JJNY : อุปกิตชิงพบตร.-อัยการ│'พิธา'เฉลยต้นตอควันภาคเหนือ│5ทำเลเหลือขายอีสาน│"ปูติน"ยันติดนิวเคลียร์เบลารุสเป็นเรื่องปกติ

ด่วน! ส.ว.อุปกิตชิงพบตร.-อัยการ เจอแจ้งข้อหาร่วมฟอกเงิน-อาชญากรรมข้ามชาติ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3896419
 
 
ด่วน! ส.ว.อุปกิตชิงพบตร.-อัยการ เจอแจ้งข้อหาร่วมฟอกเงิน-อาชญากรรมข้ามชาติ เผยคดีโทษหนักเป็นส.ว.บวก 2 เท่า
 
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ว่าในวันนี้ เวลา 14.00 น. นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ได้เข้าพบผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 พนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบตามที่อัยการสูงสุดมอบหมายสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนตลิ่งชัน

โดยนายอุปกิตแจ้งความประสงค์ขอเข้าต่อสู้คดีกรณีถูกกล่าวหาดำเนินคดี พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายอุปกิตไปที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด และได้ร่วมกับพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวนได้ดำเนินการตาม ป.วิ อาญา มาตรา 134 โดยได้แจ้งให้นายอุปกิต ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาและได้แจ้งข้อหา เป็นสมาชิกวุฒิสภาสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน เป็นสมาชิกวุฒิสภาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ให้นายอุปกิตรับทราบข้อหาในชั้นสอบสวน นายอุปกิตให้การปฏิเสธ
 
โดยภายหลังการแจ้งข้อหาแล้ว ได้ทำการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากร พนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ได้เป็นบุคคลที่ถูกออกหมายเรียก หรือหมายจับแต่อย่างไร จึงได้นัดให้ผู้ต้องหาเข้าพบนัดต่อไปวันที่ 17 เม.ย. เพื่อสอบสวนดำเนินคดีต่อไป และต่อมาเมื่อคณะพนักงานอัยการซึ่งเข้าร่วมสอบสวน ได้รายงานให้อัยการสูงสุดทราบ อัยการสูงสุดได้มีบัญชาให้คณะพนักงานสอบสวนและคณะพนักงานอัยการเร่งรัดทำการสอบสวนให้ครบถ้วนแล้วเสร็จโดยเร็ว และได้กำชับให้ทำการสอบสวนด้วยความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 8 ผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภา ท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงาน องค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าพนักงาน กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน หรือกรรมการขององค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ กระทำความผิดตามหมวดนี้ ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
เเละ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 10 เจ้าพนักงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิก สภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้า หน้าที่ของรัฐ พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการ จัดการของสถาบันการเงิน หรือกรรมการขององค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใดกระทำความผิดตามหมวดนี้ ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับ ความผิดนั้น [27] กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.นี้ ผู้ใดกระทำความผิดตามหมวดนี้ ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สําหรับความผิดนั้น



 
'พิธา' เฉลยสาเหตุ ต้นตอ หมอกควันภาคเหนือ ยันต้องกล้าจัดการ ถ้าได้เป็นรัฐบาล ประกาศทันที 
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7582230

‘พิธา’ เฉลยสาเหตุ ต้นตอ หมอกควันภาคเหนือ ยันต้องกล้าจัดการ ผู้มีส่วนร่วมทำให้เกิดปัญหาต้องรับผิดชอบทั้งทางอาญาแพ่ง ลั่นถ้าได้เป็นรัฐบาล ประกาศทันที
 
วันที่ 28 มี.ค.2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเพจ Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ปัญหา PM2.5 ความว่า
 
[ ทุกตันข้าวโพดจากการเผาป่า แลกมาด้วยอากาศบริสุทธิ์และอายุขัยคนไทย ]
 
สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ PM2.5 ในภาคเหนือรุนแรงมาก บางจังหวัดเช่น เชียงใหม่ กลายเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก บางวันสถานการณ์รุนแรงเกินกว่าที่เครื่องวัดฝุ่นละอองจะวัดได้
 
ข้อเสนอในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ โดยเฉพาะด้านการป้องกัน บรรเทา และเตือนภัยคงมีคนพูดถึงไปเยอะแล้ว ผมจึงขอพูดอีกประเด็นสำคัญที่ยังไม่พูดถึงมากนัก นั่นคือต้นตอของสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
 
หลายคนรู้ปัญหาดีว่าต้นเหตุของฝุ่น PM2.5 ที่มากขนาดนี้มาจากการเผา โดยเฉพาะการเผาเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม แต่เบื้องหลังของการเผาเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม คือธุรกิจการเกษตรที่ทำธุรกิจอย่างไม่รับผิดชอบ
 
ข้อมูลจาก GISTDA เปิดเผยว่าวันที่ 26 มีนาคม 2566 เพียงวันเดียว ประเทศเมียนมา พบจุดความร้อน 10,563 จุด สปป.ลาว 9,652 จุด และไทยพบจุดความร้อนถึง 5,572 จุด สูงที่สุดในรอบ 5 ปี
 
จำนวนจุดความร้อนที่เพิ่มขึ้น สัมพันธ์กับจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10.6 ล้านไร่ ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาของประเทศลาว เมียนมา และไทย
 
สาเหตุของการเผาไม่ต้องไปหาอื่นไกล เกิดจากประเทศไทยของเราเอง ดังจะเห็นได้จากข้อมูลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ที่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 770 ล้านบาท ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 14,325 ล้านบาทในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18 เท่า
การขยายตัวของกลุ่มทุนไทยที่เข้าไปรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมในลาวและเมียนมา และเป็นที่มาของฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย
 
ทุกต้นข้าวโพด-ปาล์มน้ำมันที่มาจากการเผาป่า แลกมาด้วยอากาศบริสุทธิ์และอายุขัยคนไทย
 
จะแก้ปัญหา PM2.5 นอกจากต้องมีมาตรการผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศแล้ว สิ่งสำคัญที่จะแก้ได้จากใจกลางของปัญหา คือต้องกล้าจัดการกับต้นตอที่ทำให้เกิดการก่อมลพิษในประเทศของเราเองด้วยการประกาศนโยบาย “ไม่ยอมรับการเผาทุกกรณี”
 
ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะประกาศทันทีว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรที่นำเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะที่ผ่านด่านการค้าในภาคเหนือ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) เป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีที่มาจากการเผาเหล่านี้เข้าสู่ประเทศไทย ตัดวงจรการเผา ลบจุดแดงบนแผนที่ทางอากาศ
 
นอกจากนี้ ประเทศไทยต้องมีกฎหมายให้ผู้มีส่วนในการสร้างหมอกควันพิษต้องรับผิดชอบทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง และประชาชนสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้หากพิสูจน์ได้ว่าบริษัทใดรับซื้อหรือมีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเผาที่ทำให้เกิดมลพิษลอยเข้ามาในประเทศไทย หลักการเดียวกันกับ ‘กฎหมายหมอกควันข้ามพรมแดน’ หรือ Transboundary Haze Pollution Act ของประเทศสิงคโปร์
ในโลกยุคปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และสุขภาพแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน รัฐบาลที่จะแก้ปัญหา PM2.5 ได้ คือรัฐบาลที่พร้อมชนกับกลุ่มทุน กล้าจัดการกับบริษัทที่ไม่มีธรรมาภิบาลในการทำธุรกิจ และสามารถใช้เวทีระหว่างประเทศในการเจรจาสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาระดับภูมิภาค
 
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็จะร่วมมือและสนับสนุนกับประเทศเพื่อนบ้านในการดับไฟป่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของจุดความร้อน และฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ประชาชนทุกประเทศในอนุภูมิภาคต้องเผชิญเช่นกัน
 
การเมืองดี ระบบเศรษฐกิจที่ดี และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือเรื่องเดียวกันครับ
 
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid0D8f1mJNrEtjadkCKbsKhBqgHX7BZjkA13R35LafWAKJFLtKY95dLFm2D6gsY9PNTl 



5ทำเลหน่วยเหลือขายที่อยู่อาศัยสูงสุดในอีสาน
https://www.bangkokbiznews.com/property/1060075

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผย 5ทำเลหน่วยเหลือขายที่อยู่อาศัยสูงสุดในอีสาน ทำเลจอหอ ยืนหนึ่ง ตัวเมือง นครราชสีมาอันดับ 2 ตามมาด้วย บึงแก่นนคร ทำเลมหาลัยขอนแก่นและ บ้านใหม่-โคกกรวด
 
 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ อันดับ 1 ทำเลจอหอ จำนวน 1,337 หน่วย มูลค่า 4,239 ล้านบาท อันดับ 2 ทำเลในเมืองนครราชสีมา จำนวน 1,219 หน่วย มูลค่า 5,252 ล้านบาท  อันดับ 3 ทำเลบึงแก่นนคร จำนวน 843 หน่วย มูลค่า 2,224 ล้านบาท อันดับ 4  ทำเลม.ขอนแก่น จำนวน 815 หน่วย มูลค่า 1,620 ล้านบาท  อันดับ 5 ทำเลบ้านใหม่-โคกกรวด จำนวน 808 หน่วย มูลค่า 2,233 ล้านบาท 
โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 3,332 หน่วย มูลค่า 13,310 ล้านบาท อุปสงค์โดยรวม  พบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 2,312 หน่วย มูลค่า 8,325 ล้านบาท  ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,843 หน่วย มูลค่า 6,936 ล้านบาท และอาคารชุดเพียง 469 หน่วย มูลค่า 1,389 ล้านบาท
 
สำหรับทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรกคือ อันดับ 1 บึงแก่นนคร จำนวน 281 หน่วย มูลค่า 751.3 ล้านบาท  อันดับ 2 จอหอ จำนวน 216 หน่วย มูลค่า 688.6 ล้านบาท อันดับ 3 ในเมืองนครราชสีมา จำนวน 188 หน่วย มูลค่า 636.0 ล้านบาท  อันดับ 4 บ้านใหม่-โคกกรวด จำนวน 152 หน่วย มูลค่า 444.3 ล้านบาท และอันดับ 5 บ้านเป็ด จำนวน134 หน่วย  มูลค่า 485.3 ล้านบาท 
 
ภาพรวมจังหวัดนครราชสีมา
 
สำหรับปี 2565 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดนครราชสีมา มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 5,946 หน่วย มูลค่า 22,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 และ ร้อยละ 10.7 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 4,839 หน่วย มูลค่า 19,893 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 1,107 หน่วย มูลค่า 3,087 ล้านบาท
โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 582 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.3 มูลค่า 3,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 179.7 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 947 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 มูลค่า 4,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.4 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 4,999 หน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 มูลค่า 18,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)  
  
ภาพรวมจังหวัดขอนแก่น
 
สำหรับปี 2565 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดขอนแก่น มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 4,439 หน่วย มูลค่า 12,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.0 และ ร้อยละ 1.1 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,166 หน่วย มูลค่า 10,176 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 1,273 หน่วย มูลค่า 2,147 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,184 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 301.4 มูลค่า 2,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 204.0 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 871 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.4 มูลค่า 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 3,568 หน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 มูลค่า 9,852 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -4.3เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่