ทางหลอน.........3

กระทู้สนทนา
.


บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36971949


             รถบรรทุกโลงศพนั่นเอง จำได้ดีไม่มีผิดพลาด

             ตะวันดึงแขนแฟนสาวให้หลบชิดข้างทาง มือขวาล้วงลงในกระเป๋ากำด้ามปืนพกเผื่อใช้ในเหตุการณ์ไม่คาดคิด  มาจนได้นะไอ้คนขับรถไม่มีมรรยาท...  แฟนสาวรู้ว่าตะวันอาจทำอะไรด้วยความวู่วามใจร้อน จึงกอดแขนไว้แน่นชนิดไม่ยอมให้เคลื่อนตัวไปไหนได้ ถ้าจะไปก็ต้องลากกันไป จะทำได้ก็ลองดู สายตาจ้องมองรถบรรทุกคันใหญ่ไม่วางตา ดวงไฟหน้ารถคล้ายดวงดาเจิดจ้าของปีศาจร้ายจ้องมอง ร่างมหึมาใกล้เข้ามาพร้อมเสียงคำรามกระหึ่ม  เสียงกึงกังโครมครามเป็นระยะจากส่วนประกอบของตัวรถ บ่งบอกถึงสภาพย่ำแย่ คนขับจะรู้ตัวว่าทำโลงศพหล่นลงหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ มันขับย้อนกลับมาโดยใช้เลนวิ่งถูกต้องตามกฏหมาย และมาจอดสนิทอยู่ข้างโลงศพพอดี ปล่อยให้แสงไฟหน้ารถสาดจับร่างสองหนุ่มสาวที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล จนต้องยกมือบังหน้าหน้าสังเกตความเป็นไปอย่างระแวดระวัง

             คนขับรถกระโดดลงมาจากด้านขวาของรถด้วยท่าทางไม่รีบร้อน น่าจะขับรถมาคนเดียวเพราะถ้ามีเพื่อนนั่งมาด้วย ใครคนนั้นควรมีน้ำใจลงจากประตูทางซ้ายมือมาช่วยกัน  ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อคลุมสีดำรุ่มร่ามเดินอ้อมหน้ารถมาข้างทางก้มตัวลงยกโลงศพขึ้นบ่าอย่างง่ายดายราวมีพลังมหาศาลของคนเหล็กชนิดไม่น่าทำได้ แบกโลงศพไปทางท้ายรถ เสียงดังโครมแรงๆ จากการโยนของหนักลงบนพื้นรถ ตามด้วยเสียงปิดฝาหลังดังตึง

             แม้จะอยากเข้าไปต่อว่าเรื่องมรรยาทในการขับรถใจจะขาด แต่ตะวันต้องหยุดความคิดความตั้งใจทันที คนร่างใหญ่สูงหกฟุตกว่า ยกโลงศพขึ้นบ่าได้เหมือนไม่มีน้ำหนัก เป็นคนไม่ควรตอแยเด็ดขาด ต่อให้มีปืนอยู่ในมือก็ตาม  และที่สำคัญจริงๆ คือคนขับรถประหลาดมาช่วยแก้ปัญหาเรื่องเปิดฝาโลงให้อย่างหมดจดโดยไม่ตั้งใจ หมดภาระต้องหาอะไรมางัดแงะให้เสียเวลาเสียอารมณ์

             คนสูงใหญ่เดินกลับมาจากด้านท้ายรถอย่างไม่รีบร้อนไม่สนใจอะไร ไม่ได้หันมามองสองหนุ่มสาวแม้แต่น้อยราวไม่รู้สึกถึงความมีตัวตนของคนอื่น เดินผ่านหน้ารถแสงไฟจ้ากลับไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน  รู้เพียงว่าเป็นคนร่างกำยำเหมือนพวกนักมวยปล้ำสวมชุดประหลาดผิดไปจากคนขับรถทั่วไป ภารกิจเก็บโลงศพเสร็จสิ้น รถบรรทุกโลงศพเริ่มเคลื่อนตัวออกไปและไม่มีทีท่าจะหาทางเลี้ยวกลับไปทิศทางเดิมแต่ประการใด

             “นั่นคน ปีศาจ หรือคนเหล็กกันแน่คะ”

             เสียงสั่นสะท้านถามจากคนข้างกาย  ตะวันฝีนยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ไม่เชื่อว่าเป็นปีศาจหรือคนเหล็ก แต่รู้สึกประหลาดใจกับพฤติกรรมผิดปกติของคนขับลึกลับ

             “หมอนี่ใช้เส้นทางเดียวกับเราแล้ว”   ตะวันพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะเป็นการพูดกับแฟนสาว มองตามไฟท้ายรถบรรทุกอย่างไม่เข้าใจ เพราะตามความเป็นจริงมันน่าจะกลับลำข้ามร่องกั้นเล็กๆ กลางถนนไปอีกฟากฝั่ง เพื่อมุ่งหน้าไปตามทิศทางควรจะเป็น นี่กลับกลายเป็นว่าเหมือนคนขับลืมเลี้ยวกลับอย่างไรอย่างนั้น คิดดูแล้วไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทั้งคู่เดินกลับมายังรถคู่ชีพเตรียมตัวเดินทางเช่นกัน

             “จะให้ผมตามไปเปิดฝาโลงไหมครับ”   แม้ยังจะเครียดๆแต่ชายหนุ่มยังมีอารมณ์ถามคนรักหน้าตาเฉย คำตอบคือมือนวลนางหยิกเข้าสีข้างเต็มแรง  แต่เขาไม่สนใจ พูดต่อด้วยน้ำเสียงท่าทางใคร่ครวญจริงจัง   “ไม่อย่างนั้นเราอาจรู้สึกผิดก็ได้นะ ถ้าเกิดมีคนอยู่ในนั้นจริงๆ”

             “พูดบ้าๆ ไม่เอาแล้ว”   หญิงสาวส่ายหน้าไม่คิดชีวิต ไม่รับมุกตลกร้าย  “ เดือนว่าในทางทฤษฏีและทางปฏิบัติก็ต้องถือว่าโลงศพมีคนดูแล  เราไม่ต้องไปวุ่นวายไม่รู้สึกผิดแล้วค่ะ รีบไปกันดีกว่าค่ะ”

             “ถ้าเปลี่ยนใจเดือนบอกได้เลยนะครับ”

             “เราไปกันต่อเถอะค่ะ เดือนหิวข้าว"   หญิงสาวพูดตัดบท ตะวันไม่แน่ใจว่าอาการหิวข้าวเป็นการกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างหรือเปล่า อาจเป็นความหวาดกลัว วิตกกังวล หรืออะไรก็ตาม แต่เขาเองก็คิดเหมือนกันว่าสมควรเดินทางไปให้ถึงที่หมายปลายทางโดยเร็วที่สุด ก่อนจะดึกดื่นมากไปกว่านี้ หลังจากหันหัวรถมุ่งหน้าไปยังทิศทางถูกต้อง ชายหนุ่มหันมาถามแฟนสาวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

             “เดือน ถามจริงๆ เถอะ ทำไมคุณสนใจเจ้าหมอนั่นนัก”

             หมอนั่นย่อมหมายถึงร่างซากนรกยับเยินที่วิ่งตามรถ แค่พูดออกมาก็ทำให้ขนลุก จนต้องหันหน้าไปมองความมืดด้านหลังอย่างหวาดระแวง
“เดือนไม่รู้เหมือนกัน”  หญิงสาวตอบเสียงอ่อย ฟังแล้วน่าสงสารมากกว่าน่าซ้ำเติม แต่ต้องยอมรับว่าเธอเป็นหญิงสาวแกร่งกว่าการคาดคิด เพราะถึงจะผ่านเรื่องน่ากลัวยังสามารถตั้งสติได้รวดเร็วไม่ขวัญหนีดีฝ่อจนเป็นภาระ

             “อย่าทำอะไรเสี่ยงแบบนี้อีกก็แล้วกันครับ”

             ชายหนุ่มว่า โดยยอมสะกดคำพูดที่ตั้งใจจะเอ่ยปากอีกหลายประโยคไว้ในใจ เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรจะซ้ำเติมด้วยคำพูด แต่ตั้งใจว่าจะปกป้องคนรักให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับนรกอะไรก็ตามมันต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง  ถ้าร่างวิปริตโผล่มาเขาตั้งใจว่าจะถาโถมเข้ามามันด้วยพลังทั้งหมด บดขยี้ด้วยแรงกายแรงใจเท่าที่มี ไม่คำนึงถึงความเป็นตาย ความหวาดหวั่นต้องพยายามเก็บอาการไว้ เพราะถ้าปล่อยให้หลุดออกมาคนข้างตัวต้องใจหาย หมดกำลังใจอย่างแน่นอน

             รถบรรทุกโลงศพวิ่งนำหน้าไปไม่นาน และด้วยความเร็วต่างกันอย่างเทียบไม่ติด ในที่สุดแสงไฟท้ายรถบรรทุกก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แสงไฟหน้าบิ๊กไบค์สาดจับท้ายรถมองเห็นว่าฝาหลังถูกปิดเรียบร้อยมองไม่เห็นโลงศพ แต่บริเวณมุมซ้ายของท้ายรถมีเงาร่างดำตะคุ่มยืนเกาะราวไม้กั้นข้างของตัวรถอยู่ในลักษณะนิ่งตัวแข็งทื่อ  ท่าทางเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เนื่องจากแสงไฟหน้าบิ๊กไบค์สาดลงต่ำ จึงมองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนั้น

             ทำไมไม่ไปนั่งอยู่ด้านหน้ากับคนขับ...คำถามแรกวูบขึ้นมาในความคิด   ไม่เห็นต้องมายืนรับลมเฝ้าโลงผีอยู่หลังรถ ดูแล้วไม่เห็นว่าเท่หรือสนุกตรงไหน

             ชายหนุ่มลดความเร็วลง ไม่ยอมแซงขวาขึ้นไป  แฟนสาวคงสังเกตเห็นชายคนท้ายดังกล่าวเหมือนกัน   เธอใช้มือบีบข้อศอกของเขาแรงๆ ส่งเสียงดังถามข้างหูว่า

             “วันเห็นคนยืนอยู่ท้ายรถไหมคะ”

             “เห็นครับ หมอนี่ไม่บ้าก็เมาถึงมายืนอยู่หลังรถ”

             “วันไม่คิดว่ามันแปลกหรือคะ ทำไมตอนนั้นเราไม่สังเกตเห็นเขาเลย”

             “นั่นล่ะที่ผมอยากรู้”   ตะวันตอบพลางเปิดไฟสูงเพื่อให้มองเห็นสูงขึ้น แต่แสงไฟหน้ารถยังสูงไม่พอส่องมองไม่เห็นใบหน้าชายลึกลับอยู่ดี ท่าทางของคนท้ายรถดูเหมือนไม่ได้สนใจบิ๊กไบค์กำลังวิ่งจ่อท้ายมาเลยสักนิด ยังคงยืนนิ่งเป็นหุ่นปั้น

             “เดือนว่าเรารีบแซงไปดีกว่า”

             เสียงของสาวคนรักเสนอแนะ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์อันใดในการไปรู้ข้อมูลของคนอื่นที่ไม่เคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นผีหรือคนก็ช่างศีรษะมันเถิด  แต่ก่อนจะเร่งความเร็วของรถ เขายังหันหน้าไปแซวคนซ้อนท้าย

             “ไม่อยากรู้หรือ เขาอาจเป็นผ่านภพก็ได้นะครับ”

            รางวัลของการแซวดีเด่นคือการหยิกสีข้างหนักๆ ตะวันร้องโอ๊ยเล่นตามน้ำมากกว่าจะเจ็บจริงจัง  แต่อย่างไรก็ดี แฟนสาวของเขายังคงเป็นคนทำอะไรแบบคาดไม่ถึงอยู่เสมอ เพราะขณะรถวิ่งใกล้เข้าไปกำลังจะแซงขวา แสงไฟฉายจากมือของจันทราสาดจับร่างคนลึกลับท้ายรถโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า แม้แต่ตะวันเองยังสะดุ้งโหยง

             ร่างคนลึกลับยกมือบังใบหน้าราวกับจะรู้ตัว ทำให้ใบหน้ามองไม่ถนัด  แต่สังเกตได้ว่าเป็นผู้ชายนุ่งกางเกงขาสั้นสีดำไม่สวมเสื้อ รูปร่างผอมซูบเหมือนผีตายซาก นอกจากการยกมือบังใบหน้าแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรให้เห็น  ไม่กี่วินาทีแสงไฟฉายดับวูบลง เพราะการส่องแสงไฟใส่คนอื่นนานเกินไปย่อมดูเป็นการเสียมรรยาทไม่สมควร แต่นั่นล่ะ... นางสาวจันทราตัวจริงเสียงจริง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าทำแบบนี้

             บิ๊กไบค์แซงขวากำลังจะพ้นไปแล้ว ทันใดนั้นตะวันก็ได้ยินเสียงแฟนสาวร้องกรี๊ดเต็มเสียง ขณะหางตาซ้ายเหมือนอะไรสักอย่างเคลื่อนไหววูบวาบเฉียงสูงขึ้นไป ทำให้ต้องหันหน้าแหงนไปมองก่อนความคิดจะสั่งงานเสียด้วยซ้ำ แล้วเลือดในกลายก็เย็นเฉียบแทบแข็งตัวกะทันหัน

             ทำไมถึงมองเห็นภาพชัดเจนอย่างไม่น่าเป็นไปได้  ในระยะไม่กี่เมตรบนสุดของราวไม้กั้นด้านข้างของรถบรรทุก ร่างชายลึกลับผู้ควรยืนอยู่ด้านหลังของรถ ทำไมเวลานี้มายืนโยกตัวขย่มขึ้นลงอยู่บนราวกั้นบนสุดอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติ บางทียืดตัวขึ้นสูงจนน่ากลัวว่าจะหลุดปลิวออกจากตัวรถ บางครั้งทำท่าจะกระโจนลงมาหาเสียด้วยซ้ำ  เสียงร้องฟังไม่ได้ศัพท์ของคนซ้อนท้ายและเสียงแตรรถดังเป็นจังหวะจากรถบรรทุกทำให้ขวัญของตะวันที่กำลังกระเจิดกระเจิงกลับมาได้สติ เขาข่มใจก้มตัวลงบิดคันเร่งแบบลืมตาย พารถพุ่งแซงออกไปแบบไม่คิดชีวิต ความรู้สึกยังคล้ายเห็นร่างประหลาดโผล่พ้นจากหลังคาหน้ารถ ด้วยลักษณะอาการของวานรวิปริตพยายามดิ้นรนหาทางออกจากกรงขัง โยกตัวไปมาอย่างชวนเขย่าขวัญ

             หลายนาทีต่อมาไฟหน้ารถบรรทุกประหลาดหายไปจากการรับรู้เพราะถูกทิ้งระยะห่างขาดลอย ตะวันจึงลดความเร็วลงในระดับปกติเพื่อความปลอดภัย  แฟนสาวเกาะเอวของเขาแน่นยิ่งกว่าลูกลิงเกาะแม่ลิง

             “ผีหลอกใช่ไหมคะวัน”   พอเริ่มควบคุมสติและความคิดได้สองหนุ่มสาวจึงเริ่มสนทนากันอีกครั้ง หลังผ่านเหตุการณ์ชวนชวัญผวาราวฝันร้าย  เสียงของคนซ้อนท้ายสั่นสะท้านบ่งบอกถึงความตกใจหวาดกลัวชัดเจน

             “ก็แค่พวกชาวบ้านขี้โมโหเท่านั้นครับ”  เขาพยายามทำเป็นเรื่องเล็กไม่มีอะไรเป็นพิเศษ   “ถ้าบอกว่าผีหลอกก็หมายถึงเรายอมรับว่าผีมีจริงสิครับ”  

             ชายหนุ่มหมายความตามนั้นจริงๆ  เป็นการยากจะทำใจให้ยอมรับว่าผีมีจริง เพราะมันขัดการหลักการความเชื่อของเขาเป็นอย่างมาก คนอย่างตะวันไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจแม้จะยอมรับว่าบางครั้งก็กลัวผีเหมือนกัน แต่เขาอธิบายกับตัวเองว่านั่นเป็นผลมาจากคำสั่งของโครโมโซม เขาไม่เกี่ยว คนเราพอตายไปก็ควรหายดับสูญหาย แม้จะมีบางหลักของศาสนาบอกว่าตายแล้วเกิดใหม่ทันที ไม่สามารถเป็นวิญญาณล่องลอยหลอกหลอนใครได้ และเหตุการณ์วิปริตเมื่อครู่ควรจะมีคำอธิบายซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง

            “แล้วที่เราเห็นเมื่อครู่อะไรกันคะ ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกันแน่”

            “ผมว่าเขาเป็นคนบ้ามากกว่า จู่ๆ เดือนก็เอาไฟฉายไปส่องหน้าเขา  แสงไฟบางทีทำให้ความบ้าของคนเรากำเริบได้เหมือนกันนะผมว่า”
“วันอย่ามามั่วเลย มีที่ไหนกันว่าแสงไฟฉายทำให้คนเป็นบ้า ถ้างั้นอีกหน่อยคงมีคนอาบน้ำ แล้วเป็นกลายผีบ้าออกมาจากห้องน้ำ วันจะว่ายังไง”
ชายหนุ่มพอหัวเราะออกมาได้บ้าง อย่างน้อยอารมณ์ขันก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

             “ว่าแต่เดือนนึกยังไงถึงกล้าฉายไฟใส่เขา เป็นผมยังไม่กล้าเลย”

            “เดือนอยากรู้ว่าเขาเป็นคนจริงๆ หรือเป็นหุ่นปั้นเท่านั้น”

แม้ฟังดูจะมีเหตุผลแต่ก็เป็นเหตุผลฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร  การฉายไฟใส่หน้าคนอื่นกลางทาง เพราะความอยากรู้  บางทีอาจจะมีแต่จันทราเท่านั้นทำได้

            “ผมนึกว่าคุณจะตรวจดูเพื่อให้แน่ใจว่าจะใช่ไม่ใช่นายผ่านภพของคุณเสียอีก”

             ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผู้ชายชื่อผ่านภพถึงเข้ามาวนเวียนในความคิดเสมอ ทั้งที่เขาแต่งงานไปแล้ว แต่เป็นที่รู้กันมาก่อนว่าผ่านภพเคยหลงรักจันทรามาก่อน ทว่าฝ่ายหญิงก่อกำแพงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เพื่อน เอาไว้ และเป็นปราการแกร่งที่ผ่านภพไม่สามารถก้าวข้ามได้เลย คนบางคนเป็นอย่างมากได้ก็แค่เพื่อนเท่านั้น ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้อีก เพราะความรักไม่ใช่สิ่งอ้อนวอนร้องขอได้ ผ่านภพต้องยอมถอยทัพกลับไปในที่สุด  และแต่งงานไปกับคนที่เขาคิดว่าเหมาะสม

             “ไม่ตลกเลยนะคะ  แต่เดือนก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมคืนนี้ถึงต้องคิดถึงภพ มันแปลกจริงๆ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาหลายวันแล้วด้วย”


.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่