้ขวัญเม้มปากคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม "เมื่อคืนนี้ เอ็งออกจากบ้านไปไหนหรือเปล่าวะ ?"
"เปล่านี่" เขาสั่นหน้าปฏิเสธ "ข้าไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แต่ในบ้าน กินเหล้ากินยากับเพื่อนเกลอข้าสองสามคนจนดึกดื่น เมาแล้วก็พากันนอน"
"ไม่ได้ออกไปไหนเลยเหรอวะ ?" ไอ้ขวัญถามย้ำ และขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ไม่ใช่สงสัยคู่อริที่อยู่ตรงหน้า แต่กำลังสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
"ไม่ได้ไปไหนเลยจริง ๆ เอ็งมีเรื่องอะไรวะ ดูหน้าตาตื่นกันทั้งพี่ทั้งน้อง ?" คราวนี้เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายถามบ้าง
สองพี่น้องมองหน้ากันและกัน แล้วคนพี่ก็ตอบ "มัน...มีเรื่องประหลาด เกิดขึ้นกลางทุ่งนา ข้านึกว่าเป็นฝีมือของเอ็ง ก็เลยมาถาม"
"เรื่องประหลาด กลางทุ่งนา ?" ทิดเข้มเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ "มันเป็นยังไงวะ ไอ้ที่เอ็งว่าประหลาดน่ะ ?"
"นาข้าวหลายแปลงมันยุบลงจนติดดิน แห้งกรอบหมดเลยไอ้เข้ม เหมือนโดนรถแทรกเตอร์ไถจนแบนราบไป"
"เฮ้ย! จริงเหรอ ? ใครมันจะมาทำอะไรแผลง ๆ อย่างนั้น" ทิดสึกใหม่ขมวดคิ้ว สีหน้าซึ่งแสดงความฉงนอย่างชัดแจ้งนั้นทำให้ไอ้ขวัญเชื่อสนิทใจว่า คู่อริของตนไม่ได้ทำเรื่องอุตริพิสดารนี้อย่างแน่นอน
"ข้าชักอยากเห็นเสียแล้วสิ ขอข้าไปดูนาข้าวของพวกเอ็งหน่อยได้ไหม ?"
"เอาสิ ไอ้ทิด ไปดูด้วยกัน" ไอ้ขวัญพยักหน้าตอบ บรรยากาศแห่งมิตรภาพเริ่มขึ้น
สองพี่น้องพาทิดใหม่ไปดูร่องรอยประหลาดกลางท้องทุ่ง และเมื่อได้เห็นกับตา ทิดใหม่ก็ได้แต่ส่ายหน้า
"ใครที่ไหนมาทำวะนี่ ? มันไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ นา เมื่อวานนี้ยังไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม ?"
"ใช่ ไอ้ทิด เมื่อวานเย็นนาข้าวยังดี ๆ อยู่เลย ผ่านมาคืนเดียว เช้าวันนี้ข้ากับไอ้ขุนต้อนวัวต้อนควายมาถึง ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว"
"เมื่อคืน พวกเอ็ง เข้านอนกันตอนกี่โมง ?"
"กี่โมงวะ ไอ้ขุน ?" ไอ้ขวัญหันมาถามน้องชาย
"สองทุ่มกว่า ๆ พวกเราก็นอนแล้วจ้ะ พี่เข้ม"
ทิดเข้มฉุกใจคิดถึงอะไรบางอย่างที่เขาได้เห็นเมื่อคืนนี้....
มันเป็นคืนเดือนมืด ตอนนั้น เขากับเพื่อนสามคนนั่งกินเหล้ากันอยู่ในบ้าน จนถึงประมาณเกือบเที่ยงคืน เขาและเพื่อน ๆ ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงแปลก ๆ ดังหึ่ง ๆ มาจากเหนือหลังคาบ้าน พร้อมกับแสงสว่างจ้าสาดลงมา มองเห็นได้จากหน้าต่างบ้านซึ่งเปิดอ้าอยู่ทุกบานเพื่อรับลม เนื่องจากอากาศร้อน พอเขาและเพื่อนทั้งสามออกมายืนดูที่นอกชาน ก็ได้เห็นดวงไฟสีส้มขนาดใหญ่เท่ากระด้งลอยอยู่กลางท้องฟ้าเหนือหลังคาบ้านสูงลิบลิ่ว และฉับพลันทันใดนั้น ดวงไฟนั้นก็พุ่งหายวับไปอย่างรวดเร็ว
เขาและเพื่อนทั้งสาม ตกใจกลัวกันมาก และลงความเห็นว่า ต้องเป็นผีอะไรสักอย่างเป็นแน่!
"ทำไมนิ่งเงียบไป ไอ้ทิด ?" ไอ้ขวัญเอ่ยถามหลังจากเห็นทิดเข้มนิ่งไปเฉย ๆ ไม่พูดไม่จา
"เอ้อ...เมื่อคืน ข้า กับเพื่อน ๆ ก็เจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งว่ะ!"
"เจออะไรเข้า ไหนเล่าให้ข้าฟังซิ"
ทิดเข้มจึงเล่าถึงสิ่งที่ได้เห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาให้สองพี่น้องฟัง หลังจากฟังแล้ว คนพี่ยิ่งมีสีหน้างุนงงหนักขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่คนน้องทำหน้าตาตื่นตระหนก และขนแขนลุกตั้งชูชัน
"ผีเหรอ..." ไอ้ขวัญเอ่ยขึ้น "ผีห่าอะไรวะ พวกเอ็งเมาแล้วตาฝาดไปหรือเปล่า ?"
"ไม่ ๆ ๆ ไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เห็นกันทั้งสี่คน แปดลูกกะตานะเว้ย แถมตอนมันสาดแสงไฟลงมา หมาเห่ากันเกรียวเลย" ทิดสึกใหม่ยืนยันอย่างหนักแน่น ทำหน้าตาขึงขัง
"แปลก! เมื่อคืน เอ็งกับเพื่อน ๆ เห็นผีประหลาด ตอนเช้า นาข้าวข้าพังยับเยิน เพราะใคร หรืออะไรก็ไม่รู้" ไอ้ขวัญกล่าวอย่างมึนงง "ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ผีที่เอ็งกับเพื่อน ๆ เห็น กับไอ้รอยพิลึกกึกกือบนนาข้าวเนี่ย"
"งั้นเรามาคอยดูกันไหมล่ะ ไอ้ขวัญ ไอ้ขุน ?" ทิดเข้มอออกปากชวน
"คอยดูกัน ยังไงวะ ?"
"คืนนี้ไง! ข้าว่า มันอาจจะมาอีก ไอ้ 'ผี' ที่เอ็งสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการมาย่ำยีนาของพวกเอ็ง เรามาซุ่มดูกัน!"
"ว้าย! ฉันขอตัวจ้า พี่ทิด ฉันกลัว แค่ฟังพี่เล่าเมื่อตะกี้ ก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวแล้ว" ไอ้ขุนรีบปฏิเสธ "มาแอบส่องดูผีในเวลากลางค่ำกลางคืนมืด ๆ ฉันไม่ไหวจ้ะ"
"ปอดแหกจริงเอ็งนี่!" ไอ้ขวัญเอ็ดตะโรใส่น้องชาย "อยู่ด้วยกันสามคน จะกลัวอะไรวะ ?"
"ใช่ ๆ พี่เอ็งพูดถูก ไอ้ขุน" ทิดเข้มรีบสนับสนุน "โบราณว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้นะเว้ย ถ้าเอ็งไม่อยู่ด้วย ปล่อยให้ข้ากับพี่เอ็งอยู่กันสองคน สองคนเพื่อนตายนะไอ้ขุน! หมายความว่าอาจตายได้ทั้งสองคน! และถ้าข้าตายไปเพราะไม่มีเอ็งอยู่ด้วยเนี่ยนะ ข้ารับรองเลย!"
"รับรองอะไรจ๊ะพี่ทิด ?" ไอ้ขุนถามด้วยความสงสัย ข้องใจ และหวั่นใจ
"ข้า จะมาหาเอ็ง !!!" ทิดเข้มกล่าวและทำตาดุ ตีสีหน้าบึ้งตึง
"โอ๊ย...ตายแล้ว ไม่เอาพี่ทิด" ไอ้ขุนร้องเสียงหลง ส่วนพี่ชายหัวเราะหึหึ
"ไม่เอายังงั้นใช่ไหม ถ้าไม่เอา เอ็งก็ต้องอยู่ด้วยกันกับข้า และพี่ของเอ็งด้วย มาเฝ้าซุ่มรอดูผีห่านั่นด้วยกัน คืนนี้ !!"
"อ๋อยย...ก็ได้จ้ะพี่ โอย...ไอ้ขุน เจอผีทั้งขึ้นทั้งล่องงานนี้..."
"หัดเข้มแข็งอย่างพี่เอ็งมั่งสิวะ ปอดแหกแบบนี้จะหาเมียได้เหรอเอ็ง!" พูดแล้วทิดเข้มก็ตบหัวไอ้ขุนเบา ๆ แล้วกล่าวสรุป "ตกลง คืนนี้ เรามาดักซุ่มดูด้วยกัน"
"เอ็งจะมาซักกี่โมง ไอ้ทิด ?"
"เอาซักสองทุ่มก็แล้วกัน ข้าจะเอาเหล้าติดมือมาด้วย ถือโอกาสกินเหล้ากระชับมิตรกันก็แล้วกันนะ ไอ้ขวัญ"
"ความคิดเอ็งเข้าท่าว่ะ! ตกลง งั้นข้ากับไอ้ขุนจะมารอเอ็งก่อน ที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ แอ่งน้ำตรงปลายนาโน้นนะ" ไอ้ขวัญชี้จุดนัดพบให้ครู่อริซึ่งกำลังจะกลายเป็นเพื่อน
ทิดเข้มมองไปยังที่ ๆ ไอ้ขวัญชี้ให้ดูแล้วพยักหน้า "ตกลง งั้นคืนนี้สองทุ่มเจอกัน ข้าไปทำงานที่บ้านก่อนละนะ"
คนทั้งสามโบกไม้โบกมืออำลากัน จากนั้นทิดเข้มก็เดินกลับบ้าน ส่วนไอ้ขวัญกับน้องชายก็พากันกลับเข้าบ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับทุ่งนานั้นเอง รอเวลาที่นัดกันไว้ด้วยความรู้สึกที่ต่างกันไป
ไอ้ขวัญผู้เป็นพี่ อยากให้ถึงเวลาสองทุ่มเร็ว ๆ เพราะอยากจะเห็นและหวังว่าจะได้เห็นอะไรอย่างที่ทิดเข้มได้เห็น และอยากจะรู้ด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับการกระทำที่พิลึกพิลั่นบนนาข้าวของเขาหรือไม่อย่างไร
ไอ้ขุน ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตามธรรมชาติคนปอดแหกอย่างมัน กะว่าคืนนี้มันจะกินเหล้าให้หนักเพื่อข่มความหวาดกลัว
(มีต่ออีกนิดครับ)