JJNY : เอสซีจี โอดค่าไฟ│ธนาธรชี้ 17ปี กลุ่มอนุรักษ์นิยม บดขยี้ปชช.อย่างหนัก│‘วีระ’เตรียมยื่นสอย5ป.ป.ช.│ปักกิ่งเคืองหนัก

เอสซีจี โอดค่าไฟบั่นทอนขีดแข่งขันประเทศ เสียเปรียบเพื่อนบ้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_3948172
 
 
เอสซีจี โอดค่าไฟบั่นทอนขีดแข่งขันประเทศ เสียเปรียบเพื่อนบ้าน เล็งทบทวนรายได้ปีนี้จากเป้าโต10%
 
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า เอสซีจีกำลังติดตาม 3 ปัจจัยเสี่ยงกระทบธุรกิจ ได้แก่ 
 
1. ความผันผวนของราคาพลังงาน อาทิ ค่าไฟ น้ำมัน ที่เป็นต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรม บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านในอาเชียน อีกทั้งทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น กำลังซื้อหดตัวลง

2. ความเสี่ยงภัยแล้ง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) คาดการณ์ปี 2566-2567 ปริมาณฝนอาจน้อยกว่าปกติ และฝนทิ้งช่วงมากขึ้น โดยจะเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้ไทยเสี่ยงจะเกิดภัยแล้งรุนแรงข้ามปี ส่งผลกระทบทั้งภาคประชาชน การผลิต อุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยว ที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทย
 
และ 3. สถานการณ์ฝุ่นละออง (พีเอ็ม 2.5) ที่สูงเกินมาตรฐานในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว และภาพรวมเศรษฐกิจ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาทางออก เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง

ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายรายได้ปี 2566 จากเดิมตั้งเป้าหมายเติบโตไว้ 10% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปชะลอตัว รวมถึงอาเซียนยังฟื้นตัวไม่ชัด ราคาพลังงานยังมีความผันผวนสูง อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในบางประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในต่างประเทศที่มีสัดส่วนรายได้กว่า 40% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
 
ยอมรับว่าปีนี้เหนื่อย เป้าหมายรายได้ที่คาดไว้จะโต 10% ไม่ง่าย เพราะเศรษฐกิจโลกและอาเซียนยังมีปัจจัยเสี่ยงมาก” นายรุ่งโรจน์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2566 (ไม่นับรวมรายการพิเศษ) คาดจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2566 เนื่องจากมีการนำพลังงานทดแทนเข้ามาใช้แทนถ่านหิน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนพลังงานบางอย่างลดลง เช่น ถ่านหิน รวมทั้งมีการปรับปรุงเครื่องจักร  เป็นต้น สำหรับผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 1/2566 มีรายได้ 128,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 5% กำไร 16,526 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำนวน 11,956 ล้านบาท




ธนาธร ลั่นไม่ทำวันนี้แล้วจะทำวันไหน? ชี้ 17 ปี กลุ่มอนุรักษ์นิยม บดขยี้ประชาชนอย่างหนัก เวลานี้ไม่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวแล้ว
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7634953

วันที่ 28 เม.ย.2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า

ไม่ทำวันนี้แล้วจะทำวันไหน?

นับตั้งแต่วันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้น พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวถึงเป็นนัยๆ เสมอว่าเป็นพรรคสุดโต่ง ใจร้อน ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่ยอม “กินข้าวทีละคำ” ทำไมไม่แก้ปัญหาปากท้องก่อนแล้วค่อยแก้เรื่องการเมืองทีหลัง ฯลฯ
 
อีกเพียงสองสัปดาห์กว่าๆ เรากำลังจะมีการเลือกตั้งที่จะกำหนดอนาคตของประเทศไทยว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร สำหรับผมแล้ว สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอคือคำตอบที่สมเหตุสมผลที่สุด เมื่อเราย้อนดูสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา
 
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สำหรับผมคือต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยปัจจุบัน และเป็นต้นเหตุของบ้านเมืองที่บิดเบี้ยวผิดปกติทุกวันนี้ โดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ไม่ต้องการเห็นประชาธิปไตยเติบโต ไม่อยากเห็นสังคมไทยเปลี่ยนแปลง ต้องการให้ประเทศไทยอยู่เหมือนเดิม เพื่อรักษาประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการครองอำนาจของพวกเขาต่อไปให้ได้ตราบนานเท่านาน
 
ตลอดเวลา 17 ปีที่ผ่านมา กลุ่มอนุรักษ์นิยมมีความกล้าหาญ พร้อมทำทุกอย่างตามความคิดความฝันของพวกเขา จะนำพาสังคมไทยย้อนยุคย้อนเวลาไปขนาดไหนก็ไม่เกรงกลัวเห็นหัวประชาชนคนที่เป็นเจ้าของประเทศ จะบดขยี้พลังประชาธิปไตยแค่ไหนก็พร้อมที่จะทำอย่างไม่เคยเกรงใจเห็นหัวประชาชน
เพื่อบรรลุความฝันของพวกเขา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยุบพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไปแล้วถึง 4 ครั้ง ล้อมปราบประชาชนกลางเมืองหลวงจนมีคนบาดเจ็บล้มตายมหาศาล และกล้าถึงขั้นประกาศว่าจะแช่แข็งประเทศไทยไป 20 ปี กล้าหาญที่จะจับคนรุ่นใหม่ที่กล้าพูดความจริงที่พวกเขาไม่อยากรับฟัง ไปเข้าคุกเข้าตาราง
 
เวลาฝ่ายอนุรักษ์นิยมปรารถนาจะบดขยี้ประชาชน พวกเขาไม่เคยเกรงใจประชาชน
 
ผ่านมา 17 ปี สิ่งที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมทำกับสังคมไทยและประชาชนคนไทยทั้งหลาย ได้นำพาพวกเขามาสู่จุดตกต่ำที่สุด ทั้งในทางการเมือง และที่สำคัญที่สุดคือในทางวัฒนธรรม เรื่องเล่าแห่งชาติของพวกเขาถูกเชื่อน้อยลงทุกวันๆ
 
ไม่มีช่วงเวลาไหนใน 17 ปีที่ผ่านมาที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะอ่อนแรงขนาดนี้ ไม่มีช่วงเวลาไหนใน 17 ปีที่ผ่านมาที่ประชาชนจะปรารถนาการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถทำให้ประชาธิปไตยหยั่งรากลงลึกในสังคมไทยแล้ว
 
นี่ไม่ใช่เวลาของการเจียมเนื้อเจียมตัว คิดเล็กคิดน้อย แต่เป็นเวลาของความกล้าคิดอย่างทะเยอทะยาน
คำถามของผมคือ ถ้าไม่ทำวันนี้แล้วจะทำวันไหน?
 
บรรดาคนที่ชวนให้สังคมไทยต้องกินข้าวทีละคำ ต้องทำทีละเรื่องทีละอย่าง พวกเขาไม่รู้หรือว่ารัฐบาลไทยมีสมาชิกคณะรัฐมนตรีได้ 30 กว่าคน มีกระทรวงกว่า 20 กระทรวงที่ครอบคลุมทุกปัญหาในประเทศไทย ผลักดันการแก้ปัญหาไปทุกเรื่องพร้อมกันได้
 
พวกเขาควรต้องรู้ดีที่สุด และควรต้องรู้ดีกว่าใครว่าเราสามารถแก้ปัญหาสำคัญทั้งเรื่องปากท้องและเรื่องการเมืองไปพร้อมกันได้ ไม่ต้องเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาทำก่อน
 
คำถามของผม คือเวลาที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมไล่บี้บดขยี้เรา เขาไม่เคยเห็นจะเกรงใจประชาชน ทำทีละเรื่องทีละอย่าง แล้วทำไมเวลาเรามีโอกาสที่ดีแบบนี้ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 17 ปี เราถึงต้องขอเขากินข้าวทีละคำล่ะ?
 
ปัญหาของประเทศไทยหนักหนาลึกซึ้ง เกี่ยวพันกันเป็นโยงใย เรื่องของปากท้องกี่เรื่องต่อกี่เรื่องสาวโยงไปถึงต้นเหตุปัญหาการเมืองได้หมด เป็นวิกฤติที่กินเวลามายาวนานเกินกว่าที่จะมัวแก้ปากท้องก่อนแล้วค่อยรอแก้ปัญหาการเมืองทีหลังแล้ว
 
ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่ปรารถนาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะต้องรอไปอีก ระยะหนึ่งให้ประเทศไทยต้องวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาการเมืองวันหลัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน
 
พรรคก้าวไกลคือคำตอบที่จะแก้ปัญหาให้ถึงต้นตอที่การเมือง ที่จะแก้เรื่องยากๆ ให้จบปัญหาได้ถึงโครงสร้าง ไม่ต้องปะผุทีละประเด็นทีละวันไป และเสียงที่พรรคก้าวไกลได้จากบัตรเลือกตั้งทั้งสองใบ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของประเทศนี้
 
บัตรปาร์ตี้ลิสต์ คือเครื่องบ่งชี้ว่าประชาชนคนไทยที่ต้องการเห็นความก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ยิ่งได้เยอะก็ยิ่งเป็นตัวชี้วัดว่าคนไทยไม่ต้องการอยู่เหมือนเดิม ต้องการเห็นการปฏิรูปที่ยากแต่จำเป็นสำหรับอนาคตของลูกหลาน
 
ส่วนบัตรเขต คือสิ่งที่จะทำให้วาระของพรรคก้าวไกลไปสู่การปฏิบัติได้จริง ด้วยจำนวนมือของ ส.ส. ที่จะทำให้เรามีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง ผ่านกฎหมายสำคัญต่างๆ ผลักดันวาระที่ก้าวหน้าได้
 
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นเรื่องที่ยากที่จะต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราไม่เริ่มต้นปักธงลงมือทำมันตั้งแต่วันนี้ แล้ววันไหนเราจะได้เริ่มล่ะ?
การมีก้าวไกลเป็นรัฐบาล คือคำตอบเดียวที่จะนำไปสู่การลงมือทำมันตั้งแต่วันนี้ ประเทศไทยไม่สามารถเสียเวลารอการแก้ปัญหาที่ยาก “ไว้วันหลัง” ได้อีกแล้ว

จากการตอบรับที่ประชาชนมีต่อเราทุกวัน รวมถึงที่ปทุมธานีวันนี้ ผมคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เราต้องเจียมตัวอีกต่อไป
 
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/posts/pfbid0iseT8cN1afyxRHeYk3HdgRDZRdG2tMrdxWaqs2ytste74i4iqZB45kzafLLXumBpl
 

 
‘วีระ’ เตรียมยื่นสอย5ป.ป.ช.พยายามยื้อส่งข้อมูลนาฬิกาหรู ‘ลุงป้อม’
https://www.dailynews.co.th/news/2267619/

“วีระ” เตรียมยื่นสอย 5 ป.ป.ช. หลังจ่อยื้อส่งข้อมูลนาฬิกาหรู “ลุงป้อม” เชื่อกลัวส่งผลกระทบต่อความนิยมบางพรรคการเมือง

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 66 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.ลงไม่มติไม่ให้ส่งสำนวนคดีบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีปกปิดการครอบครองนาฬิกาหรู ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดว่า ขณะนี้เตรียมล่าชื่อประชาชน 20,000 รายชื่อ ยื่นต่อประธานรัฐสภา ให้ส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกา ตั้งคณะไต่สวนอิสระดำเนินการถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช. 5 คน ที่ลงมติไม่เปิดเผยสำนวนคดีนาฬิกาหรูให้แก่ตนภายใน 15 วัน ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด จะเร่งดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว โดยใช้กระบวนการทางโซเชียลล่าชื่อประชาชน เนื่องจากขณะนี้ไม่มี ส.ส. ไม่สามารถใช้ช่องทางเข้าชื่อ ส.ส.ถอดถอน ป.ป.ช.ได้ ต้องใช้วิธีล่าชื่อประชาชนส่งเรื่องให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องต่อให้ศาลฎีกา แม้ขณะนี้ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ก็ต้องให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่แทน ดังนั้น เมื่อล่าชื่อครบแล้วจะส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการ
 
ผมจะวัดใจประธานวุฒิสภา กล้าส่งเรื่องให้ศาลฎีกาหรือไม่ ถ้ามีข้อมูลหลักฐานและองค์ประกอบครบถ้วน แต่ประธานวุฒิสภาไม่ส่งเรื่องให้ ก็เอาผิดประธานวุฒิสภาเพิ่มเติมด้วย การยื่นถอดถอน 5 กรรมการ ป.ป.ช.เพราะเข้าข่ายชัดเจนว่า จงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ให้ส่งสำนวนคดีนาฬิกาหรูให้ตนใน 15 วัน จะครบกำหนดวันที่ 6 พ.ค. 66 แต่ ป.ป.ช.กลับส่งเรื่องไปถามศาลปกครองสูงสุดจะให้เปิดเผยข้อมูลใดได้บ้าง ชัดเจนเป็นการยื้อเวลาไม่ส่งข้อมูลให้ตนภายในวันที่ 6 พ.ค. 66 เพราะกลัวผม จะนำข้อมูลดังกล่าวมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ทำให้กระทบต่อคะแนนของบางพรรคการเมือง” นายวีระ กล่าว.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่