‘อนุสรณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ ปฏิเสธความรับผิดชอบ ทุนจีนสีเทาเฟื่องฟู ในยุครัฐบาลตัวเอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3833065
‘อนุสรณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ ปฏิเสธความรับผิดชอบทุนจีนสีเทาเฟื่องฟูในยุครัฐบาลตัวเองไม่ได้ จี้ตอบคำถาม ที่ดิน รทสช.-ความสัมพันธ์ ส.ว.ทรงเอ
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ นาย
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี น.ส.
ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุ รัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุยปราบมาเฟีย ดำเนินคดีทุนจีนสีเทา ขอ พท.อย่าละเว้นตรวจสอบปมซุกทรัพย์สินเป็นโครงการบ้านหรูว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่การตอบโต้แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่เกิดประโยชน์ ขว้างงูไม่พ้นคอ จนเหมือนทำให้ไม่เหลือความจริงแม้แต่นิดเดียว ต้องยอมรับว่า พล.อ.
ประยุทธ์ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือไปตั้งนานแล้ว บอกว่าจะไม่รัฐประหาร ก็รัฐประหาร บอกว่าขอเวลาอยู่ไม่นาน ก็ปาเข้าไป 10 ปี บอกว่าไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองถึง 2 พรรค พล.อ.
ประยุทธ์ไม่มีความน่าเชื่อถือในสภา จึงอาจใช้วิชามารลอกการเมืองแบบเก่า ตัดตอนความจริง สร้างวาทกรรมบิดเบือนว่า รัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ไม่มีขายบ้านแถมสัญชาติ ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงไปมาก
นาย
อนุสรณ์กล่าวต่อว่า
1. รัฐบาล
ประยุทธ์สารภาพกลางสภาว่า พล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เซ็นอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย พล.อ.
อนุพงษ์ไม่ใช่พนักงานส่งเอกสาร หากการดำเนินการในขั้นตอนก่อนหน้าไม่ถูกต้องย่อมสามารถระงับยับยั้งได้ แต่ทำไมรัฐบาล
ประยุทธ์ไม่ยับยั้ง
2. การได้สัญชาติเกิดขึ้นก่อนการซื้อบ้าน 2 เรื่องนี้จึงเป็นคนละประเด็น ไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้ การซื้อบ้านเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 2557 และไม่ได้ซื้อกระจุกตัวในโครงการเดียว แต่เป็นการกระจายซื้อในหลายโครงการ รัฐบาลตอบโต้แบบนี้ ขว้างงูไม่พ้นคอ
3. ธุรกิจทุนสีเทาไม่ได้เฟื่องฟูมานานเป็น 10 ปีอย่างที่พยายามบิดเบือน แต่เฟื่องฟูในยุครัฐบาล
ประยุทธ์ ที่มี พล.อ.
ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
4. นาย
ตู้ห่าวไม่เคยบริจาคเงินให้พรรค พท.แต่เคยบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเสนอชื่อ พล.อ.
ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น พล.อ.
ประยุทธ์ต้องตอบคำถามนี้ จะหนีอย่างไรก็หนีไม่ออก
“
5. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกแถลงการณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเช่าอาคารสถานที่ของ ส.ว.ทรงเอ ที่ถูกพาดพิงในการอภิปราย 152 ในสภา อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกพรรค หลังจากที่พรรครวมไทยสร้างชาติใช้อาคารสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ทำการพรรค แต่ไม่ได้ตอบคำถามว่าอาคารสถานที่ดังกล่าวเป็นของ ส.ว.ทรงเอจริงหรือไม่ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร ความจริงเรื่องนี้ผมไม่ได้อยากตอบโต้อะไร แต่ขอใช้สิทธิชี้แจงอย่างสร้างสรรค์ตรงไปตรงมา รัฐบาลและลูกหาบไม่ควรตะแบงใช้วาทกรรมลวง บิดเบือนตัดตอนความจริง กล่าวหาใส่ร้ายคนอื่น” นาย
อนุสรณ์กล่าว
โรม เปิดหลักฐาน ‘ส.ว.ทรงเอ’ ยื่นทรัพย์สินเท็จ ท้า ตร.กล้าหรือไม่ ยึดตึก รทสช. พรรคบิ๊กตู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3833031
‘โรม’ เปิดหลักฐาน สู้กลับ ‘อุปกิต’ แสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ ปมขายโรงแรมอัลลัวร์ รีสอร์ท จ่อยื่น ป.ป.ช.สัปดาห์นี้ วินิจฉัยฟันพ้น ส.ว. ท้า ตร. กล้ายึดอาคารพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ จี้ ‘ประยุทธ์’ อย่าหนีความรับผิดชอบ ตอบสังคม ทำไมตำรวจรับผิดชอบคดี ‘ตุน มิน ลัต’ โดนย้าย
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวกล่าวหา นาย
อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เปิดโปงกรณี ‘
ไทยดำ-จีนเทา’ พาดพิงนาย
อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. จนถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท เรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมได้เปิดหลักฐานเพิ่มเติมกรณีดังกล่าว นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า จากการอภิปรายของตน ระบุว่า นาย
อุปกิตเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการของบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด (Allure Group) ซึ่งถูกเชื่อมโยงว่าเป็นบริษัทเพื่อฟอกเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายของนาย
ตุนมินลัต นักธุรกิจชาวเมียนมา แต่ต่อมาเมื่อมีการจับกุมนาย
ตุนมินลัต นาย
อุปกิตก็รีบออกมาชี้แจงว่าได้ขายหุ้นและลาออกจากตำแหน่งกรรมการของ Allure Group และ Myanmar Allure แล้วในปี 2562 ก่อนรับตำแหน่ง ส.ว. รวมถึงโรงแรม Allure Resort ก็ขายไปแล้ว และยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียบร้อย แต่ครั้งนี้ ตนจะมาพูดถึงการขายหุ้นขายโรงแรมที่
อุปกิตอ้างว่าทำไปแล้วก่อนมาเป็น ส.ว.ว่าจริงเท็จอย่างไร
นาย
รังสิมันต์ยังกล่าวหาอีกว่า เนื่องจากหนึ่งในเอกสารที่นาย
อุปกิตยื่นประกอบบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. คือเอกสารสัญญาซื้อขายอาคารและกิจการโรงแรม ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เนื้อหาสัญญาระบุว่า นาย
อุปกิต ซึ่งเป็นผู้ขาย ทำสัญญากับนาย
ชาคริส กาจกำจรเดช ผู้ซื้อ ว่าตกลงซื้อขายอาคารตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง ห้องพักจำนวน 78 ห้อง และกิจการโรงแรม Allure Resort และสิทธิการใช้ประโยชน์บนที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารดังกล่าว ในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ชำระเงินในเดือนสิงหาคม 2562 และตกลงกันว่าจะส่งมอบและรับมอบการครอบครองอาคารดังกล่าวในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญา นอกจากนี้ นาย
อุปกิตยังแนบสำเนาหนังสือรับรองจากธนาคาร B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2562 รับรองบัญชีธนาคารดังกล่าว ว่ามีเงินฝากจำนวน 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ
“
ข้อสังเกตต่อเอกสารสัญญาฉบับนี้ คือสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับโรงแรม Allure Resort ตามสัญญา BOT ที่ทำกับกรมการโรงแรมฯ เมียนมานั้น ต้องเป็นของบริษัท Allure Group หรือ Myanmar Allure ดังนั้นถ้าจะมีการขายโรงแรม Allure Resort ให้ผู้อื่นจริงๆ ก็ควรเป็นการที่นายอุปกิตขายหุ้นของตัวเองใน Allure Group หรือ Myanmar Allure ที่ถือสิทธิและหน้าที่ในโรงแรม ให้กับนายชาคริสหรือไม่ ถ้าเป็นกรณีที่ Allure Group หรือ Myanmar Allure จะขายสิทธิและหน้าที่ในโรงแรมที่บริษัทถืออยู่ให้กับชาคริส ก็ควรต้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นในนามของบริษัทนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ตนไม่แน่ใจว่ากรณีนี้ทำได้หรือไม่ เพราะสัญญา BOT กำหนดว่ากรมการโรงแรมฯต้องยินยอมด้วย” นาย
รังสิมันต์กล่าว
นาย
รังสิมันต์กล่าวหาต่อว่า แต่ปรากฏว่าสัญญาฉบับนี้กลับมีลักษณะเป็นสัญญาในนามบุคคลธรรมดา 2 คน ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่ได้เป็นสัญญาเพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัทใดๆ แต่เป็นการซื้อตึกโรงแรม กิจการโรงแรม และสิทธิใช้ประโยชน์บนที่ดินโรงแรม หมายความว่า ตามสัญญานี้สิทธิในโรงแรม Allure Resort จะต้องตกเป็นของบุคคลธรรมดาที่ชื่อนาย
ชาคริสคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ยิ่งกว่านั้น เมื่อไปดูเนื้อหาหนังสือรับรองของ B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. แม้จะระบุว่าบัญชีธนาคารที่
อุปกิตอ้างมีเงินฝาก 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐจริง แต่ก็ไม่มีตรงไหนระบุว่าเป็นการจ่ายมาจาก
ชาคริสจริงหรือไม่ นี่คือข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลของการขายโรงแรม ที่
อุปกิตอ้างต่อ ป.ป.ช.
นาย
รังสิมันต์กล่าวหาอีกด้วยว่า ที่สำคัญ หลังจากนั้นเมื่อมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดและการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องไปถึงพนักงานของ Allure Group มีการเรียกนายชาคริสไปให้การเมื่อเดือนเมษายน 2565 ตามบันทึกคำให้การช่วงหนึ่ง นาย
ชาคริสให้การว่าตนถือหุ้น 15% ของโรงแรมอัลลัวร์ฯ มาตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งประมาณปลายปี 2562 ตนเคยทำการตกลงซื้อกิจการโรงแรม Allure Resort จากอุปกิตในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 251,572,000 บาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายกันจริงแต่อย่างใด เนื่องจากตนไม่มีเงินซื้อกิจการดังกล่าว ไม่รู้จะไปหามาจากไหนตั้ง 250 กว่าล้าน และยังให้การอีกว่าต่อมาอีก 1 ปีให้หลัง ประมาณเดือนกรกฎาคม 2563 นาย
อุปกิตได้ตกลงขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคาประมาณ 300 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายแล้วคงเหลือ 265 ล้านบาท ตนได้รับส่วนแบ่งตามจำนวนที่ถือหุ้น 15% เป็นเงินจำนวน 39,750,000 บาท
“
เนื้อหาคำให้การของชาคริสครั้งนี้ เป็นการบอกว่าสัญญาซื้อขายโรงแรมที่อุปกิตทำกับชาคริสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 และยื่นต่อ ป.ป.ช.นั้น เป็นสัญญาปลอม นอกจากนี้คำให้การยังบอกในทางอ้อมด้วยว่า ไม่ได้มีการขายหุ้นบริษัทให้ชาคริสเพิ่มแต่อย่างใด เพราะชาคริสยังคงมีหุ้น 15% เท่าเดิม ถามว่าชาคริสให้การเท็จต่อตำรวจหรือไม่ ผมคิดว่าถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาโกหกว่าไม่ได้ซื้อ” นาย
รังสิมันต์กล่าวหาต่อ
นาย
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า ยิ่งเมื่อไปดูสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ Allure Group เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ก่อนวันทำสัญญา 9 พฤษภาคม 2562 แค่ 9 วัน
ชาคริสถือหุ้นอยู่ 1,500 หุ้น 15% ตามที่ให้การไว้จริง ต่อมาอีกฉบับ 30 มิถุนายน 2562 นาย
ชาคริสก็ยังถือหุ้นอยู่ 1,500 หุ้นเท่าเดิม เป็นหลักฐานชัดๆ ว่าไม่เคยมีการขายหุ้น Allure Group ไปที่ผู้ขอสิทธิบริหารจัดการโรงแรม Allure Resort เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว นอกจากนี้ตามที่
ชาคริสให้การว่านาย
อุปกิตไปขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคา 300 ล้านบาท เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 การขายกิจการที่ว่าคือสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท Allure Group ระหว่างนาย
ดีน ยัง จุลธุระ ผู้ขาย ลูกเขยของอุปกิต กับผู้ซื้อคือนาย
พันณรงค์ ขุนพิทักษ์ โดยมีนาย
อุปกิตลงนามเป็นพยานการซื้อขายครั้งนี้ด้วย ในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าบริษัท Allure Group ที่ซื้อขายหุ้นกันตามสัญญานี้ เป็นบริษัทที่ได้รับสิทธิในการบริหารและจัดการโรงแรม Allure Resort และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นสามัญจำนวน 6,691 หุ้นของ Myanmar Allure ซึ่งมีสิทธิครอบครองในทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจของ Allure Group นี่แสดงให้เห็นว่าสิทธิและหน้าที่ในโรงแรม Allure Resort ไม่เคยไปเป็นของนาย
ชาคริสในฐานะบุคคลธรรมดา ตามที่จะต้องเป็นตามสัญญาระหว่าง
อุปกิตกับ
ชาคริสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เลย
นาย
รังสิมันต์กล่าวหาต่อว่า ตนตั้งคำถามว่า ตามข้อมูลนี้หมายความว่าหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างนาย
อุปกิตกับนาย
ชาคริสเป็นเอกสารเท็จ สัญญาซื้อขายไม่ได้เกิดขึ้นจริง ใช่หรือไม่ รายได้ที่เข้าบัญชีกัมพูชาของอุปกิตกว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากไหน เป็นเงินจากใคร และได้มาจากเรื่องอะไรกันแน่ การกระทำเช่นนี้เป็นการจงใจยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้หรือไม่ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาที่แท้จริงของทรัพย์สินคือเงิน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่ามาจากที่ไหน ซึ่งจะเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการปราบปรามทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 167 และในมาตรา 114 ประกอบมาตรา 81 ยังกำหนดให้ ป.ป.ช.เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยด้วย หากวินิจฉัยว่าผิดจริง อุปกิตจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ว. ถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสูงสุด 10 ปี โดยภายในสัปดาห์นี้ ตนจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ต่อไป
JJNY : 5in1 ‘อนุสรณ์’อัด‘ประยุทธ์’│โรมเปิดหลักฐาน‘ส.ว.ทรงเอ’│จับตาชูวิทย์│เหล็กค้านยกเลิกเอดี│ไบเดนเซอร์ไพรส์เยือนเคียฟ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3833065
‘อนุสรณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ ปฏิเสธความรับผิดชอบทุนจีนสีเทาเฟื่องฟูในยุครัฐบาลตัวเองไม่ได้ จี้ตอบคำถาม ที่ดิน รทสช.-ความสัมพันธ์ ส.ว.ทรงเอ
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุยปราบมาเฟีย ดำเนินคดีทุนจีนสีเทา ขอ พท.อย่าละเว้นตรวจสอบปมซุกทรัพย์สินเป็นโครงการบ้านหรูว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่การตอบโต้แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่เกิดประโยชน์ ขว้างงูไม่พ้นคอ จนเหมือนทำให้ไม่เหลือความจริงแม้แต่นิดเดียว ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือไปตั้งนานแล้ว บอกว่าจะไม่รัฐประหาร ก็รัฐประหาร บอกว่าขอเวลาอยู่ไม่นาน ก็ปาเข้าไป 10 ปี บอกว่าไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองถึง 2 พรรค พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความน่าเชื่อถือในสภา จึงอาจใช้วิชามารลอกการเมืองแบบเก่า ตัดตอนความจริง สร้างวาทกรรมบิดเบือนว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีขายบ้านแถมสัญชาติ ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงไปมาก
นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า
1. รัฐบาลประยุทธ์สารภาพกลางสภาว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เซ็นอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ไม่ใช่พนักงานส่งเอกสาร หากการดำเนินการในขั้นตอนก่อนหน้าไม่ถูกต้องย่อมสามารถระงับยับยั้งได้ แต่ทำไมรัฐบาลประยุทธ์ไม่ยับยั้ง
2. การได้สัญชาติเกิดขึ้นก่อนการซื้อบ้าน 2 เรื่องนี้จึงเป็นคนละประเด็น ไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้ การซื้อบ้านเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 2557 และไม่ได้ซื้อกระจุกตัวในโครงการเดียว แต่เป็นการกระจายซื้อในหลายโครงการ รัฐบาลตอบโต้แบบนี้ ขว้างงูไม่พ้นคอ
3. ธุรกิจทุนสีเทาไม่ได้เฟื่องฟูมานานเป็น 10 ปีอย่างที่พยายามบิดเบือน แต่เฟื่องฟูในยุครัฐบาลประยุทธ์ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
4. นายตู้ห่าวไม่เคยบริจาคเงินให้พรรค พท.แต่เคยบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องตอบคำถามนี้ จะหนีอย่างไรก็หนีไม่ออก
“5. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกแถลงการณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเช่าอาคารสถานที่ของ ส.ว.ทรงเอ ที่ถูกพาดพิงในการอภิปราย 152 ในสภา อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกพรรค หลังจากที่พรรครวมไทยสร้างชาติใช้อาคารสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ทำการพรรค แต่ไม่ได้ตอบคำถามว่าอาคารสถานที่ดังกล่าวเป็นของ ส.ว.ทรงเอจริงหรือไม่ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร ความจริงเรื่องนี้ผมไม่ได้อยากตอบโต้อะไร แต่ขอใช้สิทธิชี้แจงอย่างสร้างสรรค์ตรงไปตรงมา รัฐบาลและลูกหาบไม่ควรตะแบงใช้วาทกรรมลวง บิดเบือนตัดตอนความจริง กล่าวหาใส่ร้ายคนอื่น” นายอนุสรณ์กล่าว
โรม เปิดหลักฐาน ‘ส.ว.ทรงเอ’ ยื่นทรัพย์สินเท็จ ท้า ตร.กล้าหรือไม่ ยึดตึก รทสช. พรรคบิ๊กตู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3833031
‘โรม’ เปิดหลักฐาน สู้กลับ ‘อุปกิต’ แสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ ปมขายโรงแรมอัลลัวร์ รีสอร์ท จ่อยื่น ป.ป.ช.สัปดาห์นี้ วินิจฉัยฟันพ้น ส.ว. ท้า ตร. กล้ายึดอาคารพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ จี้ ‘ประยุทธ์’ อย่าหนีความรับผิดชอบ ตอบสังคม ทำไมตำรวจรับผิดชอบคดี ‘ตุน มิน ลัต’ โดนย้าย
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวกล่าวหา นายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เปิดโปงกรณี ‘ไทยดำ-จีนเทา’ พาดพิงนายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. จนถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท เรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมได้เปิดหลักฐานเพิ่มเติมกรณีดังกล่าว นายรังสิมันต์กล่าวว่า จากการอภิปรายของตน ระบุว่า นายอุปกิตเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการของบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด (Allure Group) ซึ่งถูกเชื่อมโยงว่าเป็นบริษัทเพื่อฟอกเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายของนายตุนมินลัต นักธุรกิจชาวเมียนมา แต่ต่อมาเมื่อมีการจับกุมนายตุนมินลัต นายอุปกิตก็รีบออกมาชี้แจงว่าได้ขายหุ้นและลาออกจากตำแหน่งกรรมการของ Allure Group และ Myanmar Allure แล้วในปี 2562 ก่อนรับตำแหน่ง ส.ว. รวมถึงโรงแรม Allure Resort ก็ขายไปแล้ว และยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียบร้อย แต่ครั้งนี้ ตนจะมาพูดถึงการขายหุ้นขายโรงแรมที่อุปกิตอ้างว่าทำไปแล้วก่อนมาเป็น ส.ว.ว่าจริงเท็จอย่างไร
นายรังสิมันต์ยังกล่าวหาอีกว่า เนื่องจากหนึ่งในเอกสารที่นายอุปกิตยื่นประกอบบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. คือเอกสารสัญญาซื้อขายอาคารและกิจการโรงแรม ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เนื้อหาสัญญาระบุว่า นายอุปกิต ซึ่งเป็นผู้ขาย ทำสัญญากับนายชาคริส กาจกำจรเดช ผู้ซื้อ ว่าตกลงซื้อขายอาคารตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง ห้องพักจำนวน 78 ห้อง และกิจการโรงแรม Allure Resort และสิทธิการใช้ประโยชน์บนที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารดังกล่าว ในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ชำระเงินในเดือนสิงหาคม 2562 และตกลงกันว่าจะส่งมอบและรับมอบการครอบครองอาคารดังกล่าวในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญา นอกจากนี้ นายอุปกิตยังแนบสำเนาหนังสือรับรองจากธนาคาร B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2562 รับรองบัญชีธนาคารดังกล่าว ว่ามีเงินฝากจำนวน 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ
“ข้อสังเกตต่อเอกสารสัญญาฉบับนี้ คือสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับโรงแรม Allure Resort ตามสัญญา BOT ที่ทำกับกรมการโรงแรมฯ เมียนมานั้น ต้องเป็นของบริษัท Allure Group หรือ Myanmar Allure ดังนั้นถ้าจะมีการขายโรงแรม Allure Resort ให้ผู้อื่นจริงๆ ก็ควรเป็นการที่นายอุปกิตขายหุ้นของตัวเองใน Allure Group หรือ Myanmar Allure ที่ถือสิทธิและหน้าที่ในโรงแรม ให้กับนายชาคริสหรือไม่ ถ้าเป็นกรณีที่ Allure Group หรือ Myanmar Allure จะขายสิทธิและหน้าที่ในโรงแรมที่บริษัทถืออยู่ให้กับชาคริส ก็ควรต้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นในนามของบริษัทนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ตนไม่แน่ใจว่ากรณีนี้ทำได้หรือไม่ เพราะสัญญา BOT กำหนดว่ากรมการโรงแรมฯต้องยินยอมด้วย” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวหาต่อว่า แต่ปรากฏว่าสัญญาฉบับนี้กลับมีลักษณะเป็นสัญญาในนามบุคคลธรรมดา 2 คน ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่ได้เป็นสัญญาเพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัทใดๆ แต่เป็นการซื้อตึกโรงแรม กิจการโรงแรม และสิทธิใช้ประโยชน์บนที่ดินโรงแรม หมายความว่า ตามสัญญานี้สิทธิในโรงแรม Allure Resort จะต้องตกเป็นของบุคคลธรรมดาที่ชื่อนายชาคริสคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ยิ่งกว่านั้น เมื่อไปดูเนื้อหาหนังสือรับรองของ B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. แม้จะระบุว่าบัญชีธนาคารที่อุปกิตอ้างมีเงินฝาก 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐจริง แต่ก็ไม่มีตรงไหนระบุว่าเป็นการจ่ายมาจากชาคริสจริงหรือไม่ นี่คือข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลของการขายโรงแรม ที่อุปกิตอ้างต่อ ป.ป.ช.
นายรังสิมันต์กล่าวหาอีกด้วยว่า ที่สำคัญ หลังจากนั้นเมื่อมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดและการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องไปถึงพนักงานของ Allure Group มีการเรียกนายชาคริสไปให้การเมื่อเดือนเมษายน 2565 ตามบันทึกคำให้การช่วงหนึ่ง นายชาคริสให้การว่าตนถือหุ้น 15% ของโรงแรมอัลลัวร์ฯ มาตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งประมาณปลายปี 2562 ตนเคยทำการตกลงซื้อกิจการโรงแรม Allure Resort จากอุปกิตในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 251,572,000 บาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายกันจริงแต่อย่างใด เนื่องจากตนไม่มีเงินซื้อกิจการดังกล่าว ไม่รู้จะไปหามาจากไหนตั้ง 250 กว่าล้าน และยังให้การอีกว่าต่อมาอีก 1 ปีให้หลัง ประมาณเดือนกรกฎาคม 2563 นายอุปกิตได้ตกลงขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคาประมาณ 300 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายแล้วคงเหลือ 265 ล้านบาท ตนได้รับส่วนแบ่งตามจำนวนที่ถือหุ้น 15% เป็นเงินจำนวน 39,750,000 บาท
“เนื้อหาคำให้การของชาคริสครั้งนี้ เป็นการบอกว่าสัญญาซื้อขายโรงแรมที่อุปกิตทำกับชาคริสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 และยื่นต่อ ป.ป.ช.นั้น เป็นสัญญาปลอม นอกจากนี้คำให้การยังบอกในทางอ้อมด้วยว่า ไม่ได้มีการขายหุ้นบริษัทให้ชาคริสเพิ่มแต่อย่างใด เพราะชาคริสยังคงมีหุ้น 15% เท่าเดิม ถามว่าชาคริสให้การเท็จต่อตำรวจหรือไม่ ผมคิดว่าถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาโกหกว่าไม่ได้ซื้อ” นายรังสิมันต์กล่าวหาต่อ
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ยิ่งเมื่อไปดูสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ Allure Group เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ก่อนวันทำสัญญา 9 พฤษภาคม 2562 แค่ 9 วัน ชาคริสถือหุ้นอยู่ 1,500 หุ้น 15% ตามที่ให้การไว้จริง ต่อมาอีกฉบับ 30 มิถุนายน 2562 นายชาคริสก็ยังถือหุ้นอยู่ 1,500 หุ้นเท่าเดิม เป็นหลักฐานชัดๆ ว่าไม่เคยมีการขายหุ้น Allure Group ไปที่ผู้ขอสิทธิบริหารจัดการโรงแรม Allure Resort เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว นอกจากนี้ตามที่ชาคริสให้การว่านายอุปกิตไปขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคา 300 ล้านบาท เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 การขายกิจการที่ว่าคือสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท Allure Group ระหว่างนายดีน ยัง จุลธุระ ผู้ขาย ลูกเขยของอุปกิต กับผู้ซื้อคือนายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ โดยมีนายอุปกิตลงนามเป็นพยานการซื้อขายครั้งนี้ด้วย ในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าบริษัท Allure Group ที่ซื้อขายหุ้นกันตามสัญญานี้ เป็นบริษัทที่ได้รับสิทธิในการบริหารและจัดการโรงแรม Allure Resort และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นสามัญจำนวน 6,691 หุ้นของ Myanmar Allure ซึ่งมีสิทธิครอบครองในทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจของ Allure Group นี่แสดงให้เห็นว่าสิทธิและหน้าที่ในโรงแรม Allure Resort ไม่เคยไปเป็นของนายชาคริสในฐานะบุคคลธรรมดา ตามที่จะต้องเป็นตามสัญญาระหว่างอุปกิตกับชาคริสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เลย
นายรังสิมันต์กล่าวหาต่อว่า ตนตั้งคำถามว่า ตามข้อมูลนี้หมายความว่าหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างนายอุปกิตกับนายชาคริสเป็นเอกสารเท็จ สัญญาซื้อขายไม่ได้เกิดขึ้นจริง ใช่หรือไม่ รายได้ที่เข้าบัญชีกัมพูชาของอุปกิตกว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากไหน เป็นเงินจากใคร และได้มาจากเรื่องอะไรกันแน่ การกระทำเช่นนี้เป็นการจงใจยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้หรือไม่ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาที่แท้จริงของทรัพย์สินคือเงิน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่ามาจากที่ไหน ซึ่งจะเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการปราบปรามทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 167 และในมาตรา 114 ประกอบมาตรา 81 ยังกำหนดให้ ป.ป.ช.เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยด้วย หากวินิจฉัยว่าผิดจริง อุปกิตจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ว. ถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสูงสุด 10 ปี โดยภายในสัปดาห์นี้ ตนจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ต่อไป