ผี......เรียกศพ 2/2 จบ

กระทู้สนทนา


ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์   มิให้นำไปเผยแพร่ในทุกช่องทาง ทุกรูปแบบ  ทุกมิติ  ทุกจักรวาล   ก่อนได้รับอนุญาต 

ความเดิม

               ตอนนั้นเอง สองหนุ่มมองเห็นสภาพลานดินหน้าบ้านชัดเจน เพราะเกวียนจอดหน้าบ้านพอดี แสงตะเกียงหม่น ๆ ริมนอกชาน ส่องให้เห็นร่างของคน ห่อผ้าขาวนอนวางบนเสื่ออยู่ลานดินหน้าบ้าน ลักษณะคล้ายศพห่อผ้าไม่มีผิด คนขับเกวียนดูเหมือนจะแบกอะไรมาด้วย มาถึงเกวียนก็โยนสิ่งที่แบกมาด้วย ลงไปในโลงศพดังกึงกัง

..........

             ชัดเลย...นี่คือเกวียนขนศพยามวิกาล  แต่ใครกันล่ะ ที่จะมาขนศพยามวิกาล  แค่คิดก็ชวนขนลุกแล้ว จากนั้นชายคนขับเกวียนเดินกลับไปยังศพที่เหลือ ก้มลงยกศพแบกขึ้นบ่า เหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แสงตะเกียงแรเงาร่างคนแบกศพ และศพบนบ่าไหววูบวาบ มองดูเหมือนศพขยับเขยื้อนได้ สองเกลอเกิดอาการขนลุกด้วยความรู้สึกขนพองสยองเกล้า ใจเต้นระทึก ได้แต่พากันหรี่ตามองในสภาพนอนนิ่ง ทำตัวลีบ ผ่อนลมหายใจ เงียบอยู่ใต้เงาเกวียนอย่างระทึกขวัญ  พอร่างสูงใหญ่ของคนขับเกวียนประหลาดมาเดินวนเวียนอยู่รอบเกวียน แม้จะมองเห็นเพียงส่วนขาที่เดินแบบรี ๆ รอ ๆ  ทำให้หัวใจสองหนุ่มเต้นระทึก ราวกับว่าร่างของคนขับเกวียนมีพลังอำนาจบางอย่าง สะกดให้จิตใจเกิดความหวาดกลัวกริ่งเกรง แบบผิดปกติ ทั้งที่ยังไม่แสดงท่าทีวิปลาสน่าสะพรึงประการใด ยังไม่ได้ถอดหัวแหวกท้องควักตับไตใส้พุง หลอกหลอนให้เห็น 

             อย่าก้มลงมามองเชียวนะ..นั่นคือสิ่งที่สองเกลอภาวนาในใจ เพราะถ้าเพียงแต่คนขับเกวียน ย่อตัว ก้มหน้าลงมามอง คงไม่มีทางหลบสายตาได้เป็นแน่แท้

             จังหวะหนึ่ง สองเท้าเขย่าขวัญหยุดอยู่กับที่นิ่งเงียบ เล่นเอาสองเกลอถึงกับเหงื่อตก นี่กระมังที่เรียกว่า ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร หรือจะทำอะไร

             อย่าก้มลงมามองนะโว้ย...

             อย่าแม้แต่จะคิด...

            ท่ามกลางความอึงอลภายในความรู้สึก และก่อนที่สองเกลอจะประสาทเสียไปมากกว่านั้น ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเท้าห่างออกไปจากเกวียน  เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเดิมอีกครั้ง 

             “ถ้ามันก้มลงมามอง ข้าเผ่นไม่รอใครละโว้ย”  บุญสมบอกเพื่อนเสียงสั่น  ส่วนมนัสยังพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำใจจิตใจถึงได้เกิดความหวาดกลัวขนาดนั้น  แต่ความโล่งอกโล่งใจที่เพิ่งเริ่มต้น ก็หายไปวับในอึดใจต่อมา สองหนุ่มยังไม่ทันคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  ร่างดำทะมึนเดินดุ่มออกมาจากบ้าน ตรงมายังเกวียนอีกครั้ง

             มันจะกลับมาทำบ้าอะไรอีกวะ...บุญสมครางฮือ  มนัสรีบเอามือสะกิดแขน ทำนองเตือนว่า อย่าส่งเสียง เดี๋ยวมันได้ยินเสียงคราง ทำเอาบุญสมทั้งกลัว ทั้งอยากถีบเพื่อน มันจะ ‘หูดี’ ขนาดนั้น ก็ให้มันรู้ไป 

             บนบ่าของคนขับเกวียน มีร่างไร้วิญญาณแบกมาอีกแล้ว

             นี่มันจะตายอะไรกันนักกันหนา...นั่นคือความรู้สึกนึกคิดที่คล้ายกันของสองหนุ่ม ในขณะนั้น

             เสียงโยนศพเข้าไปในโลงศพดังขึ้นอีกครั้ง บุญสมแม้จะเป็นคนชนบทโดยกำเนิด แต่เขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ศพหลาย ๆ ศพ จะนำมาใส่ในโลงศพเดียวกันได้ ใครเขาทำแบบนั้นกัน  หรือว่าเกิดเหตุอาเพศบ้าบอที่ไม่เข้าใจ    

             มองเห็นขาทั้งสองของคนขับเกวียนยืนนิ่งอยู่ ราวกับจะจงใจยืนเขย่าขวัญ  สองเกลอไม่รู้เหมือนกันว่า ชายขนศพกำลังทำอะไร เพราะมองไม่เห็นด้านบน  ได้แต่ภาวนาให้คนเก็บศพ กระโดดขึ้นเกวียนขับต่อไปโดยเร็ว จะได้ห่าง ๆ ออกไปเสียที

             เวลาราวยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด

             มันจะ ยืน หาพระแสงของ้าวอะไรกันฟะ...

             สองเกลอได้แต่เฝ้าบ่นในใจ มีแสงไฟวูบวาบจากนอกชานเรือน ลักษณะอาการเหมือนมีคนกำลังแกว่งตะเกียงไปมา สองหนุ่มเอียงแก้มซบดินหรี่ตามองอย่างเงียบ ๆ  ต่างสงสัยต้องเงยหน้าขึ้น หันไปมอง

             บนนอกชาน เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่ง ๆ เหมือนผู้หญิงแก่ หลังงองุ้ม เส้นผมยาวเป็นกระเซิง มองเห็นชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ กำลังยกตะเกียงโบราณแกว่งไปมา เป็นสัญญาณบางอย่าง  สักพักจึงเอาตะเกียงแขวนไว้เสาไม้ไผ่ริมบันได หันหลังทำท่าจะเดินเข้าบ้าน 

             แต่แล้ว ร่างนั้นหยุดชะงัก ค่อย ๆ หันหลังกลับ ทีละน้อย จ้องมองเกวียน แล้วค้างนิ่งอยู่

             สองเกลอใจหายวาบ สะกดลมหายใจให้แผ่ว แต่หัวใจเต้นโครมคราม  พากันนึกสงสัยแกมประสาทเสียว่า ยายคนนี้ทำไมไม่รีบเข้าบ้านไป หันมาจ้องอยู่ได้  ทำบ้าอะไรกัน... ความจริงแสงไฟจากตะเกียงบนนอกชาน ไม่น่าส่องแสงสว่างมากพอ ทำให้เห็นสองร่างที่หลบอยู่พื้นดินใต้เงาเกวียนได้อย่างแน่นอน  แต่แล้วหญิงชราคนนั้น พลันทำท่าชี้ไม้ชี้มือมาทางเกวียนขนศพ ร้องเสียงดังเสียดประสาท ได้ยินชัดเจนว่า

              เอาศพขึ้นไป เอาศพขึ้นไป

             สองเกลอรู้ทันทีว่า หญิงชราคนนั้นมองเห็นพวกเขา แถมยังคิดว่าเป็นศพอีกต่างหาก ถึงได้ร้องเสียงดังโวยวาย จนน่าจะทำให้คนตื่นกันทั้งย่าน ท่าทางของหญิงชราที่โบกไม้โบกมืออยู่นอกชาน ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ผิดอากัปกิริยาชาวบ้านธรรมดาทั่วไป มือไม้ไขว่คว้าบิดงอผิดรูป ผิดธรรมชาติของคนธรรมดา สองสหายรีบกระเถิบออกไปอีกด้านของเกวียน เพื่อให้พ้นจากรัศมีการมองของยายแก่ประหลาด  ที่ยังคงร้องว่า เอาศพขึ้นไป... เอาศพขึ้นไป... ไม่ยอมหยุด เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

             แล้วสองหนุ่ม ก็พากันใจหายวูบ เมื่อเห็นขาของคนขนศพกำลังทำท่าเหมือนจะย่อเข่านั่งคุกเข่าอย่างช้า ๆ เพื่อลงมองดูใต้เกวียน 

             ไม่มีที่ทางให้หลบซ่อน  จะวิ่งหนีก็เป็นการเปิดเผยร่องรอยเร็วเกินไป ถ้าคนขับเกวียนวิ่งไล่ตามจะทำอย่างไร  ท่าทางไม่ธรรมดาแบบนั้น อาจวิ่งเร็วเกินมนุษย์  ยามจวนตัว บุญสมทำสัญญาณมือ ให้เพื่อนกระโดดขึ้นไปบนเกวียน พากันนั่งหลบบังข้างโลงศพ แบบเฉียดฉิว

              ร่างสูงใหญ่ของคนขับเกวียน นั่งลงมองใต้เกวียน หลังจากที่สองเกลอเผ่นขึ้นไปหลบซ่อนตัวข้างโลงศพได้เพียงไม่กี่วินาที ส่วนยายแก่ ยังคงชี้ไม้ชี้มือ ตะโกนไม่หยุดปากว่า เอาศพขึ้นไป  เอาศพขึ้นไป ...อยู่อย่างนั้น ความรู้สึกของสองหนุ่มอื้ออึงปั่นป่วนกับเสียงชวนประสาทเสียของแก ที่ฟังดูน่ากลัว น่าขนลุกขนพองสยองเกล้า มากขึ้นทุกที

             เพื่อความไม่ประมาท บุญสมกับมนัสค่อย ๆ หากันแอบเมียงมองอย่างระมัดระวัง จากข้างโลงศพคนละด้าน เป็นเชิงว่าถ้าคนขับเกวียนเดินอ้อมมาดูด้านใดด้านหนึ่ง จะรีบบอกให้กันรู้ตัว และคราวนี้จะได้เผ่นหนีกันต่อหน้าต่อตา ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียที เห็นคนขับเกวียนยังคงนั่งก้มลงมองใต้เกวียนอยู่อย่างนั้น

             เอาศพขึ้นไป...เอาศพขึ้นไป 

             เสียงของยายแก่เย็นยะเยือก ตัดกับเสียงนกฮูก นกแสก ที่ส่งเสียงร้อง ดังประสานจากเงาตะคุ่มของต้นไม้รอบด้าน ที่ไหวเอนสะบัดกิ่งก้านตามแรงลงกระโชกเป็นระยะ เสียงควายเทียมเกวียนสองตัวทำเสียง ฟืดฟาด ในลำคอ ทุกอย่างผสมผสานกันเป็นเสียงเขย่าประสาท ยิ่งฟังยิ่งหนาวสะท้านทรวง
 
              ต่อมาร่างของคนขับเกวียน ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ  หันไปทางยายแก่ โบกไม้โบกมือ เป็นเชิงว่าไม่เจออะไร แล้วกระโดดผลุงขึ้นด้านหน้าเกวียน เตรียมตัวเดินทาง

             จังหวะนี้เองที่หวุดหวิดหวาดเสียวที่สุด เพราะเพียงแต่คนขับเกวียนหันหลังมามอง จะเห็นสองเกลอที่กำลังนั่งตัวลีบแอบแนบข้างโลงศพอย่างแน่นอน เดชะบุญว่าร่างนั้นไม่ได้สนใจหันมอง มือทั้งสองบังคับเชือกค่าว หรือเชือกที่ใช้บังคับควบคุมควาย สะบัดกระตุ้นให้เจ้าทุยทั้งสอง ออกแรงเริ่มลากเกวียนต่อไปตามถนนกลางหมู่บ้าน

             บุญสมกระซิบ ให้มนัสขยับไปด้านหลัง เพื่อใช้โลงศพบังสายตาของคนขับเกวียน ที่อาจหันมามองเมื่อไรก็ได้ ยังไม่กล้ากระโดดลงจากเกวียน เพราะยังไม่พ้นจากชุมชนแห่งนี้ อยู่ในที่โล่ง เกรงว่าคนขนศพจะรู้ตัว  ท่าทางแข็งแรงขนาดนั้น คงไล่ล่าฆ่าคนด้วยมือเปล่าได้สบาย

             เกวียนยังไม่ทันพ้นหมู่บ้าน สองเกลอยังไม่ได้หายใจโล่งคอ ก็ต้องพากันนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ และคาดไม่ถึง
 
             บ้านแต่ละหลัง เริ่มมีการเคลื่อนไหว ของเงาดำเลือนราง รูปร่างมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนแก่ ค่อย ๆ ทยอยเดินออกจากใต้ถุนบ้าน ทีละคนสองคน เป็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทร์ พอถึงถนนหน้าบ้าน ก็มองชัดเจนมากขึ้น พวกเขาเหล่านั้นเดินตัวแข็งทื่อ ท่าทางเลื่อนลอย เริ่มพากันเดินตามหลังเกวียน ราวภาพผีดิบในฝันร้าย

               แม้ว่าแต่ละร่าง ไม่ได้มีอากัปกิริยาให้ขวัญผวา แต่แค่นี้ก็เกินพอแล้ว ทำให้สองหนุ่มนั่งตัวสั่นด้วยความสยองขวัญ ความเร็วของเกวียนเทียมควาย ดูจะช้ากว่าฝีเท้าของเงาดำ ที่ดูเหมือนจะเพิ่มความเร็วมากขึ้นทุกที ไล่หลัง ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เริ่มมีเสียงพึมพำกระหึ่ม คล้ายเสียงฝูงผึ้งนรกแตก

             ส่วนโลงศพ ที่สองหนุ่มกำลังนั่งเอาหลังพิงอยู่ เริ่มมีเสียงดังกึกกัก ๆ คล้ายมีคนดิ้นรนอยู่ภายใน สลับกับเสียงทุบโครมครามจนโลงศพสะเทือน เสียงเล็บมือตะกายแกรก ๆ อยู่ด้านในโลงศพ เหมือนศพทั้งหลายกำลังพากันเริ่มตะกายเพื่อออกมา

             สองเกลอมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร ขณะที่กำลังนั่งตัวลีบ พร้อมอาการสั่นงันงก ไม่รู้จะทำอย่างไร วัตถุบางอย่างเหมือนหล่นวูบลงมาจากด้านบน พอทั้งสองเงยหน้าขึ้นไปมอง ลมหายใจก็แทบขาดห้วง

             มือศพ ห้อยลงมาจากด้านบนของโลงศพ

             แต่ว่า...ทำไมมือมันยาวขนาดนั้น

             มือขาวซีดเห็นชัดเจนแม้แสงสว่างจะน้อย กำลังสั่นส่ายไหวปัดป่ายไปมา ตามแรงสะเทือนของเกวียน อยู่ห่างจากใบหน้าของสองหนุ่มเพียงนิดเดียว เหมือนจะสะกิดหยอกเย้า ทั้งสองยังมองเห็นว่า มีศีรษะเจ้าของมือกำลังค่อย ๆ โผล่พ้นขอบโลงศพขึ้นมา ใบหน้าขาวราวกระดาษชายชราผมเผ้ารุงรังเป็นกระเซิง นัยน์ตาเบิกค้างมองด้านบน ปากอ้ากว้างประหนึ่งกำลังกรีดร้องแต่ไม่มีเสียงหลุดรอด มือของศพอีกหลายข้าง กำลังยื่นไขว่คว้า พ้นโลงศพขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างสยดสยอง

             เท่านั้นยังไม่พอ จู่ ๆ ผนังโลงศพเหนือศีรษะของสองหนุ่มแตกกระจายออก เศษไม้กระจัดกระจาย  มือสามสี่ข้างของศพตะกายดิ้นรน ทะลุรอยแตกออกมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา  มือศพข้างหนึ่งตะปบคอเสื้อของมนัสไว้แน่น

             มนัสหูอื้อ เหมือนจะเป็นลมเพราะความตกใจกลัว แต่ยังพอได้ยินเสียงบุญสมร้องจนหูแทบแตก บอกว่าให้ วิ่ง... แล้วแขนของมนัสก็ถูกเพื่อนรัก ดึงจนร่างหล่นลงจากหลังเกวียนแบบไม่ต้องสงวนท่าที ทำให้ได้สติ พอลุกขึ้นตั้งหลักได้ สองเกลอก็วิ่งตัวปลิวขวัญกระเจิง เข้าไปในแนวป่าหญ้าข้างทาง โดยมีบุญสมวิ่งนำไปก่อน เพราะเขายังพอมีสติ พอสังเกตเห็นว่ามีทางเดินเล็ก ๆ อยู่ข้างทาง ซึ่งน่าจะเป็นทางหนีออกจากหมู่บ้านนรกแตก ยังดีว่า ป่าแถวนี้เป็นป่าโปร่ง อาศัยแสงจันทร์นำทาง วิ่งลัดเลาะ วกวนไปแบบไร้จุดหมาย 

             ถนนจะพาไปไหน ไม่มีเวลาคิด สับเท้าแตกอย่างเดียว

             “ไอ้สม แกอย่าดึงคอเสื้อข้าสิโว้ย...” เสียงมนัสร้องโวยวายแบบเหนื่อยหอบ  เสียงบุญสมสวนมาทันทีว่า

             “ไอ้บ้า ข้าจะดึงคอเสื้อแกได้ไง  ข้าวิ่งนำหน้าเอ็งอยู่นะโว้ย”

             มนัสฟังแล้วใจหายวาบ เพิ่งนึกได้  แล้วมือใครกันที่กำลังดึงคอเสื้อ

             พอเหลียวหันไปมองต้องตกใจแทบสิ้นสติ เพราะมือที่กำลังขยุ้มคอเสื้ออยู่ เป็นข้อมือขาดข้อศอกของคนตาย  คงจะฉีกขาดออกมาจากร่าง ตอนกระโจนหนีลงมาจากเกวียน

             มนัสร้องสุดเสียง กัดฟันรวบรวมความกล้าเอาชนะความขยะแขยง กลั้นใจกระชากมือผี ออกจากคอเสื้อออกสุดแรง แล้วเหวี่ยงทิ้งหายไปข้างทาง จากนั้นเผ่นตามหลังเพื่อนไปแบบไม่คิดชีวิต  ความเย็นชืดของมือผียังชัดเจนในความรู้สึกไม่รู้ลืม

             วิ่งจนลมออกหู ทั้งสองมองเห็นทางออกจากป่าอยู่ลิบ ๆ  คลับคล้ายคลับคลาว่า เป็นทางเข้าหมู่บ้านของตัวเอง พอวิ่งเข้าไปใกล้ ก็พบว่าเป็นทางเข้าหมู่บ้านจริง ๆ

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่