ธรรมเทศนาครั้งที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ในชีวิตของ ท่านพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เป็นการเทศน์ ที่ยากนักจะได้รับฟังจากที่ใด ตลอดการเทศน์ท่าน ได้รวบรวมกระแสจิต หลับตาดำดิ่ง ลงสู่ห้วงสมาธิ
และถ่ายทอดธรรมจากใจ ออกสู่ทางวาจา
ภิกษุสงฆ์ชราภาพ สังขารเกือบร้อยปี เทศนาธรรมด้วยน้ำเสียงก้องกังวานใส ตลอดระยะเวลา 1ชั่วโมง 20 นาที โดยที่ไม่มีการหยุดดื่มน้ำ ไม่มีการหยุดพักครึ่งใดๆทั้งสิ้น
วันนั้นเป็นวันที่คณะสงฆ์ สายพระป่ากรรมฐาน
เดินทางมารวมตัวกันนับหมื่นรูป บางองค์อยู่ต่างจังหวัด บางองค์อยู่ต่างแดน หรือ แม้แต่อยู่ในป่าลึก ก็ยังออกมาฟังธรรมเทศนา ในครั้งนี้ของสุดยอดอรหันต์
จึงถือได้ว่า การรวมตัวของ เหล่าภิกษุในวันนั้น เป็นการรวมตัวกันของเหล่าศิษย์แห่งพระคถาคต ผู้ที่ต้องการบำเพ็ญเพียร เพื่อความหลุดพ้น เป็นการรวมตัวของพระนักปฏิบัติผู้มีนิพพานเป็นธงชัยแทบทั้งสิ้น
ธรรมะที่สอนกันในวันนั้น จึงเป็นธรรมชั้นสูง เป็นแก่นธรรมแท้ ที่ไม่มีการผ่อนปรนใดๆ เนื้อหาสาระจึงเต็มไปด้วยรสธรรมอันเผ็ดร้อน ดุเดือด องอาจแกล้วกล้า ถึงลูกถึงคน ด้วยมิต้องห่วงคำนึง ถึงความเป็นโลกียะจอมปลอม หรือเป็นห่วงฆราวาส ที่ฟังธรรมเสร็จแล้ว ต้องหวนกลับไป ดูแลลูกผัว เฝ้าเหย้า เฝ้าเรือน ใช้ชีวิตทางโลกธรรม
เทศนาในวันนั้นว่า ด้วยเรื่อง“การปฏิบัติเพื่อเอามรรคเอาผล สำหรับผู้ไม่ต้องการเกิด” เป็นธรรมะชั้นลึก จากประสบการณ์ตรงที่มีคุณค่า
ประหนึ่งมหาสมบัติ เพราะทำให้นักเดินทาง ผู้มีนิพพานเป็นธงชัย ได้รู้ชัดถึงหนทางเดินว่า ถ้าปรารถนานิพพานในชาตินี้ เราต้องปฏิบัติอย่างไร เริ่มตรงไหน จบตรงไหน ต้องทำอะไรก่อนหลัง
การเดินทางสู่เส้นทาง แห่งพระนิพพานโดยปราศจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์คงไม่ต่างอะไรกับการคลำหาทางกลับบ้านกลางถ้ำมืด เมื่อท่านได้เขียนแผ่นที่ ทิ้งไว้ให้เราแล้ว ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ สำรวจตรวจสอบกันว่า ในปัจจุบันนี้สองเท้าของเรา กำลังเหยียบย่างอยู่ตรงไหนในระหว่างทางกันแน่ กำลังเดินอยู่ในทาง หรือ หลงออกนอกเส้นทางไปแล้ว
โอกาสนี้เอง ผู้เขียนจึงใคร่ขออนุญาตนำ บทเทศนาของหลวงตามหาบัว มาถอดความ และจำแนกออกเป็นข้อๆ พร้อมทั้งอนุญาต อธิบายเพิ่มเติมสมทบลงไป เพื่อให้เหล่าโยคาวจรทั้งหลายได้ศึกษาหนทาง แห่งการดับทุกข์ ที่ถูกต้องตรงธรรม และสามารถเข้าใจได้โดยง่าย
ไปพร้อมๆกันดังนี้
----------------------------------------------------------------------
๑.ผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งนิพพาน
จะต้องถือศีลให้บริสุทธิ์ ข้อนี้สำคัญมาก
ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นใด
คือใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรมความดีงาม อะไรผิดศีล ห้ามทำโดยเด็ดขาด
๒.ให้คิดถึงนิพพานทุกขณะ
เหมือนนิพพานอยู่ตรงหน้า คือระลึกไว้เสมอว่า เราจะไปนิพพานเท่านั้น จุดเดียวที่เดียว
อย่างอื่น...ไม่เอา ให้พุ่งตรง ตัดตรงไปเลย
๓.ทำสมาธิในชีวิตประจำวันให้ได้
คือถ้าใครบริกรรมพุทโธ ก็ให้ทำไป ใครดูลมหายใจ ก็ให้ดูไป เรื่องนี้เน้นย้ำมาก
ให้คุมกรรมฐานไว้ระหว่างวัน ส่วนจะใช้กรรมฐานชนิดใด ตรงนี้ใช้ได้หมด ขอให้อยู่ในหมวดกรรมฐาน ๔๐ ไม่มี อะไรผิด
จุดนี้ให้เน้นไปที่การทำสมถะก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจวิปัสสนาในช่วงแรกๆ ต้องฝึกให้จิต มีความตั้งมั่นก่อน ให้จิต อยู่...กับกรรมฐาน ของตนตลอดเวลาทั้งวัน
ยกเว้นเวลาที่ต้องทำงานเท่านั้น
เน้นว่า นี่คือการปฏิบัติเบื้องต้น ไม่ควรทำสุ่มสี่
สุ่มห้า ไม่ควรทำผิดไปจากนี้
๔.เมื่อทำสมาธิในชีวิตประจำวัน
ไปจนจิตเข้าสู่สมาธิได้แล้ว ให้สังเกตดู ช่วงนี้
จิต จะปรุงกิเลสน้อยลง เพราะจิตมันอิ่มอารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่งมากขึ้น
ทำความสงบได้ง่ายขึ้น พูดง่ายๆ ว่าจิตของเรา เริ่มมีกำลังเกิดความตั้งมั่นได้ง่าย คือในชีวิตประจำวัน ก็ทรงอารมณ์ อยู่...กับกรรมฐานได้
เมื่อทำสมาธิในรูปแบบ
ก็มีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ อย่างนี้ถือว่า... เริ่มใช้
ได้แล้ว ตรงนี้ ให้เริ่มพัฒนาในขั้นตอนต่อไป อย่าหยุด อยู่...แค่การทำสมาธิ
๕.พอจิตสงบ ตั้งมั่นแล้ว คราวนี้...
ท่านให้เริ่มเดินปัญญาต่อไปเลย เพียงแค่สมาธิอย่างเดียวนั้น จิต จะไม่มีความกว้างขวาง
จะต้องเดินปัญญาต่อ จึงจะเกิดความกว้างขวาง นี่คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำเอาไว้ ต้องทำตาม
พระพุทธเจ้าท่านสอน
๖.ให้เริ่มต้นพิจารณาร่างกาย
โดยให้แยกเป็นส่วนๆ คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
นี่เป็นตำหรับแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ให้เอามาดูเป็นส่วนๆ ดูสิ เส้นผมของเราเป็นยังไง สะอาดหรือสกปรก เหมือนกันกับขนสัตว์ ชนิดอื่นหรือเปล่า ถ้าไม่อาบน้ำมันจะเป็นอย่างไร แล้วไล่พิจารณาเรียงไปเรื่อยๆ จนครบทั้ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
กรรมฐาน ๕.นี้ เป็นพื้นฐานทางเดินทาง
ด้านปัญญา ให้หัดดูไปเรื่อยๆ เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ก็ให้พิจารณาไป ให้เห็นว่า ที่ทำอยู่นี้...
คือ หินลับปัญญา
๗.เมื่อทำจนชำนาญ
ต่อไป ก็ลองแยกให้เป็นธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณาให้เป็น อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกข์ขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)
ทำเช่นนี้ สติ ปัญญาจะมากขึ้นเป็นลำดับ
๘.เมื่อพิจารณาสักพัก ก็ให้ย้อนกลับมาทำสมาธิ เอาความสงบ เอากำลังของจิตใหม่ ต่อเมื่อจิต
อยู่...ในความสงบ เริ่มมีกำลังฟื้นตัว ก็กลับมาเดินไปปัญญาอีกครั้ง ให้ทำเช่นนี้สลับไป ห้ามทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพียงอย่างเดียว
ต้องมีทั้งการทำสมาธิ และเดินปัญญาสลับกันเรื่อยไป
๙.เมื่อถึงจุดหนึ่ง คราวนี้ให้กำหนดเป็นอสุภะ อสุภะก็คือ กรรมฐานกองหนึ่ง ที่ทำให้เห็น ธรรมชาติของ ร่างกายคนเรา มีอยู่ ๑๐.ระยะ
คือ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด
ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ คละด้วยสีต่างๆ
ซากศพที่มีน้ำเหลือง น้ำหนองไหลเยิ้ม (เน่าเฟะ)
ซากศพที่ขาดออกเป็น ๒ ท่อน
ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว
ซากศพที่กระจุยกระจาย
ซากศพที่ถูกฟันบั่นเป็นท่อนๆ
ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ (จมกองเลือด)
ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำ เต็มไปหมด
ซากศพที่เหลืออยู่แต่ ร่างกระดูก หรือเหลือแต่ท่อนกระดูก
ในการกำหนดอสุภะนี้ ให้กำหนดภาพเหล่านี้
ขึ้นมาตรงหน้าเลย ทำให้ภาพนิ่งอยู่ตรงหน้า อย่างนั้น หมั่นเอาภาพอสุภะมาตั้ง ไว้ตรงหน้าเสมอ ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร แค่ให้จิตกำหนดภาพเหล่านี้ให้ได้ก็พอ
แล้วดูไป ดูอย่างเดียว เพ่งไปเลยอย่าให้คลาด เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ จิตมันจะรู้ของมันเอง
๑๐.เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ แก่ความต้องการ
ของจิต คราวนี้...ธรรมชาติจะหมุน ไปสู่ความ
จริง ซึ่งในขั้นตอนนี้ จะเป็นธรรมที่ละเอียดมาก จิต มันจะมีปัญญา ในเรื่องกามราคะ
ถึงตอนนั้น...จิต มันจะสิ้นข้อสงสัยในเรื่องกามราคะไปเลย โดยไม่ต้องมีใครบอก
ในขั้นนี้...จะสำเร็จเป็น พระอนาคามีแล้ว
๑๑.เมื่อทำซ้ำๆ จนบรรลุอนาคามี
จิต จะไม่กลับมาเกิดอีก เพราะกามราคะมัน
ขาดสะบั้นไปสิ้น จิตมันจะหมุนขึ้นสูงอย่างเดียว ไม่ลงต่ำ ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส
เวลานั้น...จิต จะรู้ความจริงไปตามลำดับ
๑๒.ทบทวนและย้ำอีกรอบว่า...
เมื่อทำสมาธิ(สมถะ) ให้พักเรื่อปัญญา(วิปัสสนา)
และเมื่อเดินปัญญา(วิปัสสนา)
ก็ให้พักเรื่องสมาธิ(สมถะ)ทั้งสองสิ่งนี้ จะต้องทำสลับกันไปตลอด ห้ามทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด และเมื่อทำสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ต้องคิดถึงอีกสิ่ง คือทำความสงบ ก็ทำไป
พิจารณาความจริง ก็ทำไป ห้ามนำมาปนกัน
ให้ทำสลับไปอย่างนี้เรื่อยๆ ตลอดการปฏิบัติ
๑๓.เมื่อก้าวถึงภูมิอนาคามีแล้ว
จะมีภูมิของอนาคามี ที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีความเข้มข้นอยู่ ๕.ระดับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นขั้นๆ พวกที่ก้าวข้ามขั้นไปเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาลเช่นนี้ จะหายาก โดยมากแล้วจะไปทีละขั้น
เพราะด่านกามราคะมันยากจริงๆ ไม่ใช่ของง่าย
๑๔.ในขั้นนี้ปัญญา
จะเดินอัตโนมัติตลอดเวลาแล้ว เห็นนิพพานอยู่ตรงหน้า ช่วงนี้ปัญญาจะฆ่ากิเลส...ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ทั้งยืน เดิน นั่ง ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ยกเว้นเวลานอนหลับ ตอนนั้น...ไม่มี คำว่าเผลอแล้ว เพราะปัญญา จะเกิดอย่างถี่ยิบ
๑๕.สติปัญญาเดินมาก ต้องย้อนสู่สมาธิ
ห้ามเดินปัญญาแต่อย่างเดียวเด็ดขาด ต้องทำสลับกันไปเช่นนี้
๑๖.ต่อไปจะก้าวเข้า สู่...มหาสติปัญญา
ถึงตรงนี้จะหมดนิมิต ที่เกี่ยวกับจิต
เหมือนฟ้าแลบตลอด ไม่ต้องบังคับให้จิตทำงาน กิเลส ซ่อนอยู่ตรงไหน ปัญญาจะตามไปฆ่าเชื้อ
ที่นั่น
ส่วนใหญ่ถึงตรงนี้ ทุกข์เวทนาจะน้อยมากๆ
เหลือเพียงสุขเวทนา เท่านั้น มันจะเห็นสุขเวทนาชัดเจนมาก จุดนี้เอง...ที่มันจะเข้าไปในปราสาทราชวัง ไปเจอนายใหญ่ คืออวิชชา ค้นพบอริยสัจ ๔.
มันจะเห็นกษัตริย์แห่งวัฏฏะ คือตัวอวิชชา
ถึงตรงนั้น...ทุกสรรพสิ่ง จะว่าง...ไปหมด
ยกเว้น เพียง...ตัวเองที่ยังไม่ว่าง
๑๗.เมื่อถึงจิตตะ คืออวิชชา
พอเปิดอันนี้ออก จิต มันก็จ้าขึ้น ตอนนี้...
ข้างนอก ก็สว่าง ภายใน ก็สว่าง ว่าง...ทั้งหมด
ตัวเราก็ว่าง...เป็นวิมุต
คือธรรมชาติที่แท้จริง จิต เป็นธรรมธาตุ
เป็นภาวะนิพพาน จิต ไม่เคยตาย
ถึงธรรมชาติแล้ว...หายสงสัยล้านเปอร์เซ็นต์
๑๘.แรกเริ่ม ธาตุขันธ์
เป็นเครื่องมือของกิเลส แต่ปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ธาตุขันธ์ จะเป็นเครื่องมือ ของธรรม...ทั้งหมด"
----------------------------------------------------------------------
ธรรมเทศนาขององค์หลวงตามหาบัว ข้างต้นเปรียบได้ ดั่งแผนที่เส้นทางปฏิบัติธรรม
ที่ชัดเจนที่สุด ตั้งแต่เบื้องต้นต้น ถึงปลายทางแห่งพระนิพพาน เป็นของขวัญอันล้ำค่า
ที่ครูบาอาจารย์ได้มอบแก่ เหล่าศิษย์นักปฏิบัติทั้งหลาย
โมทนาสาธุๆๆ
กับท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย
ธรรมเทศนาครั้งที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ในชีวิตของ(ลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
และถ่ายทอดธรรมจากใจ ออกสู่ทางวาจา
ภิกษุสงฆ์ชราภาพ สังขารเกือบร้อยปี เทศนาธรรมด้วยน้ำเสียงก้องกังวานใส ตลอดระยะเวลา 1ชั่วโมง 20 นาที โดยที่ไม่มีการหยุดดื่มน้ำ ไม่มีการหยุดพักครึ่งใดๆทั้งสิ้น
วันนั้นเป็นวันที่คณะสงฆ์ สายพระป่ากรรมฐาน
เดินทางมารวมตัวกันนับหมื่นรูป บางองค์อยู่ต่างจังหวัด บางองค์อยู่ต่างแดน หรือ แม้แต่อยู่ในป่าลึก ก็ยังออกมาฟังธรรมเทศนา ในครั้งนี้ของสุดยอดอรหันต์
จึงถือได้ว่า การรวมตัวของ เหล่าภิกษุในวันนั้น เป็นการรวมตัวกันของเหล่าศิษย์แห่งพระคถาคต ผู้ที่ต้องการบำเพ็ญเพียร เพื่อความหลุดพ้น เป็นการรวมตัวของพระนักปฏิบัติผู้มีนิพพานเป็นธงชัยแทบทั้งสิ้น
ธรรมะที่สอนกันในวันนั้น จึงเป็นธรรมชั้นสูง เป็นแก่นธรรมแท้ ที่ไม่มีการผ่อนปรนใดๆ เนื้อหาสาระจึงเต็มไปด้วยรสธรรมอันเผ็ดร้อน ดุเดือด องอาจแกล้วกล้า ถึงลูกถึงคน ด้วยมิต้องห่วงคำนึง ถึงความเป็นโลกียะจอมปลอม หรือเป็นห่วงฆราวาส ที่ฟังธรรมเสร็จแล้ว ต้องหวนกลับไป ดูแลลูกผัว เฝ้าเหย้า เฝ้าเรือน ใช้ชีวิตทางโลกธรรม
เทศนาในวันนั้นว่า ด้วยเรื่อง“การปฏิบัติเพื่อเอามรรคเอาผล สำหรับผู้ไม่ต้องการเกิด” เป็นธรรมะชั้นลึก จากประสบการณ์ตรงที่มีคุณค่า
ประหนึ่งมหาสมบัติ เพราะทำให้นักเดินทาง ผู้มีนิพพานเป็นธงชัย ได้รู้ชัดถึงหนทางเดินว่า ถ้าปรารถนานิพพานในชาตินี้ เราต้องปฏิบัติอย่างไร เริ่มตรงไหน จบตรงไหน ต้องทำอะไรก่อนหลัง
การเดินทางสู่เส้นทาง แห่งพระนิพพานโดยปราศจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์คงไม่ต่างอะไรกับการคลำหาทางกลับบ้านกลางถ้ำมืด เมื่อท่านได้เขียนแผ่นที่ ทิ้งไว้ให้เราแล้ว ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ สำรวจตรวจสอบกันว่า ในปัจจุบันนี้สองเท้าของเรา กำลังเหยียบย่างอยู่ตรงไหนในระหว่างทางกันแน่ กำลังเดินอยู่ในทาง หรือ หลงออกนอกเส้นทางไปแล้ว
โอกาสนี้เอง ผู้เขียนจึงใคร่ขออนุญาตนำ บทเทศนาของหลวงตามหาบัว มาถอดความ และจำแนกออกเป็นข้อๆ พร้อมทั้งอนุญาต อธิบายเพิ่มเติมสมทบลงไป เพื่อให้เหล่าโยคาวจรทั้งหลายได้ศึกษาหนทาง แห่งการดับทุกข์ ที่ถูกต้องตรงธรรม และสามารถเข้าใจได้โดยง่าย
ไปพร้อมๆกันดังนี้
----------------------------------------------------------------------
๑.ผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งนิพพาน
จะต้องถือศีลให้บริสุทธิ์ ข้อนี้สำคัญมาก
ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นใด
คือใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรมความดีงาม อะไรผิดศีล ห้ามทำโดยเด็ดขาด
๒.ให้คิดถึงนิพพานทุกขณะ
เหมือนนิพพานอยู่ตรงหน้า คือระลึกไว้เสมอว่า เราจะไปนิพพานเท่านั้น จุดเดียวที่เดียว
อย่างอื่น...ไม่เอา ให้พุ่งตรง ตัดตรงไปเลย
๓.ทำสมาธิในชีวิตประจำวันให้ได้
คือถ้าใครบริกรรมพุทโธ ก็ให้ทำไป ใครดูลมหายใจ ก็ให้ดูไป เรื่องนี้เน้นย้ำมาก
ให้คุมกรรมฐานไว้ระหว่างวัน ส่วนจะใช้กรรมฐานชนิดใด ตรงนี้ใช้ได้หมด ขอให้อยู่ในหมวดกรรมฐาน ๔๐ ไม่มี อะไรผิด
จุดนี้ให้เน้นไปที่การทำสมถะก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจวิปัสสนาในช่วงแรกๆ ต้องฝึกให้จิต มีความตั้งมั่นก่อน ให้จิต อยู่...กับกรรมฐาน ของตนตลอดเวลาทั้งวัน
ยกเว้นเวลาที่ต้องทำงานเท่านั้น
เน้นว่า นี่คือการปฏิบัติเบื้องต้น ไม่ควรทำสุ่มสี่
สุ่มห้า ไม่ควรทำผิดไปจากนี้
๔.เมื่อทำสมาธิในชีวิตประจำวัน
ไปจนจิตเข้าสู่สมาธิได้แล้ว ให้สังเกตดู ช่วงนี้
จิต จะปรุงกิเลสน้อยลง เพราะจิตมันอิ่มอารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่งมากขึ้น
ทำความสงบได้ง่ายขึ้น พูดง่ายๆ ว่าจิตของเรา เริ่มมีกำลังเกิดความตั้งมั่นได้ง่าย คือในชีวิตประจำวัน ก็ทรงอารมณ์ อยู่...กับกรรมฐานได้
เมื่อทำสมาธิในรูปแบบ
ก็มีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ อย่างนี้ถือว่า... เริ่มใช้
ได้แล้ว ตรงนี้ ให้เริ่มพัฒนาในขั้นตอนต่อไป อย่าหยุด อยู่...แค่การทำสมาธิ
๕.พอจิตสงบ ตั้งมั่นแล้ว คราวนี้...
ท่านให้เริ่มเดินปัญญาต่อไปเลย เพียงแค่สมาธิอย่างเดียวนั้น จิต จะไม่มีความกว้างขวาง
จะต้องเดินปัญญาต่อ จึงจะเกิดความกว้างขวาง นี่คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำเอาไว้ ต้องทำตาม
พระพุทธเจ้าท่านสอน
๖.ให้เริ่มต้นพิจารณาร่างกาย
โดยให้แยกเป็นส่วนๆ คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
นี่เป็นตำหรับแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ให้เอามาดูเป็นส่วนๆ ดูสิ เส้นผมของเราเป็นยังไง สะอาดหรือสกปรก เหมือนกันกับขนสัตว์ ชนิดอื่นหรือเปล่า ถ้าไม่อาบน้ำมันจะเป็นอย่างไร แล้วไล่พิจารณาเรียงไปเรื่อยๆ จนครบทั้ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
กรรมฐาน ๕.นี้ เป็นพื้นฐานทางเดินทาง
ด้านปัญญา ให้หัดดูไปเรื่อยๆ เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ก็ให้พิจารณาไป ให้เห็นว่า ที่ทำอยู่นี้...
คือ หินลับปัญญา
๗.เมื่อทำจนชำนาญ
ต่อไป ก็ลองแยกให้เป็นธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณาให้เป็น อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกข์ขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)
ทำเช่นนี้ สติ ปัญญาจะมากขึ้นเป็นลำดับ
๘.เมื่อพิจารณาสักพัก ก็ให้ย้อนกลับมาทำสมาธิ เอาความสงบ เอากำลังของจิตใหม่ ต่อเมื่อจิต
อยู่...ในความสงบ เริ่มมีกำลังฟื้นตัว ก็กลับมาเดินไปปัญญาอีกครั้ง ให้ทำเช่นนี้สลับไป ห้ามทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพียงอย่างเดียว
ต้องมีทั้งการทำสมาธิ และเดินปัญญาสลับกันเรื่อยไป
๙.เมื่อถึงจุดหนึ่ง คราวนี้ให้กำหนดเป็นอสุภะ อสุภะก็คือ กรรมฐานกองหนึ่ง ที่ทำให้เห็น ธรรมชาติของ ร่างกายคนเรา มีอยู่ ๑๐.ระยะ
คือ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด
ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ คละด้วยสีต่างๆ
ซากศพที่มีน้ำเหลือง น้ำหนองไหลเยิ้ม (เน่าเฟะ)
ซากศพที่ขาดออกเป็น ๒ ท่อน
ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว
ซากศพที่กระจุยกระจาย
ซากศพที่ถูกฟันบั่นเป็นท่อนๆ
ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ (จมกองเลือด)
ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำ เต็มไปหมด
ซากศพที่เหลืออยู่แต่ ร่างกระดูก หรือเหลือแต่ท่อนกระดูก
ในการกำหนดอสุภะนี้ ให้กำหนดภาพเหล่านี้
ขึ้นมาตรงหน้าเลย ทำให้ภาพนิ่งอยู่ตรงหน้า อย่างนั้น หมั่นเอาภาพอสุภะมาตั้ง ไว้ตรงหน้าเสมอ ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร แค่ให้จิตกำหนดภาพเหล่านี้ให้ได้ก็พอ
แล้วดูไป ดูอย่างเดียว เพ่งไปเลยอย่าให้คลาด เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ จิตมันจะรู้ของมันเอง
๑๐.เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ แก่ความต้องการ
ของจิต คราวนี้...ธรรมชาติจะหมุน ไปสู่ความ
จริง ซึ่งในขั้นตอนนี้ จะเป็นธรรมที่ละเอียดมาก จิต มันจะมีปัญญา ในเรื่องกามราคะ
ถึงตอนนั้น...จิต มันจะสิ้นข้อสงสัยในเรื่องกามราคะไปเลย โดยไม่ต้องมีใครบอก
ในขั้นนี้...จะสำเร็จเป็น พระอนาคามีแล้ว
๑๑.เมื่อทำซ้ำๆ จนบรรลุอนาคามี
จิต จะไม่กลับมาเกิดอีก เพราะกามราคะมัน
ขาดสะบั้นไปสิ้น จิตมันจะหมุนขึ้นสูงอย่างเดียว ไม่ลงต่ำ ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส
เวลานั้น...จิต จะรู้ความจริงไปตามลำดับ
๑๒.ทบทวนและย้ำอีกรอบว่า...
เมื่อทำสมาธิ(สมถะ) ให้พักเรื่อปัญญา(วิปัสสนา)
และเมื่อเดินปัญญา(วิปัสสนา)
ก็ให้พักเรื่องสมาธิ(สมถะ)ทั้งสองสิ่งนี้ จะต้องทำสลับกันไปตลอด ห้ามทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด และเมื่อทำสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ต้องคิดถึงอีกสิ่ง คือทำความสงบ ก็ทำไป
พิจารณาความจริง ก็ทำไป ห้ามนำมาปนกัน
ให้ทำสลับไปอย่างนี้เรื่อยๆ ตลอดการปฏิบัติ
๑๓.เมื่อก้าวถึงภูมิอนาคามีแล้ว
จะมีภูมิของอนาคามี ที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีความเข้มข้นอยู่ ๕.ระดับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นขั้นๆ พวกที่ก้าวข้ามขั้นไปเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาลเช่นนี้ จะหายาก โดยมากแล้วจะไปทีละขั้น
เพราะด่านกามราคะมันยากจริงๆ ไม่ใช่ของง่าย
๑๔.ในขั้นนี้ปัญญา
จะเดินอัตโนมัติตลอดเวลาแล้ว เห็นนิพพานอยู่ตรงหน้า ช่วงนี้ปัญญาจะฆ่ากิเลส...ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ทั้งยืน เดิน นั่ง ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ยกเว้นเวลานอนหลับ ตอนนั้น...ไม่มี คำว่าเผลอแล้ว เพราะปัญญา จะเกิดอย่างถี่ยิบ
๑๕.สติปัญญาเดินมาก ต้องย้อนสู่สมาธิ
ห้ามเดินปัญญาแต่อย่างเดียวเด็ดขาด ต้องทำสลับกันไปเช่นนี้
๑๖.ต่อไปจะก้าวเข้า สู่...มหาสติปัญญา
ถึงตรงนี้จะหมดนิมิต ที่เกี่ยวกับจิต
เหมือนฟ้าแลบตลอด ไม่ต้องบังคับให้จิตทำงาน กิเลส ซ่อนอยู่ตรงไหน ปัญญาจะตามไปฆ่าเชื้อ
ที่นั่น
ส่วนใหญ่ถึงตรงนี้ ทุกข์เวทนาจะน้อยมากๆ
เหลือเพียงสุขเวทนา เท่านั้น มันจะเห็นสุขเวทนาชัดเจนมาก จุดนี้เอง...ที่มันจะเข้าไปในปราสาทราชวัง ไปเจอนายใหญ่ คืออวิชชา ค้นพบอริยสัจ ๔.
มันจะเห็นกษัตริย์แห่งวัฏฏะ คือตัวอวิชชา
ถึงตรงนั้น...ทุกสรรพสิ่ง จะว่าง...ไปหมด
ยกเว้น เพียง...ตัวเองที่ยังไม่ว่าง
๑๗.เมื่อถึงจิตตะ คืออวิชชา
พอเปิดอันนี้ออก จิต มันก็จ้าขึ้น ตอนนี้...
ข้างนอก ก็สว่าง ภายใน ก็สว่าง ว่าง...ทั้งหมด
ตัวเราก็ว่าง...เป็นวิมุต
คือธรรมชาติที่แท้จริง จิต เป็นธรรมธาตุ
เป็นภาวะนิพพาน จิต ไม่เคยตาย
ถึงธรรมชาติแล้ว...หายสงสัยล้านเปอร์เซ็นต์
๑๘.แรกเริ่ม ธาตุขันธ์
เป็นเครื่องมือของกิเลส แต่ปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ธาตุขันธ์ จะเป็นเครื่องมือ ของธรรม...ทั้งหมด"
----------------------------------------------------------------------
ธรรมเทศนาขององค์หลวงตามหาบัว ข้างต้นเปรียบได้ ดั่งแผนที่เส้นทางปฏิบัติธรรม
ที่ชัดเจนที่สุด ตั้งแต่เบื้องต้นต้น ถึงปลายทางแห่งพระนิพพาน เป็นของขวัญอันล้ำค่า
ที่ครูบาอาจารย์ได้มอบแก่ เหล่าศิษย์นักปฏิบัติทั้งหลาย
โมทนาสาธุๆๆ
กับท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย