วันที่ฟ้าเปิด The Movie 10

กระทู้คำถาม
บทที่ 10 

        “ถ้าเพียงแต่ผม...”

        พระเอกภาพยนตร์นั่งอยู่ที่โขดหินใหญ่ริมลำธาร ภูวดลเค้นน้ำเสียงออกมาจากลำคอที่ดูเหมือนจะตีบตัน สาเหตุเพราะอาการสะอึกสะอื้นตามบทของปกป้องที่รู้สึกเสียใจเมื่อรู้ว่าคนไข้ที่เขารักษานั้นไม่รอด ตามความหมายถึงสิ่งที่เปราะบางอันเด่นชัดของพระเอกในนิยายนั้น ก็คือเรื่องความอ่อนไหวในการรักษาคนป่วย หากเขาไม่สามารถยื้อชีวิตของคนที่ฝากชีวิตไว้กับหมอหนุ่มได้ และนั่นคือสิ่งที่ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องวันที่ฟ้าเปิดอยากจะให้ผู้ชมสามารถสื่อความหมายนี้ได้แม้จะไม่ต้องพูดอธิบาย

        ตอนนี้รวิดาเข้าใจแล้วว่าทำไมภาวัตที่เป็นผู้คัดเลือกตัวนักแสดง ถึงใช้บทบาทนี้ในการทดสอบผู้ที่เข้ามารับการคัดเลือก เขาเข้าใจถึงสิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของการแสดงในบทนี้ที่ต้องใช้อารมณ์ร่วมกับบทบาท ความอ่อนไหวและใส่ใจกับความรู้สึกของผู้ป่วยรวมถึงญาติของผู้ป่วยนั้นจะต้องแสดงออกมาจากสีหน้า แววตาและท่าทาง ไม่มีทางที่หมอหนุ่มในป่าจะมาพูดแสดงความรู้สึกอะไรแบบนั้นให้ชาวบ้านได้รับรู้

        “ถ้าผมเป็นหมอจริง ๆ ไม่ใช่หมอเถื่อนแบบนี้ ก็คงจะช่วยชีวิตคนได้มากกว่านี้”

        ผู้รับบทตัวเอกของเรื่องแสดงท่าทางประชดประชันเหมือนตีอกชกตัวโทษแต่ตัวเองที่ไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ได้ คนที่ยืนข้าง ๆ ภูวดลคือนักแสดงหญิงที่กำลังทำสายตาไม่สบายใจไปยังทางภูวดล สักพักเธอขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มพร้อมเอื้อมมือไปแตะมือของภูวดลเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

        “อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ”

        นักแสดงชายผินหน้ามาทางนักแสดงหญิงและทำสีหน้าคลายความตึงเครียดลงไป สีหน้าที่คลายความเศร้าลงอย่างกะทันหันนั้นเหมือนได้รับความรู้สึกพิเศษจากหญิงสาวเข้าไปช่วยทำให้ดีขึ้น รอยยิ้มเล็ก ๆ ของหมอหนุ่มเริ่มผุดขึ้นมาบ้างแล้ว

        “มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือคะในการรักษา เราไม่สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ทุกคนไปได้ตลอดหรอก ฉันรู้ว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว แต่อย่าลืมว่าเราอยู่บ้านป่าแบบนี้ เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ช่วยชีวิตอะไรก็ไม่มีเหมือนที่โรงพยาบาล มันไม่ใช่ความผิดของคุณนะคะ อย่าเพิ่งเสียกำลังใจซิคะ”

        นักแสดงหญิงพูดบทดูจริงจังแต่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ตามบทแล้วเนตริยาจะเข้าใจปัญหาของปกป้องว่าเกิดจากสาเหตุใด

        “แม้คุณจะไม่ได้จบแพทย์มาแต่คุณก็สร้างคุณประโยชน์ให้ผู้คนได้ไม่แพ้คนที่จบแพทย์มาเลยนะ ไม่แน่ ถ้าคุณจบแพทย์มาก็อาจจะถูกดึงตัวไปอยู่โรงพยาบาลใหญ่ในเมือง ไม่มีโอกาสได้มาช่วยเหลือชาวบ้านที่ห่างไกลแบบนี้หรอก จริงไหม”

        ภูวดลคลายสีหน้าเศร้าลงไปจนเกือบหมด

        “คุณควรจะเลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้ว มีหมอกี่คนกันคะที่ยอมออกมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้ การไม่ได้จบแพทย์ก็ไม่ได้ขัดขวางอุดมการณ์ของคุณเลยแม้แต่น้อย”

        นักแสดงหนุ่มที่สีหน้าคลายความเศร้าเหมือนกำลังใช้ความคิด แววตาของเขาในตอนนี้ฉายแววความมุ่งมั่นออกมา

        “ขอบคุณนะครับที่มีน้ำใจ ช่วยพูดให้กำลังใจผม”

        ภูวดลพูดจบก็สบตาคู่หวานนั้นนิ่งนาน

        ตอนนี้ผู้รับบทเนตริยาแสดงท่าทางเหมือนต้องมนต์สะกดของชายหนุ่ม ฉากนี้เป็นฉากแรกที่เนตริยาจะแสดงสายตาและท่าทางที่คลายความกังวลและหมดความระแวงต่อคนที่จับตัวเธอมา จากที่ฉากก่อนหน้านี้จะมีแต่ฉากที่มีการฟาดฟันกันระหว่างพระเอกกับนางเอก นั่นจึงทำให้บทภาพยนตร์ในฉากนี้เป็นการพลิกบทบาทของนักแสดงหญิง ซึ่งในจุดนี้ผู้กำกับคิดว่าเป็นสิ่งที่ยากมาก รวิดาจึงเน้นมากกับฉากนี้

        “พรุ่งนี้เราเริ่มต้นกันใหม่นะคะ เราจะไปเยี่ยมชาวบ้านกัน เผื่อมีคนใกล้คลอด เราจะช่วยกันทำคลอด”

        นักแสดงหญิงยังคงทำน้ำเสียงอบอุ่น

        “ครับ พรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นกันใหม่ อาจจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาทำให้โลกใบนี้เบิกบานขึ้นมาได้”

        น้ำเสียงของภูวดลกลับมาแสดงความเข้มแข็งอีกครั้งตามบทบาท

        “ไม่น้อยใจอีกแล้วนะคะ”

        นักแสดงหญิงพูดพร้อมยิ้มหวาน

        “รู้ไหม วันนี้คุณทำให้ผมรู้สึกดีมาก ๆ ค่ำแล้ว เรากลับกันเถอะ ผมหิวแล้วด้วย” ผู้พูดบอกแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืน

        นักแสดงหญิงลุกขึ้นยืนและมองไปรอบตัวที่บรรยากาศสลัว ๆ พร้อมทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เดินไม่ออกก่อนจะพูด

         “ทำไมมืดเร็วอย่างนี้ เดินลำบากน่าดู”

        “ถ้าเดินลำบาก จับแขนผมไว้ละกัน”

        จากนั้นทั้งคู่ก็เดินจับมือไปตามทางเดินแคบ ๆ ออกไปจากบริเวณลำธาร จากนั้นไม่นานผู้กำกับจึงสั่ง

        “คัท”

        ทีมงานช่างกล้อง คนจัดแสง ผู้บันทึกเสียงและทีมงานอีกหลายคนลดอาการเกร็งเมื่อซีนภาพยนตร์ถูกสั่งคัทจากผู้กำกับ  รวิดาที่นั่งอยู่หลังจอมอนิเตอร์ทำสีหน้าเคร่งเครียด เธอสั่งพักกองสิบนาทีก่อนจะเรียกนักแสดงทั้งสองเข้ามาที่หน้าจอบันทึกการแสดง

 

        “ภูวดลและรุจรีเธอทั้งสองคนทำอารมณ์มาได้ถูกทางแล้ว แต่ฉันคิดว่ามีบางอย่างที่ต้องแก้ไข” ผู้กำกับแสดงความรู้สึกออกมา

        นักแสดงทั้งสองแบ่งรับแบ่งสู้กับทั้งคำชมส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือความคาดหวังจากรวิดา

        “ผู้กำกับอยากให้ผมแก้ไขตรงไหนครับ” ภูวดลพูด

        รวิดายิ้มออกมาให้ทั้งคู่เพื่อคลายความกดดัน ผู้กำกับหันหน้ามาทางภูวดลก่อนจะพูด “สำหรับเธอ ในการแสดงสีหน้าหลังจากบทพูดว่า ‘ถ้าเพียงแต่ผม...’ ฉันคิดว่าเธออาจจะเน้นอารมณ์ตรงจุดนี้มากไป พอมองภาพนี้ผ่านกล้องมันเลยดูไม่เป็นธรรมชาติ เธอลองมาดูสิ”

        ภูวดลขยับเข้าไปยังหน้าจอ เขาจ้องดูการแสดงของตัวเขาเองผ่านหน้าจอ นักแสดงพิจารณาภาพเคลื่อนไหวนั้นเขาก็เข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับพูด

        “จริงด้วยครับ มันดูโอเวอร์แอคติ้งไปเมื่อมองผ่านหน้าจอ” ภูวดลพูด

        “ซีนนี้เป็นซีนที่ต้องเล่นกับอารมณ์ที่ออกมาจากภายใน ต่างจากซีนก่อนหน้านี้ที่อารมณ์จะลื่นไหลไปตามบทบาท” รวิดาย้ำ

        “เราจะต้องถ่ายใหม่ทั้งหมดใช่ไหมครับ”

        ภูวลดพูดถึงฉากที่ถ่ายทำแบบลองเทค เป็นถ่ายทำต่อเนื่องตั้งแต่รุจรีที่รับบทเป็นเนตริยาออกมาชะเง้อมองผ่านระเบียงบ้าน เธอยังเดินผ่านนักแสดงที่รับบทเป็นคนดูแลบ้านและโต้ตอบบทสนทนา ก่อนเธอจะเดินลัดเลาะบริเวณหลังบ้านผ่านแปลงผักทะลุไปยังลำธาร จากนั้นรุจรีก็เห็นภูวดลที่รับบทเป็นปกป้องนั่งอยู่ข้างลำธาร ต่อมาทั้งคู่ก็เล่นไปตามบทบาทจนกระทั่งผู้กำกับสั่งคัท

        การถ่ายแบบลองเทคนี้รวิดาคิดว่าเป็นการดึงความสนใจของผู้ชมให้ติดตามบทภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องและไม่มีสะดุด ความยากคือการที่นักแสดงจะต้องส่งอารมณ์ให้กับนักแสดงที่แสดงร่วมกัน

        “ใช่ ในตอนที่แสดงอารมณ์ให้ลดดีกรีลงมาหน่อย พยายามทำให้ดูเป็นธรรมชาติ อย่าลืมว่าเราถ่ายภาพยนตร์ ไม่ใช่แสดงละครเวที  คนดูหนังอยากเห็นความเป็นธรรมชาติของนักแสดง แต่ละครเวทีคนดูอยากเห็นเพอร์ฟอร์แมนซ์ของนักแสดงที่ต้องสื่อสารโดยตรงกับคนดู” ผู้กำกับอธิบาย

        “ผมเข้าใจแล้วครับ” ภูวดลรับคำ

        “แล้วหนูล่ะคะ มีอะไรต้องแก้ไขไหม” รุจรีถามขึ้นมา

        รวิดามองไปยังหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะหันมาพูดกับนักแสดงสาว “ในซีนนี้เป็นซีนแรกนับตั้งแต่ถ่ายทำมาที่เนตริยาจะแสดงความอาทรต่อปกป้อง เธอจะต้องพลิกบทบาทจากความไม่ไว้ใจ จากการต่อต้านเป็นความสงสารและเห็นใจ เธออาจจะต้องเน้นตรงจุดนี้ให้มากหน่อย นั่นก็คือพยายามทำให้ความรู้สึกนั้นออกมาจากข้างในจริง ๆ”

        รุจรีทบทวนการแสดงที่เธอเพิ่งจะแสดงไป เธอเห็นด้วยกับสิ่งที่รวิดาพูด นักแสดงสาวคิดว่าการแสดงของเธอนั้นบางครั้งสายตาก็ไม่สัมพันธ์กับบทพูด เช่นบทบาทการแสดงที่เพิ่งผ่านพ้นไป บทพูดแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ แต่สายตาและท่าทางของเธอกลับไม่ได้บอกแบบนั้น

        นักแสดงอย่างรุจรีแม้จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ แต่เธอก็ทำงานและผ่านการถ่ายทำกับผู้กำกับอย่างรวิดามาหลายเทคแล้ว เธอจึงเข้าใจในสิ่งที่รวิดาพูดและรู้ว่าจะปรับปรุงการแสดงตรงไหน แม้ผู้กำกับจะพูดเพียงประโยคสั้น ๆ และไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็ตาม

        “เข้าใจแล้วค่ะผู้กำกับ หนูจะต้องใช้ภาษากายให้มากขึ้น” รุจรีพูดถึงจุดที่ต้องแก้ไข

        “เดี๋ยวเราจะเริ่มถ่ายซีนนี้ในอีกห้านาที เธอไปเตรียมตัวได้ ก่อนแสดงอย่าลืมตั้งสมาธิให้มั่นกับการแสดงนะ” ผู้กำกับสั่งนักแสดงทั้งคู่

        การถ่ายทำผ่านไปถึง 4 เทคกว่าผู้กำกับจะสั่งให้เปลี่ยนซีน แม้การถ่ายทำแบบลองเทคจะดูยากลำบากกับนักแสดงและทีมงาน แต่สำหรับนักแสดงที่ซ้อมบทบาทนี้มาอย่างชำนาญแล้ว พร้อมทั้งยังมีผู้ฝึกสอนการแสดงคอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด ทำให้นักแสดงไม่ลำบากที่จะต้องถ่ายซ้ำไปซ้ำมา แต่การแสดงบทเดิมหลาย ๆ รอบ ยิ่งจะทำให้ผู้กำกับสามารถปรับจูนอารมณ์ในการแสดงให้ออกมาตามที่ต้องการได้

        ภูวดลและรุจรีต่างโล่งใจเมื่อได้รับคำชมจากรวิดา ทั้งคู่ไปดูการแสดงของตัวเองอีกครั้งจากหน้าจอมอนิเตอร์ พร้อมผู้กำกับที่ช่วยอธิบายถึงความหมายในแต่และบทด้วย

        “ซีนนี้ผ่านแล้ว รู้ไหมว่าซีนนี้คือซีนที่จะทำให้คนดูซึ้งไปกับตัวหนัง มันเป็นหัวใจของภาพยนตร์เลยล่ะ”

        รวิดาพูดประโยคนี้จบก็ทำให้เธอนึกถึงผู้เขียนบทภาพยนตร์ ในครั้งที่รวิดานั่งประชุมอยู่กับธนิตเรื่องบทภาพยนตร์ ธนิตได้ใช้ประสบการณ์ในการทำภาพยนตร์ของเขาอธิบายว่าฉากนี้เป็นหัวใจสำคัญของนิยายหรือภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ เพราะว่าฉากนี้จะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาของตัวละครตามที่คนดูคาดหวัง คนดูจะเฝ้าลุ้นว่าเมื่อไหร่นางเอกจะเข้าใจพระเอกนะ และเหตุการณ์ไหนจะทำให้ทั้งคู่หันมาเข้าใจกัน

        ธนิตบรรจงเขียนรายละเอียดของอารมณ์นักแสดงลงไปในบทภาพยนตร์ ทำให้รวิดาสามารถใช้สิ่งนี้มากำกับนักแสดงได้ รวิดาคิดถึงข้อนี้ก็รู้สึกขอบคุณธนิตขึ้นมาอีกครั้ง

        “พวกเธอดูสิ ความรู้สึกของซีนนี้แต่งต่างจากซีนก่อนหน้าที่พวกเธอแสดงร่วมกันเลยนะ จากก่อนหน้านี้ที่มีแต่จะโกรธกันเกลียดกัน” ผู้กำกับพูด

        “เนตริยากลับกลายเป็นน่ารักอ่อนหวานขึ้นมาเลยนะคะ หนูว่าฉากก่อนหน้านี้อาจจะทำให้คนดูที่เป็นผู้ชายเกลียดเนตรไปเลยก็ได้”

        รุจรีหยอดมุขเรียกเสียงหัวเราะจากรวิดา ภูวลดและแม้กับตัวเธอเอง

        “เห็นด้วยครับ แต่พอคนดูเห็นฉากนี้แล้ว จะทำให้พวกเขาหันกลับมารักเนตริยา” ภูวดลพูดเสริม

        “น่าจะเป็นแบบนั้น” รวิดากล่าวยิ้ม ๆ กับนักแสดง

 

        กองถ่ายภาพยนตร์เริ่มถ่ายทำในจังหวัดจันทบุรีมาเกือบครบเดือนแล้ว รวิดาถ่ายทำภาพยนตร์ไปมากกว่าครึ่งเรื่อง ยังคงเหลือแต่ฉากที่ต้องถ่ายทำที่นี่อีกเพียงไม่กี่ฉาก และหลังจากนั้นกองถ่ายจะย้ายลงไปยังจังหวัดสตูลเพื่อถ่ายฉากสำคัญที่ต้องเน้นสภาพแวดล้อมจากสถานที่จริง ๆ ซึ่งจะมีเพียงนักแสดงไม่กี่คนที่จะต้องลงไปถ่ายทำที่นั่น

        “ถ่ายมาได้เยอะแล้วนะครับ ผมไม่เคยเห็นบรรยากาศการถ่ายทำภาพยนตร์มาก่อนเลยว่าพวกเขาทำยังไงกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของผมเลยครับ”  ติณณ์พูดในขณะที่กำลังนั่งพักผ่อนกับรวิดาหลังจากมื้ออาหารเย็น สายลมพัดทำให้อากาศในค่ำคืนนี้เย็นกว่าวันอื่น ๆ

        “งานเบื้องหลังนี่ดูวุ่นวายนะคะ กว่าจะออกมาเป็นภาพยนตร์สมบูรณ์ให้คนได้ชมกัน” รวิดาพูด

        “จริงครับ ทีมงานทุกคนต่างทำงานกันอย่างหนัก การถ่ายทำถึงดำเนินไปได้ด้วยดี”

        รวิดายิ้มกับความคิดของเธอเองในหัว “พอคิดย้อนไปถึงตอนที่ฉันคุยเรื่องโปรเจคนี้เล่น ๆ กับปาริชาติ ในตอนนั้นแทบจะไม่คิดเลยนะคะว่าฉันจะเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้”

        “แต่คุณก็ไม่เคยย่อท้อกับอุปสรรคที่จะทำให้คุณเดินมาไม่ถึงจุดนี้เลยนะครับ”

        “ก็ไม่เชิงว่าจะไม่ท้อหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะลองดูสักตั้งแค่นั้นเอง แต่เผอิญว่าโชคช่วยเสียก่อน” รวิดาชอบใจกับคำพูดของเธอเอง

        ติณณ์ยิ้มให้กับความถ่อมตัวของรวิดา ในใจจริง ๆ แล้วเขาคอยเป็นกำลังใจและคอยช่วยเหลือเธอทุกเรื่องที่สามารถทำได้ ส่วนเรื่องไหนที่เขาช่วยไม่ได้ด้วยแรงกาย แต่นายทหารจาก กอ.รมน. คนนี้ก็คอยแอบให้กำลังใจผู้กำกับหน้าใหม่ทุกครั้ง

        “ก็เพราะคุณไม่ยอมแพ้ไปก่อนยังไงครับ โชคถึงมาอยู่ข้างคุณ”

        รวิดาคิดว่าไม่ใช่แค่โชคอย่างเดียวที่มาอยู่ข้างเธอ แต่ยังมีชายหนุ่มคนนี้อีกด้วยที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่