สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
มา .. เรื่องนี้ได้คุยกันยาวแน่ครับ ...
วิธีที่จะช่วย จขกท. ที่ได้ผลและควรทำที่สุด ผมว่ามีวิธีเดียว คือ "ไปพบจิตแพทย์" ครับ แต่ก็เข้าใจว่าจะไปต่อคิว รพ. รัฐก็คงจะคิวยาว จะไปใช้ รพ.เอกชน ก็ราคาแพงเอาเรื่อง แต่ครั้นจะไม่ไปหาหมอเลย ผมว่ามีแต่จะแย่ลงและไม่เป็นผลดีต่อตัว จขกท. แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะอธิบายให้ จขกท ฟังและให้คิดตามก่อน คือ "ทำไมต้องไปหาจิตแพทย์ และ แนวทางการรักษาคร่าวๆเป็นอย่างไรบ้าง" (ผมตอบจากประสบการณ์ที่ได้รับการรักษามาสิบกว่านะครับ ผิดถูกยังไง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย)
ก่อนอื่นเลย แนวทางการรักษานั้น ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ถ้าจะให้แบ่งตามที่ผมเข้าใจ ผมขอแบ่งตาม "ผู้ทำการรักษา" ละกันนะครับ ซึ่งแบ่งหลักๆได้ 2 แนวทางหลัก คือ
1.จิตแพทย์ จะใช้การรักษาด้วยการวินิจัยฉัยอาการ แล้วรักษาด้วยยาเป็นหลัก คือการพยายามปรับเคมีในสมองให้ได้สมดุลย์มากที่สุด หลักการคือถ้าเปรียบอารามณ์ของเราเหมือนคลื่นวิทยุ มีขึ้นมีลงเป็นกราฟลูกคลื่น การที่อารมณ์เราผิดปกติไป คือขึ้นหรือลงเกินขอบกราฟไป หมอก็จะใช้ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นหรือกดอารมณ์เพื่อดึงให้อารมณ์กลับเข้ามาอยู่ในกรอบที่ถูกที่ควรให้ได้มากที่สุด (ตบขึ้น/ตบลง ให้เฉลี่ยแล้วอารมณ์สวิงน้อยที่สุด) นี่คือหลักการรักษาอาการในแบบของหมอนะครับ
2.นักจิตวิทยา มักจะใช้การรักษาด้วยการพูดคุยกับคนไข้ เพื่อพยายามเรียนรู้และเข้าใจสภาวะจิตใจของคนไข้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงทำการวิเคราะห์หาสาเหตุต้นตอของปัญหา แล้วค่อยเสนอทางแก้ไข ที่มักจะเป็นการปรับแก้เชิงพฤติกรรมบำบัด (คนไข้ต้องหัดและฝืนทำด้วยตนเอง โดยมีนักจิตวิทยาเป็นผู้แนะนำวิธีการที่ถูกต้อง)
ถ้าจะถามว่าทั้ง 2 ข้อ ข้อไหนรักษาได้ผลดีกว่า ? คำตอบคือ "มันต้องทำทั้งคู่ครับ จึงจะส่งเสริมกัน" อย่างการรักษาด้วยหมอเนี่ย ถ้าคุณกินยาอย่างเดียว แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรเลย ยังคงจมอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ ความทุกข์แบบเดิมๆ ผมว่าอย่างมากยาก็ทำให้แค่อาการไม่ทรุดมากไปกว่าเดิมครับ แต่ไม่สามารถหายได้แน่นอน ส่วนการรักษากับนักจิตวิทยาเนี่ย แน่นอนว่าเนื่องจากไม่ได้ใช้ยา มันจึงไม่ใช่การรักษาทางร่างกายโดยตรง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวคุณโดยตรง แต่มันมีข้อดีที่มักจะกระตุกให้คุณฉุกคิดและมองเห็นต้นตอของปัญหาที่รบกวนจิตใจคุณได้ครับ โดยเฉพาะปัญหาในกลุ่มความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ปัญหาความรัก ปัญหาครอบครัว ฯลฯ
ที่ผมเล่าตรงนี้ให้ฟังก่อน เพราะผมคิดว่า ถ้า จขกท. ยังไม่สามารถที่จะไปต่อคิวรอพบจิตแพทย์ได้เลยในทันที งั้นบางทีคุณอาจปรับเปลี่ยนลู่ทางการรักษาของคุณใหม่ ให้เหมาะกับตัวเอง แบบแก้ไขเหตุเฉพาะหน้าไปก่อนก็ยังดีครับ ดีกว่าจมอยู่กับปัญหาแล้วไม่แก้ไขอะไรเลยซ้ำไปทุกๆวัน มันจะเฉาเอาเสียเปล่าๆ ถ้าโอกาสพบหมอยังไม่มี คุณอาจลองไปหานักจิตวิทยาก่อนมั๊ย (แต่ผมแจ้งให้ทราบก่อนแล้วนะ ว่ามันจะไม่ได้ทำให้คุณอาการดีขึ้นในแบบที่หมอทำ ดังนั้นสิ่งที่คุณควรคิดให้ได้ก่อน คือคุณจะวางแผนรักษาตัวเองอย่างไรดี ในสถานการณ์ที่มันไม่พร้อมเช่นนี้) หรือถ้าไม่สะดวกเดินทาง อาจจะลองพวกสายด่วนปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตดูก่อนมั๊ย (ซึ่งแน่นอนว่า จุดประสงค์ในการโทร ไม่ใช่เพื่อให้เขาบอกคุณว่าต้องแก้ปัญหายังไง แต่จะออกแนวเหมือนว่าให้เขาช่วยเรียบเรียงปัญหาของคุณที่มีอยู่ในตอนนี้มากกว่า) ผมพูดตรงนี้ "เพราะว่าคนส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเครื่องมือในการรักษาปัญหาสุขภาพจิตชนิดต่างๆ พอไปใช้บริการแล้วไม่ได้ดั่งใจ ก็โพสด่าว่าเจ้าหน้าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง" ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ แต่มันเป็นเพราะเขาใช้มันไม่ถูกวิธีมากกว่าครับ
แล้วถามว่า ที่พูดมาทั้งหมดจะช่วย จขกท. ได้อย่างไร คำตอบก็คือ ผมคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ที่ จขกท. เริ่มมีความคิดถึงการตายเข้ามาในหัวแล้ว การได้รับยารักษาในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ในเมื่อมันยังไปถึงทางออกนั้นไม่ได้ในทันที และเท่าที่ผมก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเองมาก่อน ผมรู้สึกได้ว่า คนที่คิดจะเลือกความตายเป็นตัวเลือก จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากเลือกมันหรอก แต่เขาแค่กำลัง 1.ตกอยู่ในอาการวิตกกังวลจนมองตัวเลือกอื่นไม่เห็น/ไม่ทั่ว และ 2.มองไปที่ทางเลือกอื่นแล้วมันติดเงื่อนไขไปหมด ทั้งที่จริงๆแล้วเงื่อนไขหลายๆอันที่ติด ก็ถอดออกได้ไม่ยาก ขอเพียงแค่มีเวลาคิดไตร่ตรองให้มากกว่านี้อีกหน่อย (ซึ่งตอนนั้นเรามักจะรู้สึกไม่เหลือเวลาอีกแล้ว)
ฉะนั้น หาก จขกท ยังพอจะมีสติและยังอยากจะหายอยู่บ้าง สิ่งที่ผมจะสามารถแนะนำคุณได้ก็คือ 1.ไปต่อคิวจิตแพทย์ รพ. ที่คุณสะดวกเดินทางได้บ่อยๆ (เพราะโรคนี้รักษากันยาวครับ) 2.ระหว่างนี้คุณก็คงต้องรักษาด้วยตัวเองไปก่อน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เช่น จะใช้นักจิตวิทยาช่วยวิเคราะห์ปัญหาแล้วคุณมาปรับพฤติกรรมเอาเอง หรือหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือบางคนอาจจะไปศึกษาธรรมะ ฯลฯ แล้วแต่ที่คุณสะดวกเลยครับ 3.ส่วนเรื่องความคิดเรื่องจะจบชีวิตตัวเอง อันนี้ผมว่าคุณก็คงเข้าใจครับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่จะให้ใครมาบอกยังไงถ้าใจเรามันยังดาวน์มันก็คงยังมีสิ่งนี้อยู่เรื่อยๆ (อันนี้ผมพอจะเข้าใจ) ฉะนั้น คุณต้องเรียนรู้เองที่จะหักล้างความคิดนี้ด้วยตัวคุณเอง เพราะถ้าหักล้างสำเร็จได้ครั้งนึงแล้ว คุณจะมีภูมิคุ้มกันได้เองครับ แล้วคราวหน้าจะเป็นยากขึ้นครับ
วิธีที่จะช่วย จขกท. ที่ได้ผลและควรทำที่สุด ผมว่ามีวิธีเดียว คือ "ไปพบจิตแพทย์" ครับ แต่ก็เข้าใจว่าจะไปต่อคิว รพ. รัฐก็คงจะคิวยาว จะไปใช้ รพ.เอกชน ก็ราคาแพงเอาเรื่อง แต่ครั้นจะไม่ไปหาหมอเลย ผมว่ามีแต่จะแย่ลงและไม่เป็นผลดีต่อตัว จขกท. แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะอธิบายให้ จขกท ฟังและให้คิดตามก่อน คือ "ทำไมต้องไปหาจิตแพทย์ และ แนวทางการรักษาคร่าวๆเป็นอย่างไรบ้าง" (ผมตอบจากประสบการณ์ที่ได้รับการรักษามาสิบกว่านะครับ ผิดถูกยังไง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย)
ก่อนอื่นเลย แนวทางการรักษานั้น ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ถ้าจะให้แบ่งตามที่ผมเข้าใจ ผมขอแบ่งตาม "ผู้ทำการรักษา" ละกันนะครับ ซึ่งแบ่งหลักๆได้ 2 แนวทางหลัก คือ
1.จิตแพทย์ จะใช้การรักษาด้วยการวินิจัยฉัยอาการ แล้วรักษาด้วยยาเป็นหลัก คือการพยายามปรับเคมีในสมองให้ได้สมดุลย์มากที่สุด หลักการคือถ้าเปรียบอารามณ์ของเราเหมือนคลื่นวิทยุ มีขึ้นมีลงเป็นกราฟลูกคลื่น การที่อารมณ์เราผิดปกติไป คือขึ้นหรือลงเกินขอบกราฟไป หมอก็จะใช้ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นหรือกดอารมณ์เพื่อดึงให้อารมณ์กลับเข้ามาอยู่ในกรอบที่ถูกที่ควรให้ได้มากที่สุด (ตบขึ้น/ตบลง ให้เฉลี่ยแล้วอารมณ์สวิงน้อยที่สุด) นี่คือหลักการรักษาอาการในแบบของหมอนะครับ
2.นักจิตวิทยา มักจะใช้การรักษาด้วยการพูดคุยกับคนไข้ เพื่อพยายามเรียนรู้และเข้าใจสภาวะจิตใจของคนไข้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงทำการวิเคราะห์หาสาเหตุต้นตอของปัญหา แล้วค่อยเสนอทางแก้ไข ที่มักจะเป็นการปรับแก้เชิงพฤติกรรมบำบัด (คนไข้ต้องหัดและฝืนทำด้วยตนเอง โดยมีนักจิตวิทยาเป็นผู้แนะนำวิธีการที่ถูกต้อง)
ถ้าจะถามว่าทั้ง 2 ข้อ ข้อไหนรักษาได้ผลดีกว่า ? คำตอบคือ "มันต้องทำทั้งคู่ครับ จึงจะส่งเสริมกัน" อย่างการรักษาด้วยหมอเนี่ย ถ้าคุณกินยาอย่างเดียว แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรเลย ยังคงจมอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ ความทุกข์แบบเดิมๆ ผมว่าอย่างมากยาก็ทำให้แค่อาการไม่ทรุดมากไปกว่าเดิมครับ แต่ไม่สามารถหายได้แน่นอน ส่วนการรักษากับนักจิตวิทยาเนี่ย แน่นอนว่าเนื่องจากไม่ได้ใช้ยา มันจึงไม่ใช่การรักษาทางร่างกายโดยตรง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวคุณโดยตรง แต่มันมีข้อดีที่มักจะกระตุกให้คุณฉุกคิดและมองเห็นต้นตอของปัญหาที่รบกวนจิตใจคุณได้ครับ โดยเฉพาะปัญหาในกลุ่มความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ปัญหาความรัก ปัญหาครอบครัว ฯลฯ
ที่ผมเล่าตรงนี้ให้ฟังก่อน เพราะผมคิดว่า ถ้า จขกท. ยังไม่สามารถที่จะไปต่อคิวรอพบจิตแพทย์ได้เลยในทันที งั้นบางทีคุณอาจปรับเปลี่ยนลู่ทางการรักษาของคุณใหม่ ให้เหมาะกับตัวเอง แบบแก้ไขเหตุเฉพาะหน้าไปก่อนก็ยังดีครับ ดีกว่าจมอยู่กับปัญหาแล้วไม่แก้ไขอะไรเลยซ้ำไปทุกๆวัน มันจะเฉาเอาเสียเปล่าๆ ถ้าโอกาสพบหมอยังไม่มี คุณอาจลองไปหานักจิตวิทยาก่อนมั๊ย (แต่ผมแจ้งให้ทราบก่อนแล้วนะ ว่ามันจะไม่ได้ทำให้คุณอาการดีขึ้นในแบบที่หมอทำ ดังนั้นสิ่งที่คุณควรคิดให้ได้ก่อน คือคุณจะวางแผนรักษาตัวเองอย่างไรดี ในสถานการณ์ที่มันไม่พร้อมเช่นนี้) หรือถ้าไม่สะดวกเดินทาง อาจจะลองพวกสายด่วนปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตดูก่อนมั๊ย (ซึ่งแน่นอนว่า จุดประสงค์ในการโทร ไม่ใช่เพื่อให้เขาบอกคุณว่าต้องแก้ปัญหายังไง แต่จะออกแนวเหมือนว่าให้เขาช่วยเรียบเรียงปัญหาของคุณที่มีอยู่ในตอนนี้มากกว่า) ผมพูดตรงนี้ "เพราะว่าคนส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเครื่องมือในการรักษาปัญหาสุขภาพจิตชนิดต่างๆ พอไปใช้บริการแล้วไม่ได้ดั่งใจ ก็โพสด่าว่าเจ้าหน้าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง" ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ แต่มันเป็นเพราะเขาใช้มันไม่ถูกวิธีมากกว่าครับ
แล้วถามว่า ที่พูดมาทั้งหมดจะช่วย จขกท. ได้อย่างไร คำตอบก็คือ ผมคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ที่ จขกท. เริ่มมีความคิดถึงการตายเข้ามาในหัวแล้ว การได้รับยารักษาในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ในเมื่อมันยังไปถึงทางออกนั้นไม่ได้ในทันที และเท่าที่ผมก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเองมาก่อน ผมรู้สึกได้ว่า คนที่คิดจะเลือกความตายเป็นตัวเลือก จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากเลือกมันหรอก แต่เขาแค่กำลัง 1.ตกอยู่ในอาการวิตกกังวลจนมองตัวเลือกอื่นไม่เห็น/ไม่ทั่ว และ 2.มองไปที่ทางเลือกอื่นแล้วมันติดเงื่อนไขไปหมด ทั้งที่จริงๆแล้วเงื่อนไขหลายๆอันที่ติด ก็ถอดออกได้ไม่ยาก ขอเพียงแค่มีเวลาคิดไตร่ตรองให้มากกว่านี้อีกหน่อย (ซึ่งตอนนั้นเรามักจะรู้สึกไม่เหลือเวลาอีกแล้ว)
ฉะนั้น หาก จขกท ยังพอจะมีสติและยังอยากจะหายอยู่บ้าง สิ่งที่ผมจะสามารถแนะนำคุณได้ก็คือ 1.ไปต่อคิวจิตแพทย์ รพ. ที่คุณสะดวกเดินทางได้บ่อยๆ (เพราะโรคนี้รักษากันยาวครับ) 2.ระหว่างนี้คุณก็คงต้องรักษาด้วยตัวเองไปก่อน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เช่น จะใช้นักจิตวิทยาช่วยวิเคราะห์ปัญหาแล้วคุณมาปรับพฤติกรรมเอาเอง หรือหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือบางคนอาจจะไปศึกษาธรรมะ ฯลฯ แล้วแต่ที่คุณสะดวกเลยครับ 3.ส่วนเรื่องความคิดเรื่องจะจบชีวิตตัวเอง อันนี้ผมว่าคุณก็คงเข้าใจครับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่จะให้ใครมาบอกยังไงถ้าใจเรามันยังดาวน์มันก็คงยังมีสิ่งนี้อยู่เรื่อยๆ (อันนี้ผมพอจะเข้าใจ) ฉะนั้น คุณต้องเรียนรู้เองที่จะหักล้างความคิดนี้ด้วยตัวคุณเอง เพราะถ้าหักล้างสำเร็จได้ครั้งนึงแล้ว คุณจะมีภูมิคุ้มกันได้เองครับ แล้วคราวหน้าจะเป็นยากขึ้นครับ
แสดงความคิดเห็น
จัดการกับความรู้สึกยังไง เมื่อเป็นโรคซึมเศร้า และถูกบอกเลิก กับความสัมพันธ์ 10ปี
ผมเป็นโรคซึมเศร้าจากครอบครัวและการทำงาน (ไม่ได้สนิทกับครอบครัวตัวเอง)
ผมคบกับแฟนตั้งแต่มหาวิทยาลัย ปัจจุบันอายุ 30ปี อาศัยอยู่ด้วยกันในคอนโด
เป็นคนต่างจังหวัด ทำงานราชการที่กรุงเทพ ไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนที่ทำงานเพราะอายุต่างกัน
ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเพื่อนมหาลัย หรือมัธยม มีแฟนคนเดียวที่เป็นที่ยึดเหนี่ยว
ตอนนี้ถูกแฟนบอกเลิก เหตุผลเพราะผมเป็นเซฟโซนของเธอ เธอโทษตัวเองที่คอยเอาปัญหาเรื่องเงินมาให้ผมช่วยหลายครั้ง
เพราะเธอมีภาระเกี่ยวกับครอบครัวตัวเอง
ผมพยายามบอกว่าผมไม่ได้คิดว่าเป็นภาระ ยังไงก็มีกันอยู่สองคน ช่วยๆกัน พยายามง้อ แต่ครั้งนี้เธอจะขอเลิกเท่านั้น ถ้าให้อยู่ต่อหมายความว่าไม่รักเธอจริง โดยตอนนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในคอนโด จนกว่าเธอจะตั้งตัวได้ มีเงินออกไปหาหอพักอยู่ ตอนนี้เธอเริ่มทำงานใหม่ อีกไม่เกิน 1 เดือนก็คงย้ายออกไป ช่วงเวลาระหว่างนี้ เธอจะพูดกับผมด้วยท่าทางหงุดหงิด เย็นชา ใช้คำแรงๆ คิดว่าทำแบบนั้นเพราะอยากให้ผมตัดใจได้
อยากขอคำแนะนำทุกคนครับ ตอนนี้ผมทรมานมาก ไปทำงานสมองก็คิดแต่เรื่องนี้จนเสียงาน กลับบ้านก็ทรมานจากความคิดที่ว่าจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว คิดแต่เรื่องวันที่เธอจะเก็บของย้ายออกจากคอนโดนี่ไป หัวใจก็สลายไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องมีความทรงจำทั้งหมด เฟสบุค ไอจี ทุกอย่างมีเรื่องราวของเราสองคนตลอด 10ปีที่ใช้ชีวิตด้วยกันมา จู่ๆมันก็จะจบลง ทรมานจนเริ่มทำร้ายตัวเอง ไม่อยากอยู่ต่อไปแล้ว จากเคยวางแผนในอนาคต ตอนนี้วางแผนจะคิดสั้น เป้าหมายเดียวคือทำให้สมองหยุดคิดเรื่องความสูญเสีย แฟนรู้เรื่องทำร้ายตัวเองก็บอกว่าอยากทำให้เธอรู้สึกผิดจนตายใช่ไหม เราก็หยุดทำร้ายตัวเอง แต่สมองยังคิดแต่เรื่องแย่ๆ พยายามจะหาหมอจิตเวช จะรักษากินยาต่างๆ แต่โรงพยาบาลทุกที่คิวเต็มถึงปลายปี ตอนนี้ไม่รู่จะทำยังไงแล้วครับ ไม่มีคนให้ปรึกษา
ชีวิตตอนนี้ไม่ได้อยากก้าวไปข้างหน้า ไม่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต อยากแค่ให้เธอกลับมา หรือถ้าไม่ได้ก็แค่ขอหายไปจากโลกนี้แค่นั้น