JJNY : 5in1 วิโรจน์ฉะทร.│กมธ.ทหารเบรกสอบจิรัฏฐ์│หนี้ครัวเรือนฉุดเชื่อมั่นอุตฯ│อสังหาเหนือ อ่วม!│“ย่างกุ้ง”ป่วน! วางบื้ม

วิโรจน์ ฉะ ทัพเรือ ตั้งกก.สอบ ปมหทารเกณฑ์แพร่คลิปซักชุดชั้นใน ชี้เป็นการไม่ยอมรับข้อเท็จจริง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4470133
 
 
วิโรจน์ ฉะ ทัพเรือ ตั้งกก.สอบ ปมหทารเกณฑ์แพร่คลิปซักชุดชั้นใน ชี้เป็นการไม่ยอมรับข้อเท็จจริง หวังผบ.ทร.ใช้วิจารณญาณ ไม่ฟ้องปชช.
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 13 มีนาคม ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร กล่าวถึงกรณีที่มีภาพพลทหารซักชุดชั้นในที่กำลังถูกพูดถึงในสังคมว่า ตอนนี้กฎเสนาบดีของกระทรวงกลาโหมที่นำนายทหารไปรับใช้นายทหารชั้นสูง ภรรยา และลูกนั้นได้ถูกยกเลิกไปนานแล้ว โดยทางกระทรวงกลาโหมได้ทำหนังสือชี้แจงถึงประธานกรรมาธิการการทหารว่าการกระทำเช่นนี้ของนายทหารชั้นสูงถือว่าผิดระเบียบ หมิ่นเกียรติ ศักดิ์ศรี ของนายทหาร ซึ่งต้องมีการลงโทษตามวินัย
 
เรื่องนี้มีการชี้แจงไปแล้วว่าเป็นคลิปเก่า แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อป้องปราม ความสำคัญคือหลังจากนี้จะเกิดเหตุซ้ำรอยอีกหรือไม่
ขณะที่ทางกองทัพเรือได้ให้นายทหารในคลิปออกมาแสดงตัวเพื่อสืบข้อเท็จจริงต่อไปนั้น หากกองทัพเรือดำเนินการเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับข้อเท็จจริง มีการประนีประนอมว่าหากเป็นคลิปเก่าก็ไม่เป็นไร ต้องยอมรับว่ามีภาพลักษณ์แบบนี้จริงๆ ประชาชนก็เห็นว่ามีนายทหารที่รับใช้พลทหารชั้นสูง หากจะฟ้องกลับประชาชนขอตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชนจะเป็นอย่างไร จะดีขึ้นหรือเสื่อมทรามลง เชื่อว่ากองทัพเรือมีสติปัญญามากพอ หรือถ้าไม่มีก็เชื่อว่า ผบ.ทร.คงมีอย่างแน่นอน


 
กมธ.ทหาร เบรกสอบจิรัฏฐ์ ปมหนีทหารหรือไม่ ยันเป็นคดีแล้ว หวั่นแทรกแซงการทำงานตร.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4470083

กมธ.การทหาร เบรกสอบ ‘จิรัฏฐ์’ ปมหนีทหารหรือไม่ เหตุคดีอยู่ที่ ตร. ‘วิโรจน์’ ย้ำ จะเป็นการดำเนินการสุ่มเสี่ยง หากเข้าแทรกแซง แจงทำทุกอย่างตรงไปตรงมา รับยังไม่มีความคืบหน้า หลังเรียกพยานหลักฐาน
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่13 มีนาคม ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการจับใบดำใบแดงของ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ว่า ตนเข้าใจว่า ผู้บัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) มีการดำเนินคดีไปแล้ว อยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าใจว่ามีการเชิญตัวนายทหาร 5 คนที่ลงนามมาชี้แจง ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ก็คงอยู่ในกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่นายจิรัฏฐ์ และผบ.นรด.ต้องรับผิดชอบและคงต้องขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราก็คงจะไม่เข้าไปแทรกแซง
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทาง กมธ.การทหาร ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงแล้วหรือยัง นายวิโรจน์กล่าวว่า ได้มีการส่งหลักฐานให้ ผบ.นรด.ไปแล้ว ก็ถือว่าให้เป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมกับนายจิรัฏฐ์ ตนย้ำเรื่องนี้อีกครั้งว่าทุกอย่างก็ตรงไปตรงมา เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
เมื่อถามย้ำว่า กมธ.การทหารยุติเรื่องนี้ เพื่อรอผลการสอบสวนก่อนใช่หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า “ไม่ได้ยุติ” แต่เราได้ดำเนินการไปแล้ว ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราก็ต้องปล่อยให้เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่

การดำเนินการของ กมธ.การทหาร สุ่มเสี่ยงมากๆ ว่าจะเข้าไปแทรกแซงอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเดาก็คงระมัดระวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อบังคับของ กมธ.” นายวิโรจน์กล่าว
 


หนี้ครัวเรือนฉุดเชื่อมั่นอุตฯ ส.อ.ท.รัฐตรึง ดีเซล – ก๊าซหุงต้ม
https://www.matichon.co.th/economy/news_4469752

หนี้ครัวเรือนฉุดเชื่อมั่นอุตฯ ส.อ.ท. จี้รัฐตรึงดีเซล-ก๊าซหุงต้ม
 
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อยู่ที่ระดับ 90.0 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย จาก 90.6 ในเดือนมกราคม 2567 ทั้งนี้เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีฯ พบว่ายอดขายโดยรวม คำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยลบจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพและปัญหาหนี้ครัวเรือน ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย ด้านการส่งออกยังคงชะลอตัว เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ยังอ่อนแอ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งบริเวณทะเลแดง ยังคงยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการนำเข้า-ส่งออกของไทยโดยเฉพาะตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังเผชิญปัญหาการแข่งขันด้านการตลาดสูงขึ้น รวมถึงได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ ส่งผลให้ยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยลดลง ขณะที่ต้นทุนด้านราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และผลจากมาตรการยกเว้นวีซ่าฟรี (Visa Free) ให้กับนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดียและไต้หวัน รวมถึงมาตรการ Easy E-Receipt ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ (ช่วงวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567) และมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ
 
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,316 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 85.1 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 74.3 ราคาน้ำมัน ร้อยละ 53.7 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 48.5 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 38.0 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 31.2 ตามลำดับ
 
ขณะที่ดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 100.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 98.4 ในเดือนมกราคม 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ ที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 หลังจากพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 ได้รับอนุมัติ แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในภาคเกษตรและปริมาณน้ำในภาคอุตสาหกรรม

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
 
1. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว
 
2. เสนอให้ภาครัฐต่ออายุมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และตรึงราคาก๊าซหุงต้มที่ราคา 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2567

3. สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วน การจัดซื้อจัดจ้างผู้ประกอบการ SMEs เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะในหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น


 
อสังหาเหนือ อ่วม! กู้ไม่ผ่านพุ่ง ยอดขายดิ่ง 31.9% ‘เชียงใหม่-เชียงราย’ แข่งลดราคาแหลก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4469116

อสังหาภาคเหนืออ่วมกู้ไม่ผ่านพุ่ง ยอดขายดิ่ง 31.9% เชียงใหม่-เชียงราย แข่งลดราคาแหลก
 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน
ในครึ่งหลังปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมี 16,954 หน่วย ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แบ่งเป็น

• อาคารชุด 1,795  หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3 % มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3 %
• บ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง 2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
 
แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 จำนวนหน่วยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1% ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาด 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท

มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง 31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%
คาดการณ์ปี 2567  ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเป็น 1.8%
 
จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทก่อสร้าง มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด เป็นอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ส่วนบ้านจัดสรรสร้างเสร็จ 4,040 หน่วย อยู่ระหว่างสร้าง 2,497หน่วย ซึ่งเป็นที่น่าจับตา” นายวิชัยกล่าว
 
นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับ 5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สันทราย เมืองเชียงราย แม่โจ้ ม.พายัพ และสารภี ส่วน 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ได้แก่ เมืองเชียงราย 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท สันทราย 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท ม.พายัพ 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาทและสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท
 
นายวิชัยกล่าวว่า คาดการณ์ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5%  และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้
ใหม่ 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท  และอาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท
 
จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบเชียงใหม่จะแข่งขันลดราคาบ้านจัดสรร ขายดีเป็นบ้านเดี่ยว 3-5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดเน้นของแถมมากกว่าลดราคา ขายดีราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนเชียงรายทำเลในเมืองยังได้รับความสนใจ โดยบ้านเป็นราคา 3-5 ล้านบาท อาคารชุด 1.5-2 ล้านบาท และใช้กลยุทธ์ลดราคาจูงใจในการซื้อ” นายวิชัยกล่าว
 
นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงราย ยังล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศ  เพราะเป็นเมืองรอง การท่องเที่ยวจึงขึ้นลงตามฤดูกาล ขณะที่สถานการณ์ตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวยังขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่ม 1-3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและตลาดมีสต๊อกสะสมอยู่จำนวนมา ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรง และโดยมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาท้องถิ่นรายเล็ก มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ต้องใช้กลยุทธ์ลดราคาขายเพื่อดึงกระแสเงินสดกลับมา ขณะที่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตลาดอสังหาฯเชียงรายน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่