เศรษฐาลั่น พร้อมแล้ว เป็นแคนดิเดตนายกฯ เมินอนุทิน เย้ยพวกหน้าใหม่ ไร้ประสบการณ์
https://www.matichon.co.th/politics/news_3880078
เศรษฐาลั่น พร้อมแล้ว เป็นแคนดิเดตนายกฯ เมินอนุทิน เย้ยพวกหน้าใหม่ ไร้ประสบการณ์
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 มีนาคม ที่ร้าน WHEELER BED & BIKE อ.เมือง จ.ชลบุรี แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นาย
สนธยา คุณปลื้ม แกนนำชลบุรี พรรค พท. พูดคุยเกี่ยวกับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และการสนับสนุนจากภาครัฐ กับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยนาย
เศรษฐากล่าวถึงการลงพื้นที่พบประชาชนเป็นสัปดาห์ที่ 2 เริ่มชินแล้วหรือไม่ ว่าไม่ชินหรอก มันเป็นก้าวใหม่ของชีวิต ตนเพิ่งก้าวเข้ามาก็ถือเป็นน้องใหม่
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่ถูกจับตาในสนามการเมืองมากขึ้น และนาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่เริ่มขู่ว่าจะขุดคุ้ย นาย
เศรษฐากล่าวว่า แต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป ตนมาตรงนี้ก็มั่นใจว่ามาทำเพื่อประชาชน หากบอกว่าไม่กลัวเลยก็ไม่เชิง แต่เราก็เต็มที่และมั่นใจว่าเจตนารมณ์ของเราบริสุทธิ์
เมื่อถามว่าพร้อมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พท.หรือไม่ นาย
เศรษฐากล่าวว่า “
พร้อมครับ ส่วนจำเป็นที่จะต้องมีชื่ออยู่ในรายชื่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคหรือไม่นั้น ผมว่าอย่าพูดไปถึงขนาดนั้นเลย มันจะเป็นการกดดันกรรมการบริหารพรรค ขอให้แล้วแต่กรรมการบริหารพรรค แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน วันนี้ผมขอทำหน้าที่ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยให้ดีที่สุด”
เมื่อถามว่าคิดว่าการเป็น ส.ส.ควบคู่กับตำแหน่งอื่นจะทำงานได้ดีกว่ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว เหมือนที่เคยพูดหรือไม่ นาย
เศรษฐากล่าวว่า ตนมีความเชื่อว่าฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารควรจะแยกออกจากกัน เมื่อคุณอยู่ในฝ่ายบริหารแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบในสภาด้วย
เมื่อถามถึงกรณี นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ระบุว่าบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ออกมา ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับตัวเอง เพราะหน้าเก่าก็อยู่มาแปดปี หน้าใหม่ก็ไม่มีประสบการณ์ นาย
เศรษฐากล่าวว่า นายอนุทินเป็นนักการเมืองอาวุโส คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในเวทีการเมืองมาเยอะ เมื่อท่านพูดอะไรตนก็รับฟัง และคิดว่าพรรค พท.เราใช้นโยบายนำมาโดยตลอด และเราทำงานเป็นทีม รวมทั้งมีบุคคลที่มีคุณภาพคับแก้วอยู่เต็มไปหมด ก็ฝากประชาชนพิจารณา ทั้งนี้ ตนไม่อยากพูดว่าตนมีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ ขอให้ไปถามนาย
อนุทินเอง ตนไม่อยากพูดอะไร
ขณะที่ นพ.
ชลน่านกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรประกาศให้ชัดหรือไม่ว่าจะมีการยุบสภาเมื่อไหร่ ว่าจริงๆ เขาเตรียมที่จะประกาศยุบสภาแล้ว เท่าที่ตนทราบมา ขณะนี้พระราชกฤษฎีกามีแล้ว เพียงแต่รอลงนามรับสนอง และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น เวลาที่เหลืออยู่คือวันที่ 20-22 มีนาคม แต่ก็มีหลายกระแสข่าวบอกว่าเป็นวันที่ 20 มีนาคม แต่ตนฟังจากรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดบอกว่าจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นครั้งสุดท้ายอีกวันหนึ่ง คือวันที่ 21 มีนาคม และคาดว่าจะประชุมจนถึงเวลา 16.00 น. แล้วจะประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาในสองวัน คือวันที่ 21 มีนาคม หรือวันที่ 22 มีนาคม แต่เราก็ไม่ได้กังวลว่าเขาจะประกาศหรือไม่ประกาศ ตนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการเลือกตั้งแน่นอน ซึ่งวันเลือกตั้งก็น่าจะเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม
ธนาธร-ช่อ ช่วยก้าวไกลหาเสียง ชู นโยบาย ฉุดคนพ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสังคมปัจจุบัน
https://www.matichon.co.th/election66/news_3879954
ธนาธร-ช่อ ช่วย ก.ก.หาเสียง ชูนโยบาย ฉุดคนพ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสังคมปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย น.ส.
พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ก.ก. ร่วมกิจกรรมช่วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลหาเสียงในช่วงสุดสัปดาห์
โดยเริ่มต้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ช่วย นาย
ชวลิต กงเพชร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 และ น.ส.
สุพัตรา วันตุ้ม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 2 ร่วมขบวนแห่ไปรอบเมืองกาฬสินธุ์ เปิดปราศรัยที่สวนสาธารณะกุดน้ำกิน ก่อนร่วมเดินแจกเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครและนโยบาย และขึ้นปราศรัยร่วมกับว่าที่ผู้สมัครในทั้งสองเขตที่ตลาดโต้รุ่งกาฬสินธุ์ ส่วนวันรุ่งขึ้น ได้เดินสายต่อมายัง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ร่วมเดินหาเสียงกับ นาย
วุฒิรักษ์ แพงตาแก้ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เขต 4 ที่ตลาดน้ำพอง ก่อนร่วมเปิดเวทีปราศรัยที่วัดโพธิ์ศรีโคกสูง ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น
นาย
ธนาธรกล่าวว่า ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแต่ห่างขึ้นทุกวัน สถานการณ์โควิด-19 ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมายิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ประชาชนหมดสิ้นความหวัง ในสถานการณ์แบบนี้สังคมไทยต้องมีรัฐสวัสดิการรองรับคนที่พ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสภาพสังคมปัจจุบัน ประเทศไทยวันนี้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดจำนวนลงเหลือปีละ 5 แสนคน คนไม่อยากมีลูก เพราะการมีลูกมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ยิ่งทำให้คนมีลูกน้อยลง จะแก้ปัญหานี้ได้ต้องมีรัฐสวัสดิการเท่านั้น เพื่อเป็นกลไกให้คนยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคง ไขว่คว้าหาความฝันในชีวิต เลือกเส้นทางชีวิตเดินได้
นาย
ธนาธรยังกล่าวต่อไปว่า แต่ทั้งหมดจะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการหางบประมาณมาสร้างรัฐสวัสดิการ เช่น การปฏิรูปกองทัพ ลดงบประมาณกองทัพที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ทุกวันนี้กองทัพเข้ามาทำเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่มากมาย ทั้งหวย มวย ม้า สนามกอล์ฟ รีสอร์ต หากเราสามารถยกเลิกธุรกิจกองทัพได้ ประเทศเราจะมีเงินงบประมาณคืนกลับมาได้ถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี รวมทั้งเก็บภาษีคนรวยมาดูแลคนจน เช่น ภาษีนิติบุคคลที่เรียกเก็บจากบริษัทขนาดใหญ่ ยกเลิกสิทธิ BOI ที่ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ระดับร้อยล้านพันล้านขึ้นไป ถ้าทำสำเร็จจะได้อีก 8 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงการเก็บภาษีความมั่งคั่งจากคนรวยที่มีทรัพย์สินเกิน 300 ล้านบาท จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นล้านบาทต่อปี
นาย
ธนาธรกล่าวว่า หากเพียงสามารถดึงงบประมาณเหล่านี้ออกมาจากมือของกองทัพ ระบบราชการ และนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้ การทำรัฐสวัสดิการก็ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องเดียวที่ยากคือการมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการปฏิรูปกองทัพ ระบบราชการ และระบบภาษี ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีใครกล้าพอที่จะแก้ปัญหาเรื่องยากๆ เหล่านี้ มีแต่เพียงนโยบายปะผุไปเป็นครั้งๆ วันนี้สังคมไทยยิ่งต้องการการปฏิรูปเรื่องยากๆ แบบนี้ และวันนี้มีเพียงพรรคก้าวไกลเท่านั้นที่กล้าทำ วันนี้มีเพียงพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่กล้าพูดในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
“
พรรคก้าวไกลจะต่อสู้แทนทุกท่าน พร้อมยืนเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ ผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม นี่คือเหตุผลที่มีพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา และกลายมาเป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้ ใครที่ได้เลือกพรรคอนาคตใหม่ปี 2562 แล้วรู้สึกว่าคุ้มมาก ผมขอบอกเลยว่าก้าวไกลปี 2566 ดีกว่าอนาคตใหม่ 2562 เสียอีก 4 ปีที่ผ่านมาพวกเราเรียนรู้เติบโต มีประสบการณ์และเข้มแข็งมากขึ้น ก้าวไกล 2566 จะเป็นการลงทุนที่คุ้มกว่าเดิมสำหรับทุกท่าน จ้างพวกเราไปปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนด้วยการกากบาทของทุกท่าน” นาย
ธนาธรกล่าว
หวั่นเศรษฐกิจซบ-ดอกเบี้ยพุ่งฉุดกำลังซื้ออสังหาฯร่วง
https://www.nationtv.tv/economy-business/business-marketing/378908104
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ หวั่นความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อพุ่งทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะละตัว ชี้หากเลวร้ายอาจติดลบ 14.1% ในปีนี้ ขณะที่ “พีระพงศ์” เสนอมาตรการจูงใจต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยไทยแลกกับสิทธิวีซ่า
นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยสูง และเงินเฟ้อพุ่ง อาจทำให้อสังหาฯ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ชะลอตัวลง เลวร้ายสุดอาจติดลบ 14.1% ในปีนี้ คาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ที่ 9.15 แสนล้านบาท
นอกจากนี้จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเปิดโอกาสช่วยทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัว เนื่องจากมีการซื้อที่อยู่อาศัย เช่าระยะยาว และระยะสั้น เห็นได้จากตัวเลขหลังจากที่เปิดประเทศ ปี 65 ทั่วโลกปลดล็อกการเดินทาง มูลค่าการโอนฯของต่างชาติขึ้นมาอยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท จากปี 64 อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท
โดยกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุทรปราการเป็นแหล่งยอดนิยมในการซื้อที่อยู่อาศัยมากสุด ส่วนผู้ครอบครองสูงสุดเป็นชาวจีนที่ 49% จำนวน 5,707 หน่วย รวมมูลค่า ราว 2.9 หมื่นล้านบาท
นาย
ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน กล่าวว่า นักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมากขึ้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของอสังหาฯไทย เพราะดูจากการซื้อของคนจีนเป็นกลุ่มนักธุรกิจ -นักลงทุน
สำหรับกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เกี่ยวพันการครอบครองอสังหาฯนั้น ไม่อยากให้นำประเด็นดังกล่าวมาสร้างเงื่อนไขกับชาวจีน เนื่องจากวันนี้เราต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น ขณะที่ยุโรป และสหรัฐ ก็มีปัญหา ดังนั้นแนวทางป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย ไทยสามารถใช้เงื่อนไข และหน่วยเกี่ยวข้องเข้าดูแลจัดการได้
นาย
พีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การดึงดูดต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยนั้น ต้องการให้รัฐใช้สิทธิวีซ่าเป็นการดึงดูดให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย เช่น ซื้อคอนโดฯ ราคา 3 ล้านบาท ได้วีซ่าอยู่ไทย 3 ปี ซื้อคอนโดมิเนียม 5 ล้านบาท อยู่ไทยได้นาน 5 ปี หรือ 10 ล้านบาท ได้วีซ่า 10 ปี
ทั้งนี้เนื่องจากการเข้ามาอยู่อาศัยของกลุ่มคนดังกล่าว มีอัตราการใช้จ่ายในไทยล้านบาทต่อเดือน ซึ่งทำให้ไทยมีเม็ดเงินสนับสนุนจีดีพีของประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จีนและชาวต่างชาติ มองอสังหาฯไทย เป็นบ้านหลัง 2 บ้านพักตากอากาศ และ บ้านอยู่อาศัยในวัยเกษียณ ถ้าเรามีวีซ่าให้เขาก็จะช่วยสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
JJNY : 5in1 เศรษฐาลั่นพร้อมแล้ว│ธนาธร-ช่อช่วยก้าวไกลหาเสียง│กำลังซื้ออสังหาฯร่วง│จีนปลูกทุเรียนเอง│รัสเซียหนีสงคราม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3880078
เศรษฐาลั่น พร้อมแล้ว เป็นแคนดิเดตนายกฯ เมินอนุทิน เย้ยพวกหน้าใหม่ ไร้ประสบการณ์
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 มีนาคม ที่ร้าน WHEELER BED & BIKE อ.เมือง จ.ชลบุรี แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำชลบุรี พรรค พท. พูดคุยเกี่ยวกับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และการสนับสนุนจากภาครัฐ กับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยนายเศรษฐากล่าวถึงการลงพื้นที่พบประชาชนเป็นสัปดาห์ที่ 2 เริ่มชินแล้วหรือไม่ ว่าไม่ชินหรอก มันเป็นก้าวใหม่ของชีวิต ตนเพิ่งก้าวเข้ามาก็ถือเป็นน้องใหม่
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่ถูกจับตาในสนามการเมืองมากขึ้น และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่เริ่มขู่ว่าจะขุดคุ้ย นายเศรษฐากล่าวว่า แต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป ตนมาตรงนี้ก็มั่นใจว่ามาทำเพื่อประชาชน หากบอกว่าไม่กลัวเลยก็ไม่เชิง แต่เราก็เต็มที่และมั่นใจว่าเจตนารมณ์ของเราบริสุทธิ์
เมื่อถามว่าพร้อมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พท.หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า “พร้อมครับ ส่วนจำเป็นที่จะต้องมีชื่ออยู่ในรายชื่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคหรือไม่นั้น ผมว่าอย่าพูดไปถึงขนาดนั้นเลย มันจะเป็นการกดดันกรรมการบริหารพรรค ขอให้แล้วแต่กรรมการบริหารพรรค แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน วันนี้ผมขอทำหน้าที่ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยให้ดีที่สุด”
เมื่อถามว่าคิดว่าการเป็น ส.ส.ควบคู่กับตำแหน่งอื่นจะทำงานได้ดีกว่ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว เหมือนที่เคยพูดหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนมีความเชื่อว่าฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารควรจะแยกออกจากกัน เมื่อคุณอยู่ในฝ่ายบริหารแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบในสภาด้วย
เมื่อถามถึงกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ระบุว่าบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ออกมา ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับตัวเอง เพราะหน้าเก่าก็อยู่มาแปดปี หน้าใหม่ก็ไม่มีประสบการณ์ นายเศรษฐากล่าวว่า นายอนุทินเป็นนักการเมืองอาวุโส คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในเวทีการเมืองมาเยอะ เมื่อท่านพูดอะไรตนก็รับฟัง และคิดว่าพรรค พท.เราใช้นโยบายนำมาโดยตลอด และเราทำงานเป็นทีม รวมทั้งมีบุคคลที่มีคุณภาพคับแก้วอยู่เต็มไปหมด ก็ฝากประชาชนพิจารณา ทั้งนี้ ตนไม่อยากพูดว่าตนมีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ ขอให้ไปถามนายอนุทินเอง ตนไม่อยากพูดอะไร
ขณะที่ นพ.ชลน่านกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรประกาศให้ชัดหรือไม่ว่าจะมีการยุบสภาเมื่อไหร่ ว่าจริงๆ เขาเตรียมที่จะประกาศยุบสภาแล้ว เท่าที่ตนทราบมา ขณะนี้พระราชกฤษฎีกามีแล้ว เพียงแต่รอลงนามรับสนอง และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น เวลาที่เหลืออยู่คือวันที่ 20-22 มีนาคม แต่ก็มีหลายกระแสข่าวบอกว่าเป็นวันที่ 20 มีนาคม แต่ตนฟังจากรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดบอกว่าจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นครั้งสุดท้ายอีกวันหนึ่ง คือวันที่ 21 มีนาคม และคาดว่าจะประชุมจนถึงเวลา 16.00 น. แล้วจะประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาในสองวัน คือวันที่ 21 มีนาคม หรือวันที่ 22 มีนาคม แต่เราก็ไม่ได้กังวลว่าเขาจะประกาศหรือไม่ประกาศ ตนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการเลือกตั้งแน่นอน ซึ่งวันเลือกตั้งก็น่าจะเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม
ธนาธร-ช่อ ช่วยก้าวไกลหาเสียง ชู นโยบาย ฉุดคนพ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสังคมปัจจุบัน
https://www.matichon.co.th/election66/news_3879954
ธนาธร-ช่อ ช่วย ก.ก.หาเสียง ชูนโยบาย ฉุดคนพ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสังคมปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ก.ก. ร่วมกิจกรรมช่วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลหาเสียงในช่วงสุดสัปดาห์
โดยเริ่มต้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ช่วย นายชวลิต กงเพชร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 และ น.ส.สุพัตรา วันตุ้ม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 2 ร่วมขบวนแห่ไปรอบเมืองกาฬสินธุ์ เปิดปราศรัยที่สวนสาธารณะกุดน้ำกิน ก่อนร่วมเดินแจกเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครและนโยบาย และขึ้นปราศรัยร่วมกับว่าที่ผู้สมัครในทั้งสองเขตที่ตลาดโต้รุ่งกาฬสินธุ์ ส่วนวันรุ่งขึ้น ได้เดินสายต่อมายัง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ร่วมเดินหาเสียงกับ นายวุฒิรักษ์ แพงตาแก้ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เขต 4 ที่ตลาดน้ำพอง ก่อนร่วมเปิดเวทีปราศรัยที่วัดโพธิ์ศรีโคกสูง ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น
นายธนาธรกล่าวว่า ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแต่ห่างขึ้นทุกวัน สถานการณ์โควิด-19 ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมายิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ประชาชนหมดสิ้นความหวัง ในสถานการณ์แบบนี้สังคมไทยต้องมีรัฐสวัสดิการรองรับคนที่พ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสภาพสังคมปัจจุบัน ประเทศไทยวันนี้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดจำนวนลงเหลือปีละ 5 แสนคน คนไม่อยากมีลูก เพราะการมีลูกมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ยิ่งทำให้คนมีลูกน้อยลง จะแก้ปัญหานี้ได้ต้องมีรัฐสวัสดิการเท่านั้น เพื่อเป็นกลไกให้คนยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคง ไขว่คว้าหาความฝันในชีวิต เลือกเส้นทางชีวิตเดินได้
นายธนาธรยังกล่าวต่อไปว่า แต่ทั้งหมดจะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการหางบประมาณมาสร้างรัฐสวัสดิการ เช่น การปฏิรูปกองทัพ ลดงบประมาณกองทัพที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ทุกวันนี้กองทัพเข้ามาทำเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่มากมาย ทั้งหวย มวย ม้า สนามกอล์ฟ รีสอร์ต หากเราสามารถยกเลิกธุรกิจกองทัพได้ ประเทศเราจะมีเงินงบประมาณคืนกลับมาได้ถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี รวมทั้งเก็บภาษีคนรวยมาดูแลคนจน เช่น ภาษีนิติบุคคลที่เรียกเก็บจากบริษัทขนาดใหญ่ ยกเลิกสิทธิ BOI ที่ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ระดับร้อยล้านพันล้านขึ้นไป ถ้าทำสำเร็จจะได้อีก 8 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงการเก็บภาษีความมั่งคั่งจากคนรวยที่มีทรัพย์สินเกิน 300 ล้านบาท จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นล้านบาทต่อปี
นายธนาธรกล่าวว่า หากเพียงสามารถดึงงบประมาณเหล่านี้ออกมาจากมือของกองทัพ ระบบราชการ และนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้ การทำรัฐสวัสดิการก็ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องเดียวที่ยากคือการมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการปฏิรูปกองทัพ ระบบราชการ และระบบภาษี ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีใครกล้าพอที่จะแก้ปัญหาเรื่องยากๆ เหล่านี้ มีแต่เพียงนโยบายปะผุไปเป็นครั้งๆ วันนี้สังคมไทยยิ่งต้องการการปฏิรูปเรื่องยากๆ แบบนี้ และวันนี้มีเพียงพรรคก้าวไกลเท่านั้นที่กล้าทำ วันนี้มีเพียงพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่กล้าพูดในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
“พรรคก้าวไกลจะต่อสู้แทนทุกท่าน พร้อมยืนเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ ผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม นี่คือเหตุผลที่มีพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา และกลายมาเป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้ ใครที่ได้เลือกพรรคอนาคตใหม่ปี 2562 แล้วรู้สึกว่าคุ้มมาก ผมขอบอกเลยว่าก้าวไกลปี 2566 ดีกว่าอนาคตใหม่ 2562 เสียอีก 4 ปีที่ผ่านมาพวกเราเรียนรู้เติบโต มีประสบการณ์และเข้มแข็งมากขึ้น ก้าวไกล 2566 จะเป็นการลงทุนที่คุ้มกว่าเดิมสำหรับทุกท่าน จ้างพวกเราไปปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนด้วยการกากบาทของทุกท่าน” นายธนาธรกล่าว
หวั่นเศรษฐกิจซบ-ดอกเบี้ยพุ่งฉุดกำลังซื้ออสังหาฯร่วง
https://www.nationtv.tv/economy-business/business-marketing/378908104
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ หวั่นความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อพุ่งทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะละตัว ชี้หากเลวร้ายอาจติดลบ 14.1% ในปีนี้ ขณะที่ “พีระพงศ์” เสนอมาตรการจูงใจต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยไทยแลกกับสิทธิวีซ่า
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยสูง และเงินเฟ้อพุ่ง อาจทำให้อสังหาฯ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ชะลอตัวลง เลวร้ายสุดอาจติดลบ 14.1% ในปีนี้ คาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ที่ 9.15 แสนล้านบาท
นอกจากนี้จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเปิดโอกาสช่วยทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัว เนื่องจากมีการซื้อที่อยู่อาศัย เช่าระยะยาว และระยะสั้น เห็นได้จากตัวเลขหลังจากที่เปิดประเทศ ปี 65 ทั่วโลกปลดล็อกการเดินทาง มูลค่าการโอนฯของต่างชาติขึ้นมาอยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท จากปี 64 อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท
โดยกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุทรปราการเป็นแหล่งยอดนิยมในการซื้อที่อยู่อาศัยมากสุด ส่วนผู้ครอบครองสูงสุดเป็นชาวจีนที่ 49% จำนวน 5,707 หน่วย รวมมูลค่า ราว 2.9 หมื่นล้านบาท
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน กล่าวว่า นักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมากขึ้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของอสังหาฯไทย เพราะดูจากการซื้อของคนจีนเป็นกลุ่มนักธุรกิจ -นักลงทุน
สำหรับกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เกี่ยวพันการครอบครองอสังหาฯนั้น ไม่อยากให้นำประเด็นดังกล่าวมาสร้างเงื่อนไขกับชาวจีน เนื่องจากวันนี้เราต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น ขณะที่ยุโรป และสหรัฐ ก็มีปัญหา ดังนั้นแนวทางป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย ไทยสามารถใช้เงื่อนไข และหน่วยเกี่ยวข้องเข้าดูแลจัดการได้
นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การดึงดูดต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยนั้น ต้องการให้รัฐใช้สิทธิวีซ่าเป็นการดึงดูดให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย เช่น ซื้อคอนโดฯ ราคา 3 ล้านบาท ได้วีซ่าอยู่ไทย 3 ปี ซื้อคอนโดมิเนียม 5 ล้านบาท อยู่ไทยได้นาน 5 ปี หรือ 10 ล้านบาท ได้วีซ่า 10 ปี
ทั้งนี้เนื่องจากการเข้ามาอยู่อาศัยของกลุ่มคนดังกล่าว มีอัตราการใช้จ่ายในไทยล้านบาทต่อเดือน ซึ่งทำให้ไทยมีเม็ดเงินสนับสนุนจีดีพีของประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จีนและชาวต่างชาติ มองอสังหาฯไทย เป็นบ้านหลัง 2 บ้านพักตากอากาศ และ บ้านอยู่อาศัยในวัยเกษียณ ถ้าเรามีวีซ่าให้เขาก็จะช่วยสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น