บันทึกประสบการณ์ผ่าตัดริดสีดวงและส่องกล้องลำไส้ใหญ่ครั้งแรกในชีวิต

เหตุเกิดตอนปีใหม่วันที่ 2 มกราคม ตื่นเช้ามาเข้าห้องน้ำ แล้วรู้สึกว่าก้นไม่ปกติ จับเจอก้อนนูนๆอยู่ตรงรูก้น แต่ไม่เจ็บ ตอนนั้นตกใจมาก ก็เลยโทรหาพี่ที่ทำประกันไว้ ซึ่งเพิ่งจะทำไปวันที่ 1 มกราคม ทำไปได้แค่วันเดียว!! พี่เขาบอกว่าน่าจะเป็นริดสีดวง ให้ลองไปซื้อยามากินและทา เพราะต้องรอให้ประกันครบระยะรอคอยก่อน โรคริดสีดวงจะอยู่ที่ 120 วัน!! ใจจริงคืออยากจะไปตรวจที่รพ.วันนั้นเลย ส่วนยาที่ซื้อมามี 3 ตัว ยากิน Daflon, ยาเหน็บ, ยาทาเป็นขี้ผึ้ง และซื้อใยอาหารเพิ่มมาด้วย
 
ผ่านไป 2 สัปดาห์ ก้อนนั้นก็ยังอยู่และขนาดเท่าเดิม วันศุกร์จึงตัดสินใจว่าจะไปหาหมอ ตัดเรื่องที่จะรอประกันไปได้เลย เพราะตอนนั้นใจไม่เป็นสุขแล้ว ปกติจะไปรพ.แถวศรีนครินทร์ แต่วันที่จะไปไม่มีหมอเฉพาะทาง ก็เลยเลือกอีกสาขานึง ซึ่งตอนเด็กไปเป็นประจำตอนที่พ่อป่วย(นึกแล้วก็คิดถึง) หลังจากนั้นก็โทรนัดคุณหมอที่เป็นหมอเฉพาะทาง
 
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ช่วงบ่ายก็ไปรพ. ติดต่อที่แผนกศัลยกรรม คุณหมอถามว่าเป็นอะไรมาครับ ก็ตอบไปว่า "มีก้อนอยู่ที่ก้นค่ะ" แบบอ้ำๆอึ้งๆ เพราะไม่รู้ว่าใช่ริดสีดวงรึป่าว หลังจากนั้นก็ขึ้นเตียง นอนตะแคงซ้ายและโค้งตัวงอเข่า พยาบาลจะคอยบอกว่าต้องทำอะไรยังไง ต่อจากนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ😂 และได้ยินเสียงคุณหมอบอกว่า "ริดสีดวงอักเสบมากครับ" ก็คืออึ้ง เป็นไปได้ไง!! แต่เหมือนโล่งใจขึ้น ที่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ก็บอกอาการให้คุณหมอฟัง
 
เรา: ปกติเป็นคนที่ไม่ได้นั่งห้องน้ำนานและไม่ได้เบ่งถ่าย
คุณหมอ: อาจจะเป็นจากการนั่ง
เรา: ซื้อยามาทาน,ทา,เหน็บ แต่ก็ไม่ยุบเลย
คุณหมอ: ยาเหน็บใช้กับที่เป็นภายใน แต่ที่เป็นอยู่นี้คือแบบภายนอก
เรา: อึ้งเข้าไปอีก!! (เพราะอ่านมาว่าถ้าเป็นแบบภายนอก ต้องผ่าตัดแบบธรรมดา)
คุณหมอ: ต้องระวังอย่าให้ก้อนนั้นแตก แล้วก็ให้กินใยอาหารเพิ่ม
 
หลังจากนั้นก็กลับมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การถ่าย ทำทุกอย่างให้เป็นเวลา และระหว่างนี้ก็รอให้ปจด.มาให้เสร็จก่อน เพราะคิดว่าถ้าผ่าแล้ว ปจด.มา คงจะลำบากน่าดู
 
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ ก็กลับไปหาคุณหมออีกครั้ง นัดคุยเรื่องผ่าตัด
 
คุณหมอ: หายไปนานเลย นึกว่าหายแล้วซะอีก
เรา: มันยุบเองได้ด้วยหรอคะ
คุณหมอ: ได้ครับ
 ขึ้นเตียงให้คุณหมอตรวจอีกรอบ
คุณหมอ: ผิวบริเวณก้อนนั้นบางมาก และใช้ยาแล้วไม่ได้ผล ก็เป็นข้อบ่งชี้ การผ่าตัดก็จะเป็นการผ่าตัดเล็ก ให้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำ (ใช้ยาสลบ)  และการผ่าตัดนี้ไม่มีผลกระทบต่อหูรูด
เรา: ผ่าแล้วจะมีโอกาสรูทวารตีบไหมคะ
คุณหมอ: จากที่ผ่ามาเป็นพันคนก็ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งภาวะรูทวารตีบนั้นเกิดจากการรักษามาแบบผิดวิธี ก็มีมาหาคุณหมออยู่
เรา: ช่วงที่เป็น มีปวดท้องตึงๆที่ ด้านซ้ายเหนือสะดือมาหน่อย เป็นประมาณ 4 ครั้งได้ค่ะ 
หมอ: เอ้า! บริเวณที่ปวดนั้นคือลำไส้ใหญ่ ก็จะเป็นการส่องกล้อง จะทำด้วยมั้ย
เรา: ทำไปเลยก็ได้ค่ะ (คิดในใจว่า ยังไงก็ต้องสลบอยู่แล้ว ทีเดียวให้จบครบทุกหัตถการ😅)
คุณหมอ: ส่องกล้องประมาณ 15-30 นาที ผ่าริดสีดวงประมาณ 30 นาที งดน้ำงดอาหาร 6-8 ชม.ก่อนผ่าตัด งั้นนัดผ่าตอน 5 โมงเย็น ทานข้าวเช้ามาได้ แต่หลังจาก 9 โมงต้องเริ่มงดแล้ว
 
ถึงวันผ่าตัด อาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ มารพ.ตอน 8 โมงเช้า ก็ไปเจาะเลือดและน้ำเกลือ
 
เรา: ไม่เคยเจาะเลือดหรือต้องให้น้ำเกลือเลยค่ะ จะเจ็บมากมั้ยคะ
พยาบาล: จะพยายามเจาะให้ไม่เจ็บนะคะ จะได้มีความทรงจำที่ดีในการเจาะครั้งแรก
เรา: งืออออ ไม่เจ็บเลย ขอบคุณมากนะคะ🙏( first impression ก็มา😆)
 
หลังจากนั้นไปเอกซเรย์ปอดและตรวจโควิด เสร็จแล้วก็มานั่งรอเพื่อจะขึ้นไปห้องพัก สักพักพยาบาลมาบอกว่า คุณหมอขอคุยด้วยก่อนแปปนึง คิดในใจมีอะไรผิดปกติรึป่าว แล้วก็เข้าไปพบคุณหมอ
 
คุณหมอ: เป็นยังไงบ้าง
เรา: โอเคเลยค่ะ (จำได้ว่าตอบไปคำเดียวเลย ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรืออะไร😂)
คุณหมอ: เดี๋ยวจะมียาแก้แพ้และแก้อาเจียนฉีดให้ เพราะต้องทานยาถ่ายเพื่อเตรียมลำไส้ก่อนส่องกล้อง
เรา: โอเคค่ะ ขอบคุณค่ะ
คุณหมอ: ไม่ต้องกลัวนะ
การที่ได้คุยกับคุณหมอก่อนที่จะผ่าตัด ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น ช่วยลดความกังวลไปได้เยอะเลย
 
หลังจากนั้นบุรุษพยาบาลก็พาขึ้นไปห้องพัก พอ 11 โมง เริ่มทานยาถ่ายซึ่งจะผสมกับน้ำเป็นสีใสๆ ขวดละ 500ml. ทั้งหมด 4 ขวด ต้องดื่มให้หมดภายใน 2 ชม. เริ่มจากขวดแรกยังไม่รู้สึกอะไร พอจิบแรกของขวดที่ 2 เริ่มมีความรู้สึกปวดท้องจะถ่าย และหลังจากขวดที่ 2 ไปนั้น เดินเข้าออกห้องน้ำแบบไม่ได้พักกันเลยทีเดียว ถ่ายไปประมาณ 13 ครั้ง จะเริ่มจากถ่ายเป็นสีขุ่นก่อนและจะค่อยๆใสขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าถ่ายใสครั้งสุดท้ายพอดี
 
พอประมาณ 4 โมงครึ่ง พยาบาลมาใส่สายน้ำเกลือ เช็คความพร้อมและช่วยเปลี่ยนชุดมาสวมด้านหน้าผูกด้านหลัง และก็เปลี่ยนเป็นนอนเตียงที่บุรุษพยาบาลมารับไปห้องผ่าตัด
 
เมื่อเข้าไปในโซนห้องผ่าตัด มีหยุดเช็คข้อมูลและให้ใส่หมวกคลุมผม หลังจากนั้นก็เข็นต่อไปที่ห้องผ่า เป็นห้องด้านในสุด (ความรู้สึกแรกตอนเห็นห้องผ่าคือ ว้าว!! )  จากนั้นก็เปลี่ยนไปนอนเตียงผ่าตัด พยาบาลมาติดสายต่างๆ และมีแผ่นรัดไว้ที่ขาทั้งสองข้างเพื่อนวด หลังจากนั้นก็นอนฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้น เคล้าเสียงเพลงไป พยาบาลถามเป็นระยะว่าหนาวมั้ย รู้สึกว่าอุณหภูมิปกติมาก ไม่หนาวเลย และตอนนั้นรู้สึกว่าใจตัวเองนิ่งกว่าที่คิดไว้เยอะ
 
ประมาณ 5 โมงนิดๆ วิสัญญีแพทย์เข้ามา 
 
วิสัญญีแพทย์: แพ้ยาอะไรบ้างคะ
เรา: amoxicilin, Ibuprofen
วิสัญญีแพทย์: แล้วใช้ยาอะไรแทน amoxicilin
เรา: binozyt ค่ะ/ หนูกลัวว่าจะแพ้ยาสลบ จะเป็นยังไงบ้างคะ
วิสัญญีแพทย์: มียาฉีด ไม่ต้องกังวลนะ
 
พอคุณหมอเข้ามา วิสัญญีแพทย์บอกว่า คนไข้แพ้ NSAIDs (ยากลุ่มต้านการอักเสบ,แก้ปวด) คุณหมอร้องโอ้ว!😂 สักพักพยาบาลก็เอาสายมาใส่ที่จมูกพร้อมบอกว่าใส่สายออกซิเจนนะคะ..... หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปเลย
 
รู้สึกตัวตื่นมาครั้งแรก ลืมตาไม่ขึ้น!! แต่ก็พยายามเปิดตามอง เห็นม่านด้านข้างและพยาบาลอยู่ปลายเตียง คิดว่าน่าจะเป็นห้องพักฟื้น
 
เรา: กี่โมงแล้วคะ
พยาบาล: หกโมงสามสิบแปด
 แล้วก็หลับไป รู้สึกตัวอีก
พยาบาล: ปกติความดันสูงแบบนี้ตลอดเลยมั้ย
เรา: เคยลองวัดที่บ้านก็ปกติค่ะ (ตอบแบบเสียงคนเมา)
 แล้วก็หลับไป รู้สึกตัวอีก
เรา: ที่ส่องกล้องไปผลเป็นยังไงบ้างคะ
พยาบาล: ต้องคุยกับคุณหมอนะคะ
 แล้วก็หลับไป
 
ตอนตื่นขึ้นมาไม่รู้สึกเจ็บแผลเลยเพราะยังมียาชาอยู่ หลังจากนั้นก็ถูกเข็นกลับเข้าห้องพัก พยาบาลเอาผ้าอนามัยแบบห่วงมาให้ (ก็เลยพึ่งจะรู้สึกที่ก้นมีอะไรปิดอยู่ด้วย) และบอกว่า คุณหมอให้ทานเป็นอาหารปกติได้ค่ะ ตอนนั้นแค่รู้สึกหิวน้ำและเสียงแหบนิดหน่อย ประมาณ 2 ทุ่ม ก็ทานข้าว ทั้งคืนนั้นดื่มน้ำไป 5-6 ขวด แต่ก็ยังไม่รู้สึกปวดฉี่ พยาบาลเข้ามาถามเป็นระยะ เพราะตอนนั้นห้ามลุกเดินเอง เนื่องจากผลข้างเคียงของยาสลบ และต้องปัสสาวะให้ออกก่อน 7 โมงเช้า คืนแรกนอนไม่หลับเลย มีพยาบาลเดินเข้าออกตลอด และรู้สึกไม่ชินกับสถานที่ด้วย ส่วนคนเฝ้าก็คือกรนหลับไม่รู้เรื่อง555 ช่วงดึกเริ่มรู้สึกปวดแผลนิดหน่อย แต่ปวดแบบทนได้ ก็นอนปิดตาแล้วฟังเพลงไปเรื่อยทั้งคืน
 
เช้าวันจันทร์ ประมาณ  6 โมง พยาบาลก็พาไปลองนั่งห้องน้ำ ตอนที่กำลังหมุนตัวอ้อมเสาน้ำเกลือเพื่อจะนั่ง ก็มีเสียง ปุ๊ด! คือตดแบบไม่รู้ตัว😂 เขินสุดๆแต่ทำอะไรไม่ได้ พยาบาลก็ยังยืนอยู่ รอให้ฉี่เสร็จ โมเม้นต์นั้นคือไม่เหลืออะไรให้อายละ🥹 ช่วงเช้าก็ทานข้าว ทานยาหลังอาหาร หลังจากนั้นสักพัก รู้สึกตาบวม อาการเหมือนเวลาที่แพ้ยา พยาบาลบอกว่า เดี๋ยวจะบอกคุณหมอให้ พอช่วงสายก็อาบน้ำ รู้สึกสดชื่นมาก แม้ว่าเมื่อคืนจะไม่ได้นอนแต่ก็ไม่ง่วงเลย
 
ประมาณเกือบ 11 โมง คุณหมอโทรมาบอกผลจากการส่องกล้องว่า เจอก้อนเนื้อ 1 ก้อน ได้ตัดไปตรวจ ชิ้นเนื้อนั้นมีผลเป็นปกติ อีก 8 ปีค่อยตรวจใหม่ และบอกว่าเตรียมลำไส้ได้ดีมากๆ จะยังไม่ถ่ายจนถึงพรุ่งนี้หรือมะรืน ตอนนั้นรู้สึกโล่งใจไปอีก 1 เรื่อง ช่วงเย็นเพื่อนๆน้องๆ มาเยี่ยม อารมณ์แบบมีคณะตลกอยู่ในห้อง กลั้นขำสุดๆ ขำแรงไม่ได้ แผลมันตึง พอตอนค่ำคุณหมอเข้ามาดูแผล ให้เอกสารผลการส่องกล้อง และบอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้ อีก1 สัปดาห์นัดมา follow up
 
เช้าวันอังคาร ทานข้าวเช้า ทานยาหลังอาหาร ครั้งนี้รู้สึกหายใจลำบากและแน่นหน้าอกด้วย เป็นแค่แปบเดียวหลังจากนั้นก็หาย เลยไม่ได้คิดอะไร (แต่จริงๆแล้วเป็นอาการแพ้ยาที่อันตรายมาก) และเตรียมตัวกลับบ้าน พยาบาลมาถอดสายน้ำเกลือออก ช่วงเกือบ 10 โมง รู้สึกปวดอึ!! ตอนถ่ายก็คือ ไม่เจ็บเลย มีเลือดติดมากับอุจจาระด้วยนิดหน่อย ซึ่งเป็นปกติหลังผ่าตัด พอเกือบเที่ยงเภสัชเอายามาให้ บอกว่ามีอาการแพ้ยาช่วงเช้าทั้ง 2 วัน เภสัชก็โทรคุยกับคุณหมอ สรุปแพ้ยาเพิ่มอีกหนึ่งตัว และคุณหมอให้ฉีดยาแก้แพ้ก่อนกลับบ้านอีก 1 เข็ม  ตอนฉีดถามพยาบาลว่า มีคนแพ้ยาแก้แพ้บ้างมั้ย พยาบาลอมยิ้ม ผ่านไปสักพักเข้ามาถาม เป็นยังไงแพ้ยาแก้แพ้มั้ย😂😂
 
ช่วงอยู่รพ. หลังผ่ามีเลือดซึมจากแผลนิดหน่อย หลังจากนั้นก็หยุด ไม่รู้สึกเจ็บแผลเลย จะรู้สึกแค่ตึงๆ เดินได้ นั่งได้ อาบน้ำได้ ตอนนั้นคือปกติธรรมดามาก แต่เริ่มจะไม่ธรรมดาก็ตอนกลับมาอยู่บ้านนี่แหละ!
 
ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน รู้สึกง่วงมาก พอถึงบ้านหลับยาวเลย ตื่นมาทานข้าวเย็น ทานยาแล้วก็นอนต่อ ชดเชยจากที่ไม่หลับมาสองคืน ช่วงที่พักฟื้นอยู่บ้านพึ่งเข้าใจว่า กินๆนอนๆ นั้นเป็นยังไง (ปกติเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ค่อยจะได้ ถ้าว่างต้องหาอะไรทำไปเรื่อย😆) วันที่ 5 ของช่วงพักฟื้น วันนั้นถ่ายไป 3 รอบ ตอนค่ำเริ่มรู้สึกว่าแผลกลับมาซึม จากที่หยุดไปตั้งแต่วันที่ออกจากรพ.แล้ว คิดว่าแผลแยกแน่ๆ (ใช้ความรู้สึกล้วนๆ ยังไม่กล้าดูแผล กลัวว่าดูแล้วจะกลัวจนไม่กล้าทำอะไร แต่ควรจะดูดีกว่าจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไงและจะได้ระวังมากขึ้นด้วย) วันรุ่งขึ้นเลยไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกแผลปกติดี ถ้าแผลซึมก็ซับให้แห้ง ซับได้เรื่อยๆ บริเวณแผลเป็นส่วนที่ยืดหดได้ ถ้าแผลยังไม่หายดีก็สามารถกลับมาซึมได้อยู่
 
2 สัปดาห์ผ่านไปหลังจากผ่าตัด คุณหมอดูแผลแล้ว มีแผลปรินิดนึง เนื้อจะขึ้นมาเติมกลับเป็นปกติเอง และย้ำว่าต้องถ่ายนุ่มนะ ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเจ็บจากการที่แผลแยก
 
ช่วงสัปดาห์ที่ 3 จะเริ่มรู้สึกคันที่แผลหน่อยๆ เหมือนว่าแผลกำลังจะหาย และมีอยู่วันนึง ก้าวขาเข้านั่งในรถ ตอนนั่งรู้สึกเจ็บแบบจุกๆตรงแผล คิดในใจเอาอีกแล้ว!! แผลซึมอีกแน่เลย พอถึงบ้านปุ๊บ ไม่ใช่แต่แผลที่ซึม คนก็เริ่มจะซึมด้วย😂 ตอนนั้นร้องไห้เลย เพราะรู้สึกเหนื่อยและท้อมาก วันรุ่งขึ้นเลยไปหาคุณหมอ
 
เรา: ก่อนหน้านี้ขับรถครั้งนึงแล้วรู้สึกไม่โอเค ก็เลยหยุดขับ พอเมื่อวานลองขับใหม่ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
 ระหว่างที่เดินไปขึ้นเตียง
เรา: ขับรถไม่ได้หรอคะ?
คุณหมอ: ใช่ครับ มันจะเกร็งบริเวณแผล
เรา: Oh My Gosh! คือไม่รู้ว่าขับรถไม่ได้!!
คุณหมอ: ขับใกล้ๆได้นะ
เรา: คิดในใจ ใกล้แค่ไหนหนูก็ไม่กล้าขับแล้วค่ะ😅
 
รอบนี้กลับมาตั้งหลักใหม่ คิดว่าต้องพักแบบจริงจัง ระวังตัวแบบสุดๆ พยายามทำทุกอย่างให้ช้าและเบาลง
 
สัปดาห์ที่ 4 ครบ 1 เดือน (ปกติคุณหมอนัด 2 สัปดาห์ครั้ง แต่นี่ไปทุกสัปดาห์เลย😂) คุณหมอดูแผลและบอกว่า แผลตรงที่ปริกลับมาติดแล้ว ตอนนี้ไม่มีติ่งและเรียบเป็นปกติ คุณหมอบอกประมาณอีก 2 สัปดาห์ ถึงจะหยุดซึม ย้ำหมือนเดิมว่ากินไฟเบอร์และต้องถ่ายนุ่ม และบอกว่า ไม่ต้องกังวล
 
สัปดาห์ที่ 5 ก้นเริ่มกลับมาเป็นปกติ พอเช้าวันเสาร์ ตอนถ่ายรู้สึกว่าอึแข็งกว่าปกติหน่อย แผลซึมมาครั้งเดียวหลังจากนั้นก็หยุด (ทุกวันตอนเช้าเวลาถ่ายจะต้องคอยลุ้นว่าอึจะแข็งหรือนุ่ม ถ้าแข็งก็เตรียมซับได้เลย ถ้านุ่มคุณก็ได้ไปต่อ)
 
สัปดาห์ที่ 6 เป็นสัปดาห์ที่รู้สึกโอเคมากๆ เพราะเหมือนได้ก้นที่เป็นปกติกลับมา เกือบจะลืมความรู้สึกของการมีก้นโล่งๆไปแล้ว และวันอาทิตย์ไปให้คุณหมอดูแผล คุณหมอบอกว่า แผลหายแล้ว.🎉
 
การผ่าตัดครั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่า ถ้าทำทุกอย่างได้ตามที่คุณหมอบอก ก็จะฟื้นตัวได้ไวและไม่ต้องกลัวเรื่องความเจ็บ เพราะเจ็บน้อยมาก และการส่องกล้องไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เพียงแต่ต้องเตรียมลำไส้ให้ดีก่อนส่อง และสุดท้ายที่สำคัญคือ รู้สึกโชคดีมากๆที่ได้เลือกและเชื่อในฝีมือของคุณหมอ👍
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่