(1) มันไม่รู้ว่าจะต้องใช้คำไหนบรรยายความห่วยแตก บรมห่วยแตก ของ Don’t Sleep เลยจริงๆ จนอยากจะแหกขนบความสุภาพชนที่ใช้รีวิวมาตลอด แล้วพรั่งพรูประโยคที่มีแต่อารมณ์รุนแรง กลายเป็นการรีวิวที่หยาบช้าไม่ต่างจากตัวหนัง ซึ่งเราจะไม่ทำแบบนั้น ทางออกที่ดี คือ นับ 1 ถึง 10 แล้วพยายามรวบรวมสติ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Don’t Sleep ว่าทำไมมันถึงห่วย
.
(2) ทุกองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้ ต้องใช้คำว่า “ศูนย์คะแนน” อย่างสิ้นเชิง คุณสามารถไล่ได้ตั้งแต่ การเล่าเรื่อง การตัดต่อ การแสดง การผสมเสียง การย้อมภาพ การถ่ายภาพ และอื่นๆ มันไม่มีอะไรที่มีคุณภาพในเกณฑ์ของ “หนังโรง” เลยจริงๆ มันห่วยแม้กระทั่งซับไตเติ้ลของหนัง ที่ขึ้นไม่ตรงกับปากนักแสดงหลายครั้ง แถมบางครั้งพูดไปแล้วไม่ขึ้นก็มี ไปขึ้นรวมกันประโยคหลัง (แบบนี้ก็มีด้วย?) ไวยากรณ์ที่ใช้ก็ดูแปลกๆ นั่นยังไม่พอกระทั่ง end credit ของหนังก็ยังมีความห่วยออกมาให้เห็น คือ มันขึ้นมาแบบกระตุกๆ เหมือนเฟรมเรทของภาพน้อย ทำให้เกิดความคิดในใจว่า “หนังพี่จะไม่มีดีเลยสักอย่างเลยหรอ”
.
(3) เมื่อพิจารณาจากรายชื่อใน end credit ที่ก็ดูแล้วมีการแบ่งฝ่ายทำงานกันเหมือนหนังทั่วๆ ไป แต่เหตุใด Don’t Sleep มันถึงห่วยแบบนี้ได้ ความห่วยที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ห่วยจากการที่ “หนังทุนสร้างไม่ถึง” แล้วทะเยอทะยานอยากเล่นใหญ่ หรือเป็นหนังมือสมัครเล่นทำลงช่องยูทูป หรือนักศึกษาทำส่งอาจารย์ ที่ถ้ามันจะมีปัญหาเรื่องเสียง เรื่องภาพบ้าง เราก็พอเข้าใจได้ว่าพวกเขาไม่มีทุนทรัพย์ด้านอุปกรณ์จริงๆ แต่สำหรับ Don’t Sleep นี่มันคือ “หนังฉายโรง” นะพี่ชาย คุณภาพแบบนี้มันยอมรับไม่ได้จริงๆ
.
(4) พูดถึงความห่วยด้านเทคนิคที่เห็นชัดๆ ก่อนเลย คือ เรื่องเสียง แม่เจ้า!!! ไม่น่าเชื่อว่าในปี 2024 หนังที่มิกซ์เสียงแบบนี้จะเข้ามาฉายในโรงได้(กุมขมับ) บางฉากเสียงพูดตัวละครดังจนลำโพงแทบแตก ตอนแรกคิดว่าเป็นที่ลำโพงของโรงหนัง แต่บางฉากก็ปกติ บางฉากก็เบา นี่มันไม่ปกติละ คุณภาพของเสียงบางฉากก็เหมือนใช้ไมค์โทรศัพท์มือถืออัดเสียงมา มันทั้งก้องทั้งซ่า และที่ตลกที่สุดเลย คือ ฉากที่ตัวละครคุยโทรศัพท์ในงานปาร์ตี้ เสียงเพลงมันในงานมันดังอันนี้ปกติ แต่พอตัวละครยกโทรศัพท์มาคุยปุ๊บ เสียงเพลงหายเลย? สุดยอด! โทรศัพท์รุ่นไหนตัดเสียงได้ขนาดนี้ทำขายเถอะ
.
(5) ต่อมาเรื่องการแสดง แม่เจ้าอีกรอบ!!! ไม่น่าเชื่อว่าผู้กำกับจะปล่อยผ่านมาได้จริงๆ มีหลายครั้งเลยที่ตัวละครพูดกระตุกกระตัก เข้าใจว่าคงปล่อยให้นักแสดง “ด้นสด” แหละ แต่มันไม่ใช่การด้นสดแบบที่ควรจะเป็น มันเป็นการ “ลืม” บทหวะ ลืมแบบเหมือนพูดๆ อยู่แล้วหัวว่าง หรือท่องมาไม่เป๊ะ เลยนึกว่าบทมันต้องพูดว่าอะไรวะ แล้วก็พูดต่อ แต่ประโยคนั้นมันขาดไปแล้วคุณพี่ สั่งเทคใหม่ก็ได้มั้งเนี่ย โอ๊ย! ยังไม่นับรวมบทพูดเรียงประโยคประหลาดๆ ลักษณะเหมือนคนเขียนบทไม่ใช่คนไทย มันไม่เป็นธรรมชาติ สื่ออารมณ์ไม่ได้ พูดก็ไม่เข้าปากนักแสดง คือมันไร้คุณภาพมากๆ แน่นอนมันฉุดการนักแสดงของทุกคนในเรื่อง หน้าเก่า หน้าใหม่ รวมๆ “ศูนย์คะแนน” หมดจบ ไม่ต้องแยกละ
.
(6) พูดถึงเรื่องภาพ จากข้อมูลรู้สึกว่าตัวหนังจะได้รับการสนับสนุนกล้องรุ่นใหม่จาก SONY ด้วย แต่เอาเป็นว่าต่อให้ NASA จะมาสนับสนุนกล้องอวกาศเลย คนใช้ไม่เก่งก็เท่านั้น อาจจะมีหลายคนบอกว่า อย่างน้อยข้อดีของหนังเรื่องนี้มันก็ยังถ่ายภาพ “สวย” ซึ่งก็คงต้องส่ายหน้าแรงๆ และบอกว่า ที่เห็นนั่นอะ มันคือ คุณภาพระดับมาตรฐานที่ควรจะเป็น (อะอย่างน้อยเรื่องภาพยังพออยู่ในระดับมาตรฐาน) ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องอวยหรือชมเลย ถ้าแบบนี้หนังเมื่อ 50-60 ปีก่อน ภาพสู้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ ก็จะบอกว่า “ห่วยแตก” นะสิ (แต่ถ้าเป็นภาพจากกล้องฟิล์มก็ยังกินขาดอยู่ดี)
.
(7) การถ่ายภาพไม่ใช่แค่ได้ภาพที่มีสีสันสวยงามแล้วจะบอกว่าดี ถ้าแค่นี้ใครก็ถ่ายได้ แค่กด Record ข้างๆ จัดไฟสวยๆ หน่อย ปรับโฟกัสดีๆ ภาพที่ออกมามันก็มีแนวโน้มที่จะ “ดี” แล้ว แต่ภาพยนตร์ คุณต้องมีศิลปะมากกว่านั้น ที่ดูไปยังไม่เห็นเลยว่า Don’t Sleep จะใช้ภาษาภาพ การจัดวางองค์ประกอบ หรืออะไรที่จะสร้างความโดดเด่นออกมาเลยคุณพี่ หลายฉากถ่ายโดยใช้วิธี “ถือด้วยมือ” (Handheld) จนภาพสั่นน่ารำคาญอีก บางฉากก็โคสอัพหน้านักแสดง เพื่อจะให้คนดูรู้ซึ้งถึงความหวาดกลัวที่พวกเขากำลังเผชิญ แต่ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าสุดในโรง (ถ้าใครเคยคงเข้าใจ)
.
(8) หนังเรื่องนี้ใช้อัตราส่วนภาพหลายแบบเพื่ออะไรก็ไม่รู้? ขอแม่เจ้า!!! อีกรอบดังๆ โอเคว่ามีภาพยนตร์นับพันเรื่องที่ไม่ได้มีอัตราส่วนภาพแบบเดียวกันทั้งเรื่อง หรือบางเรื่องเปลี่ยนเลนส์ข้ามยุคข้ามสมัยก็มี (แล้วไปใช้อัตราส่วนภาพแบบยุคนั้น) แต่ทั้งนี้มันต้องเพื่อเกิดการสื่อสารทางศิลปะเพื่อยกระดับตัวเรื่อง แต่ Don’t Sleep ทำไปทำไม ตรงนี้ไม่มีคำตอบ เพื่อย้อนอดีต? โลกวิญญาณ? แยกความเป็นจริง? ซึ่งไม่อาจทราบได้ คงจะมีแต่ตัวผู้กำกับเท่านั้นที่จะรู้ แล้วก็ต้องกุมขมับเพิ่มอีก 10 ครั้ง เมื่อพบว่าภาพแต่ละช่วงก็ย้อมสีเหมือนไม่ได้นัดกันมา อุ่นบ้าง เย็นบ้าง จนสงสัยว่า “หนังเรื่องนี้มันมีผู้กำกับมั้ยวะ” การแสดงก็ศูนย์ บทพูดก็ศูนย์ งานด้านภาพก็ศูนย์ เฮ้อออ…
.
(9) โดยปกติการรีวิวของที่นี่มักจะเริ่มที่การเล่าเรื่องก่อน เพราะว่ามันเป็นส่วนสำคัญที่สุดของภาพยนตร์ ไม่ว่าองค์ประกอบอื่นจะบัดซบตบชักยังไง ถ้าเรื่องมันสนุก มันก็ยังพอไปต่อได้ มีคลิปหนังสั้น มีสื่อวิดีโอมากมายที่สนุกได้โดยไม่ต้องมีคุณภาพระดับภาพยนตร์ แต่กลับกันถ้าเกิดให้ทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ ระดับฮอลลิวูด แต่เล่าเรื่องไม่เก่งก็พังกันมาให้เห็นนักต่อนักแล้ว ให้ทายว่าสำหรับ Don’t Sleep ที่ห่วยแตกมาทั้งหมดตั้งแต่ที่ร่ายยาวมา(และยังมีที่ไม่ได้เขียนอีกเยอะ) กับการนำพล็อตของผีถ้วยแก้วมาผสมกับอาการนอนไม่หลับ มันจะทำให้ภาพรวมของหนังเป็นอย่างไร
.
(10) คำตอบคือ องค์ประกอบอันนี้แหละที่เลวร้ายที่สุดเลย ซึ่งจากที่วิเคราะห์ดูแล้วมันมาจากสองปัจจัย ทั้งความทะเยอทะยานอยากลองท่ายากบวกกับความมือไม่ถึง(จากที่ร่ายยาวมาก็คงชัดแล้ว) ความบรรลัยจึงเกิดขึ้นแบบไม่ต้องสืบ แน่นอนว่ามีหนังจำนวนไม่น้อยที่พยายามหาวิธีดำเนินเรื่องที่สร้างสรรค์เพื่อสร้างความสนุกให้กับคนดู แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ มันต้อง “ดูรู้เรื่อง” แต่สำหรับ Don’t Sleep มันห่างไกลจากจุดนี้เหลือเกิน จนจบเรื่องยังดูไม่ออกเลยว่า ตกลงใครเป็นตัวละครนำกันแน่? นี่ยังไม่ต้องนับว่ามันต้องทำให้ดูสนุกอีก ใช่ นี่เป็นหนังผีที่ทั้งดูไม่รู้เรื่องแล้วก็ไร้ซึ่งอารมณ์สนุก(จากความน่ากลัว)อย่างสิ้นเชิง
.
(11) นั่นยังไม่พอเชื่อว่าคนที่ได้ดูต้องมีความสงสัยแน่ๆ ว่า “แล้วมันเกี่ยวกับการนอนไม่หลับยังไงวะ” ในขณะที่หนังยังไม่ผ่านครึ่งเรื่อง เพราะเท่าที่เห็น คือ การนำภาพยนตร์ไอเดียบรรเจิดอย่าง Talk to me (2022) ของ A24 มาทำซ้ำแบบทื่อๆ แค่นั้น (โอเคจะบอกว่าได้เป็นแรงบันดาลใจก็ได้) มันเหมือนเส้นเรื่องหลักของเรื่องยังไม่ได้เล่าเลย ท่ามกลางความงุนงง หนังก็ดำเนินผ่านประมาณครึ่งเรื่องไป พร้อมกับขึ้นตัวหนังสือที่เป็นชื่อเรื่อง จนต้องร้อง ว้าว!! และบรรจุได้ว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันแค่ “เกริ่นนำเรื่อง” เพื่อเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักที่อยู่ในตัวอย่างหนัง
.
(12) ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิด มีภาพยนตร์ที่ใช้กลยุทธิ์นี้อยู่(บ้าง)เหมือนกัน แต่มันต้องนำมาซึ่ง “ความเซอร์ไพร์ส” ในแบบที่ยกระดับหนังของคุณได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย ตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือ One Cut of the Dead (2017) ที่เป็นเพชรล้ำค่าของวิธีการนี้ แต่กับ Don’t Sleep ยังไม่เห็นเลยว่า คุณพี่จะใช้วิธีการนี้ทำพระแสงอะไร ในเมื่อครึ่งแรกกับครึ่งหลังของเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นนัก อาจจะดีขึ้นในแง่ของการถ่ายทำและการเล่าเรื่องที่ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเหมือนเปลี่ยนผู้กำกับ แต่โดยรวมมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะมันก็ยังมีความห่วยปรากฏให้เห็นอยู่ดี(เรื่องเสียงนี่เป็นทั้งเรื่อง)
.
(13) เชื่อแล้วว่าคุณผู้กำกับท่านนี้ น่าจะเป็นพวกชอบลองท่ายากจริงๆ นอกจากการเกริ่นนำสุดแสนยาวนานที่ไร้ประสิทธิภาพนั่นแล้ว เขายังบรรจงใส่ตัวละครที่ Breaking the Fourth Wall มาด้วย และดูเหมือนมีปมกับเครื่องดื่มชูกำลังแปลกๆ ตัวละครที่ว่านี้อยู่ๆ ก็หันมาคุยกับกล้อง(คนดู) แล้วก็เริ่มพรั่งพรูผลกระทบต่อสุขภาพอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยท่าทางเหมือนโฆษณาอินดี้สักตัว(ทำหน้าแข็งๆ พูดไวๆ) ซึ่งมันเป็นความตลกขั้นสุดเท่าที่เคยเห็นมา แน่นอนว่าใครก็ตามหลังจากนี้ถ้าอยากจะลองใช้วิธีนี้ก็ขอให้ดู Don’t Sleep เป็นตัวอย่าง (และที่มันไม่มีใครเคยทำก็เป็นเพราะว่ามันไม่เวิร์ค) ปิดท้ายด้วยการใส่ Chapter แบ่งบทที่ไร้รสนิยมมาก ให้อารมณ์เหมือนคุณครูชั้น ป.5 สั่งให้นักเรียนตกแต่งใบงานหรือรายงานด้วยดินสอสี คำถามตอนนั้นก็เกิดขึ้นเหมือนกันว่า ทำเพื่ออะไร? โตมาจนป่านนี้เวลาทำเอกสารบริษัทก็ไม่ได้ตกแต่งนะ
.
(14) เป็นที่ชัดเจนเลยว่านี่คือผลงานจากผู้กำกับที่อ่อนประสบการณ์แบบสุดๆ และก็ไม่สงสัยเพราะจากข้อมูลก็บอกแล้วว่า Don’t Sleep เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้(ขอไม่บอกชื่อละกัน) น่าแปลกใจมากกว่าว่า หนังถูกอนุมัติให้สร้างได้อย่างไร? แต่พอไปดูชื่อสตูดิโอก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที (ไม่ต่างกัน) แต่ที่แย่กว่า คือ โรงหนังที่เอาภาพยนตร์เรื่องนี้มาฉาย เข้าใจว่าหนังไทยควรสนับสนุน แต่หนังคุณภาพแบบนี้มันควรรึเปล่า? คุณเอามาฉายเก็บเงินคนดูนะ ฉายฟรีว่าไปอย่าง แล้วไม่นึกถึงภาพลักษณ์ของวงการ สมมติมีชาวต่างชาติมาดูเรื่องนี้ เขาจะคิดอย่างไร หนังไทยทำได้แค่นี้หรอ? ทำแบบนี้มันดูถูกคนดูมาก
Story Decoder
[รีวิว] Don’t Sleep - อย่าลองของ ศูนย์คะแนนมีจริง ไม่เชื่ออย่าพิสูจน์ เดี๋ยวจะลุกออกจากโรงไม่ทัน
.
(2) ทุกองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้ ต้องใช้คำว่า “ศูนย์คะแนน” อย่างสิ้นเชิง คุณสามารถไล่ได้ตั้งแต่ การเล่าเรื่อง การตัดต่อ การแสดง การผสมเสียง การย้อมภาพ การถ่ายภาพ และอื่นๆ มันไม่มีอะไรที่มีคุณภาพในเกณฑ์ของ “หนังโรง” เลยจริงๆ มันห่วยแม้กระทั่งซับไตเติ้ลของหนัง ที่ขึ้นไม่ตรงกับปากนักแสดงหลายครั้ง แถมบางครั้งพูดไปแล้วไม่ขึ้นก็มี ไปขึ้นรวมกันประโยคหลัง (แบบนี้ก็มีด้วย?) ไวยากรณ์ที่ใช้ก็ดูแปลกๆ นั่นยังไม่พอกระทั่ง end credit ของหนังก็ยังมีความห่วยออกมาให้เห็น คือ มันขึ้นมาแบบกระตุกๆ เหมือนเฟรมเรทของภาพน้อย ทำให้เกิดความคิดในใจว่า “หนังพี่จะไม่มีดีเลยสักอย่างเลยหรอ”
.
(3) เมื่อพิจารณาจากรายชื่อใน end credit ที่ก็ดูแล้วมีการแบ่งฝ่ายทำงานกันเหมือนหนังทั่วๆ ไป แต่เหตุใด Don’t Sleep มันถึงห่วยแบบนี้ได้ ความห่วยที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ห่วยจากการที่ “หนังทุนสร้างไม่ถึง” แล้วทะเยอทะยานอยากเล่นใหญ่ หรือเป็นหนังมือสมัครเล่นทำลงช่องยูทูป หรือนักศึกษาทำส่งอาจารย์ ที่ถ้ามันจะมีปัญหาเรื่องเสียง เรื่องภาพบ้าง เราก็พอเข้าใจได้ว่าพวกเขาไม่มีทุนทรัพย์ด้านอุปกรณ์จริงๆ แต่สำหรับ Don’t Sleep นี่มันคือ “หนังฉายโรง” นะพี่ชาย คุณภาพแบบนี้มันยอมรับไม่ได้จริงๆ
.
(4) พูดถึงความห่วยด้านเทคนิคที่เห็นชัดๆ ก่อนเลย คือ เรื่องเสียง แม่เจ้า!!! ไม่น่าเชื่อว่าในปี 2024 หนังที่มิกซ์เสียงแบบนี้จะเข้ามาฉายในโรงได้(กุมขมับ) บางฉากเสียงพูดตัวละครดังจนลำโพงแทบแตก ตอนแรกคิดว่าเป็นที่ลำโพงของโรงหนัง แต่บางฉากก็ปกติ บางฉากก็เบา นี่มันไม่ปกติละ คุณภาพของเสียงบางฉากก็เหมือนใช้ไมค์โทรศัพท์มือถืออัดเสียงมา มันทั้งก้องทั้งซ่า และที่ตลกที่สุดเลย คือ ฉากที่ตัวละครคุยโทรศัพท์ในงานปาร์ตี้ เสียงเพลงมันในงานมันดังอันนี้ปกติ แต่พอตัวละครยกโทรศัพท์มาคุยปุ๊บ เสียงเพลงหายเลย? สุดยอด! โทรศัพท์รุ่นไหนตัดเสียงได้ขนาดนี้ทำขายเถอะ
.
(5) ต่อมาเรื่องการแสดง แม่เจ้าอีกรอบ!!! ไม่น่าเชื่อว่าผู้กำกับจะปล่อยผ่านมาได้จริงๆ มีหลายครั้งเลยที่ตัวละครพูดกระตุกกระตัก เข้าใจว่าคงปล่อยให้นักแสดง “ด้นสด” แหละ แต่มันไม่ใช่การด้นสดแบบที่ควรจะเป็น มันเป็นการ “ลืม” บทหวะ ลืมแบบเหมือนพูดๆ อยู่แล้วหัวว่าง หรือท่องมาไม่เป๊ะ เลยนึกว่าบทมันต้องพูดว่าอะไรวะ แล้วก็พูดต่อ แต่ประโยคนั้นมันขาดไปแล้วคุณพี่ สั่งเทคใหม่ก็ได้มั้งเนี่ย โอ๊ย! ยังไม่นับรวมบทพูดเรียงประโยคประหลาดๆ ลักษณะเหมือนคนเขียนบทไม่ใช่คนไทย มันไม่เป็นธรรมชาติ สื่ออารมณ์ไม่ได้ พูดก็ไม่เข้าปากนักแสดง คือมันไร้คุณภาพมากๆ แน่นอนมันฉุดการนักแสดงของทุกคนในเรื่อง หน้าเก่า หน้าใหม่ รวมๆ “ศูนย์คะแนน” หมดจบ ไม่ต้องแยกละ
.
(6) พูดถึงเรื่องภาพ จากข้อมูลรู้สึกว่าตัวหนังจะได้รับการสนับสนุนกล้องรุ่นใหม่จาก SONY ด้วย แต่เอาเป็นว่าต่อให้ NASA จะมาสนับสนุนกล้องอวกาศเลย คนใช้ไม่เก่งก็เท่านั้น อาจจะมีหลายคนบอกว่า อย่างน้อยข้อดีของหนังเรื่องนี้มันก็ยังถ่ายภาพ “สวย” ซึ่งก็คงต้องส่ายหน้าแรงๆ และบอกว่า ที่เห็นนั่นอะ มันคือ คุณภาพระดับมาตรฐานที่ควรจะเป็น (อะอย่างน้อยเรื่องภาพยังพออยู่ในระดับมาตรฐาน) ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องอวยหรือชมเลย ถ้าแบบนี้หนังเมื่อ 50-60 ปีก่อน ภาพสู้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ ก็จะบอกว่า “ห่วยแตก” นะสิ (แต่ถ้าเป็นภาพจากกล้องฟิล์มก็ยังกินขาดอยู่ดี)
.
(7) การถ่ายภาพไม่ใช่แค่ได้ภาพที่มีสีสันสวยงามแล้วจะบอกว่าดี ถ้าแค่นี้ใครก็ถ่ายได้ แค่กด Record ข้างๆ จัดไฟสวยๆ หน่อย ปรับโฟกัสดีๆ ภาพที่ออกมามันก็มีแนวโน้มที่จะ “ดี” แล้ว แต่ภาพยนตร์ คุณต้องมีศิลปะมากกว่านั้น ที่ดูไปยังไม่เห็นเลยว่า Don’t Sleep จะใช้ภาษาภาพ การจัดวางองค์ประกอบ หรืออะไรที่จะสร้างความโดดเด่นออกมาเลยคุณพี่ หลายฉากถ่ายโดยใช้วิธี “ถือด้วยมือ” (Handheld) จนภาพสั่นน่ารำคาญอีก บางฉากก็โคสอัพหน้านักแสดง เพื่อจะให้คนดูรู้ซึ้งถึงความหวาดกลัวที่พวกเขากำลังเผชิญ แต่ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าสุดในโรง (ถ้าใครเคยคงเข้าใจ)
.
(8) หนังเรื่องนี้ใช้อัตราส่วนภาพหลายแบบเพื่ออะไรก็ไม่รู้? ขอแม่เจ้า!!! อีกรอบดังๆ โอเคว่ามีภาพยนตร์นับพันเรื่องที่ไม่ได้มีอัตราส่วนภาพแบบเดียวกันทั้งเรื่อง หรือบางเรื่องเปลี่ยนเลนส์ข้ามยุคข้ามสมัยก็มี (แล้วไปใช้อัตราส่วนภาพแบบยุคนั้น) แต่ทั้งนี้มันต้องเพื่อเกิดการสื่อสารทางศิลปะเพื่อยกระดับตัวเรื่อง แต่ Don’t Sleep ทำไปทำไม ตรงนี้ไม่มีคำตอบ เพื่อย้อนอดีต? โลกวิญญาณ? แยกความเป็นจริง? ซึ่งไม่อาจทราบได้ คงจะมีแต่ตัวผู้กำกับเท่านั้นที่จะรู้ แล้วก็ต้องกุมขมับเพิ่มอีก 10 ครั้ง เมื่อพบว่าภาพแต่ละช่วงก็ย้อมสีเหมือนไม่ได้นัดกันมา อุ่นบ้าง เย็นบ้าง จนสงสัยว่า “หนังเรื่องนี้มันมีผู้กำกับมั้ยวะ” การแสดงก็ศูนย์ บทพูดก็ศูนย์ งานด้านภาพก็ศูนย์ เฮ้อออ…
.
(9) โดยปกติการรีวิวของที่นี่มักจะเริ่มที่การเล่าเรื่องก่อน เพราะว่ามันเป็นส่วนสำคัญที่สุดของภาพยนตร์ ไม่ว่าองค์ประกอบอื่นจะบัดซบตบชักยังไง ถ้าเรื่องมันสนุก มันก็ยังพอไปต่อได้ มีคลิปหนังสั้น มีสื่อวิดีโอมากมายที่สนุกได้โดยไม่ต้องมีคุณภาพระดับภาพยนตร์ แต่กลับกันถ้าเกิดให้ทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ ระดับฮอลลิวูด แต่เล่าเรื่องไม่เก่งก็พังกันมาให้เห็นนักต่อนักแล้ว ให้ทายว่าสำหรับ Don’t Sleep ที่ห่วยแตกมาทั้งหมดตั้งแต่ที่ร่ายยาวมา(และยังมีที่ไม่ได้เขียนอีกเยอะ) กับการนำพล็อตของผีถ้วยแก้วมาผสมกับอาการนอนไม่หลับ มันจะทำให้ภาพรวมของหนังเป็นอย่างไร
.
(10) คำตอบคือ องค์ประกอบอันนี้แหละที่เลวร้ายที่สุดเลย ซึ่งจากที่วิเคราะห์ดูแล้วมันมาจากสองปัจจัย ทั้งความทะเยอทะยานอยากลองท่ายากบวกกับความมือไม่ถึง(จากที่ร่ายยาวมาก็คงชัดแล้ว) ความบรรลัยจึงเกิดขึ้นแบบไม่ต้องสืบ แน่นอนว่ามีหนังจำนวนไม่น้อยที่พยายามหาวิธีดำเนินเรื่องที่สร้างสรรค์เพื่อสร้างความสนุกให้กับคนดู แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ มันต้อง “ดูรู้เรื่อง” แต่สำหรับ Don’t Sleep มันห่างไกลจากจุดนี้เหลือเกิน จนจบเรื่องยังดูไม่ออกเลยว่า ตกลงใครเป็นตัวละครนำกันแน่? นี่ยังไม่ต้องนับว่ามันต้องทำให้ดูสนุกอีก ใช่ นี่เป็นหนังผีที่ทั้งดูไม่รู้เรื่องแล้วก็ไร้ซึ่งอารมณ์สนุก(จากความน่ากลัว)อย่างสิ้นเชิง
.
(11) นั่นยังไม่พอเชื่อว่าคนที่ได้ดูต้องมีความสงสัยแน่ๆ ว่า “แล้วมันเกี่ยวกับการนอนไม่หลับยังไงวะ” ในขณะที่หนังยังไม่ผ่านครึ่งเรื่อง เพราะเท่าที่เห็น คือ การนำภาพยนตร์ไอเดียบรรเจิดอย่าง Talk to me (2022) ของ A24 มาทำซ้ำแบบทื่อๆ แค่นั้น (โอเคจะบอกว่าได้เป็นแรงบันดาลใจก็ได้) มันเหมือนเส้นเรื่องหลักของเรื่องยังไม่ได้เล่าเลย ท่ามกลางความงุนงง หนังก็ดำเนินผ่านประมาณครึ่งเรื่องไป พร้อมกับขึ้นตัวหนังสือที่เป็นชื่อเรื่อง จนต้องร้อง ว้าว!! และบรรจุได้ว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันแค่ “เกริ่นนำเรื่อง” เพื่อเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักที่อยู่ในตัวอย่างหนัง
.
(12) ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิด มีภาพยนตร์ที่ใช้กลยุทธิ์นี้อยู่(บ้าง)เหมือนกัน แต่มันต้องนำมาซึ่ง “ความเซอร์ไพร์ส” ในแบบที่ยกระดับหนังของคุณได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย ตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือ One Cut of the Dead (2017) ที่เป็นเพชรล้ำค่าของวิธีการนี้ แต่กับ Don’t Sleep ยังไม่เห็นเลยว่า คุณพี่จะใช้วิธีการนี้ทำพระแสงอะไร ในเมื่อครึ่งแรกกับครึ่งหลังของเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นนัก อาจจะดีขึ้นในแง่ของการถ่ายทำและการเล่าเรื่องที่ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเหมือนเปลี่ยนผู้กำกับ แต่โดยรวมมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะมันก็ยังมีความห่วยปรากฏให้เห็นอยู่ดี(เรื่องเสียงนี่เป็นทั้งเรื่อง)
.
(13) เชื่อแล้วว่าคุณผู้กำกับท่านนี้ น่าจะเป็นพวกชอบลองท่ายากจริงๆ นอกจากการเกริ่นนำสุดแสนยาวนานที่ไร้ประสิทธิภาพนั่นแล้ว เขายังบรรจงใส่ตัวละครที่ Breaking the Fourth Wall มาด้วย และดูเหมือนมีปมกับเครื่องดื่มชูกำลังแปลกๆ ตัวละครที่ว่านี้อยู่ๆ ก็หันมาคุยกับกล้อง(คนดู) แล้วก็เริ่มพรั่งพรูผลกระทบต่อสุขภาพอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยท่าทางเหมือนโฆษณาอินดี้สักตัว(ทำหน้าแข็งๆ พูดไวๆ) ซึ่งมันเป็นความตลกขั้นสุดเท่าที่เคยเห็นมา แน่นอนว่าใครก็ตามหลังจากนี้ถ้าอยากจะลองใช้วิธีนี้ก็ขอให้ดู Don’t Sleep เป็นตัวอย่าง (และที่มันไม่มีใครเคยทำก็เป็นเพราะว่ามันไม่เวิร์ค) ปิดท้ายด้วยการใส่ Chapter แบ่งบทที่ไร้รสนิยมมาก ให้อารมณ์เหมือนคุณครูชั้น ป.5 สั่งให้นักเรียนตกแต่งใบงานหรือรายงานด้วยดินสอสี คำถามตอนนั้นก็เกิดขึ้นเหมือนกันว่า ทำเพื่ออะไร? โตมาจนป่านนี้เวลาทำเอกสารบริษัทก็ไม่ได้ตกแต่งนะ
.
(14) เป็นที่ชัดเจนเลยว่านี่คือผลงานจากผู้กำกับที่อ่อนประสบการณ์แบบสุดๆ และก็ไม่สงสัยเพราะจากข้อมูลก็บอกแล้วว่า Don’t Sleep เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้(ขอไม่บอกชื่อละกัน) น่าแปลกใจมากกว่าว่า หนังถูกอนุมัติให้สร้างได้อย่างไร? แต่พอไปดูชื่อสตูดิโอก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที (ไม่ต่างกัน) แต่ที่แย่กว่า คือ โรงหนังที่เอาภาพยนตร์เรื่องนี้มาฉาย เข้าใจว่าหนังไทยควรสนับสนุน แต่หนังคุณภาพแบบนี้มันควรรึเปล่า? คุณเอามาฉายเก็บเงินคนดูนะ ฉายฟรีว่าไปอย่าง แล้วไม่นึกถึงภาพลักษณ์ของวงการ สมมติมีชาวต่างชาติมาดูเรื่องนี้ เขาจะคิดอย่างไร หนังไทยทำได้แค่นี้หรอ? ทำแบบนี้มันดูถูกคนดูมาก
Story Decoder