สื่อสภาตั้งฉายา ‘3 วันหนี 4 วันล่ม’ ทำ ชวน ‘ซวน เซ’-ส.ว. ‘ตรา ป.’ ส่วนดาวเด่นไม่มี
https://www.matichon.co.th/politics/news_3746504
“สื่อสภา” ตั้งฉายา ส.ส. “3 วันหนี 4 วันล่ม” – ส.ว. “ตรา ป.” วาทะเด็ด “นายกฯ ทำปฏิวัติ” – “มงคลกิตติ์” คว้าดาวดับ – ไร้ดาวเด่น’65 คนดีเกลี้ยงสภา 4 ปีซ้อน
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ร่วมกันตั้งฉายาสะท้อนการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตลอดปี 2565 ดังนี้
•
“สภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “3 วันหนี 4 วันล่ม”
เนื่องจากการประชุมของ ส.ส.ตลอดปี 2565 ประสบแต่ปัญหาสภาล่มซ้ำซาก ตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่จนส่งท้ายปี ทำให้การทำงานล่าช้า โดย ส.ส.ฝ่ายค้าน มักเล่นเกมนับองค์ประชุม ทั้งที่ฝ่ายตนก็ขาดประชุม และ ส.ส.รัฐบาล ก็ไร้ความรับผิดชอบในการรักษาองค์ประชุมทั้งที่เป็นเสียงข้างมาก มิหนำซ้ำช่วงท้ายวาระการดำรงตำแหน่ง ส.ส.ต่างหนีลงพื้นที่ หาเสียงก่อนเลือกตั้ง ละเลยการประชุม ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญ ด้วยเหตุเหล่านี้จึงเป็นที่มาของฉายาดังกล่าว
• “วุฒิสภา” ได้รับฉายา “ตรา ป.”
เพราะตลอดปี 2565 ส.ว.ยังคงทำหน้าที่รักษามรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และในการลงมติพิจารณาเรื่องสำคัญแต่ละครั้ง ก็ไม่มีแตกแถว เพื่อประโยชน์ของ 2ป. คือ พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ
ป.ประยุทธ์ และพลเอก
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ
ป.ประวิตร โดยเฉพาะในการแก้รัฐธรรมนูญ และปัจจุบัน ส.ว.ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสนับสนุน ป.ประยุทธ์ และฝ่ายสนับสนุน ป.ประวิตร จนกระทั่งล่าสุด มีการเช็คชื่อแล้วว่า ส.ว.คนไหน จะสนับสนุน ป.ใด เป็นนายกรัฐมนตรี
• นายชวน หลีกภัย “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “ชวน ซวนเซ”
เนื่องจากการทำหน้าที่ของนาย
ชวน จากที่เคยได้รับความเคารพ และเชื่อฟังจาก ส.ส.รุ่นน้อง สามารถยุติข้อขัดแย้งต่าง ๆ ได้ แต่ในปีนี้กลับตรงกันข้าม คือ ถูกลดความยำเกรง ไม่ได้รับการยอมรับ และยังถูก ส.ส.ท้าทาย จนหลายครั้งกลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประสานงานของวิปรัฐบาลที่ไม่ดีพอ จนทำให้นาย
ชวน ซวนเซ เสียหลักไปด้วย
• นายพรเพชร วิชิตชลชัย “ประธานวุฒิสภา” ได้รับฉายา “พรเพชร พักก่อน”
การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมของนายพรเพชรตลอดปี 2565 มักโดน ส.ส.-ส.ว.ทักท้วง จนบางครั้งได้แสดงความรู้สึกไม่พอใจผ่านสีหน้า และไม่สามารถควบคุมการประชุมร่วมรัฐสภาให้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น มักถูก ส.ส.ประท้วงว่า ทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล เหมือนสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มากกว่าทำหน้าที่ตรวจสอบ จึงทำให้เกิดคำถามว่า นาย
พรเพชร ควรพักก่อนหรือไม่?
• นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “หมอ(ง) ชลน่าน”
แม้นายแพทย์ชลน่าน จะมีความโดดเด่นในการทำหน้าที่จนได้รับฉายาดาวเด่นเมื่อปี 2564 แต่เมื่อได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ จริง กลับหมอง การอภิปรายในสภาไม่โดดเด่นเหมือนอดีต ได้ทำหน้าที่ในนามหัวหน้าพรรคฯ เท่านั้น ขาดอิสระ
• “ดาวเด่น’65”
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นว่า
“ไม่มีผู้ใดเหมาะสม” และโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว
•
“ดาวดับ’65” ได้แก่ “นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์
ที่มีความโดดเด่ในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน โหนกระแสสังคม เพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเอง ทั้งคดีนักแสดงสาว “
แตงโม”, การว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงของ “
โตโน่” รวมถึงกรณี “
เรือหลวงสุโขทัยอับปาง” ล้วนแต่เป็นความพยายามหาซีนของ ส.ส.เต้ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง และมักแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่อง ทั้งที่ไม่ได้รู้จริง ดังนั้น แม้นาย
มงคลกิตติ์ จะพยายามหาแสงให้ตัวเองมากเพียงใด สุดท้ายก็เป็นเพียง “ดาวดับ” และตัวตลกสีสันการเมืองเท่านั้น
• “วาทะแห่งปี’65″ ได้แก่ “เรื่องปฏิวัติผมไม่ได้เกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ..ท่านนายกฯ คนเดียว”
เป็นวาทะของพลเอก
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เกิดขึ้นระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อ 20 กรกฎาคม 2565 และพลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่นั่งอยู่ข้างกัน ดูจะไม่ยี่หระกับคำพูดดังกล่าว แต่กลับยกมือ ยิ้ม ยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิ ท่ามกลางเสียงปรบมือของ ส.ส.อย่างชอบใจ ทั้งที่ตัวเองก็มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น การพูด และกระทำเช่นนี้ จึงไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และการปฏิวัติ-รัฐประหาร ยังเป็นการกระทำที่ผิดครรลอง และทำลายระบอบประชาธิปไตยด้วย
• “เหตุการณ์แห่งปี” คือ “เกมพลิกสูตรหาร 100″
โดยมีความพยายามของ ส.ส. และ ส.ว.ทำให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ทันกำหนดเวลา เพื่อพลิกสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อจากหาร 500 กลับไปเป็นสูตรหาร 100 ตามเดิม ซึ่งเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐสภาทุ่มเทให้ความสำคัญ ใช้ช่องของรัฐธรรมนูญกับผลประโยชน์พรรคพวกตัวเอง เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง โดยไม่ได้คำนึงว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์ใด ๆ
• คู่กัดแห่งปี ได้แก่ “นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ” สมาชิกวุฒิสภา และ “นายรังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
ในการประชุมร่วมรัฐสภา ที่ทั้งคู่ได้มาประชุมร่วมกัน หลายครั้งเกิดวิวาทะแบบไม่ลดลาวาศอก ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ โดยเฉพาะประเด็นการกู้ยืมเงินกองทุน กยศ. ที่เริ่มต้นจากการอภิปรายของนาย
รังสิมันต์ มักพาดพิงที่มาของ ส.ว.บ่อย ๆ จนทำให้นายกิตติศักดิ์ ประท้วง และดึงเรื่องหนี้ กยศ. มาตอบโต้นาย
รังสิมันต์ ให้สำเหนียกตัวเอง เพราะไม่ยอมชำระหนี้ จนนายรังสิมันต์ โต้แย้งกลับว่า ได้ชำระหนี้ กยศ.จนครบถ้วนแล้ว
• “คนดีศรีสภา’65”
ปี 2565 นี้ ซึ่งถือเป็นปีที่ 4 ที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ยังไม่เห็นว่า จะมี ส.ส. หรือ ส.ว.คนใด เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว
ทั้งนี้ การตั้งฉายาการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ ส.ส. และ ส.ว. เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาทุกปี ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว.อย่างใกล้ชิด เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนขอเป็นกำลังใจให้ ส.ส. และ ส.ว.ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้มุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ ส.ส. และ ส.ว.ที่บกพร่องในการทำหน้าที่ ขอให้ทบทวน ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชนต่อไป
ฝ่ายค้านชงซักฟอกรัฐบาล-ขอถล่ม3วัน -น้อมรับฉายา
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_473253/
ฝ่ายค้านชงซักฟอกรัฐบาล ขอถล่ม3วัน น้อมรับฉายา “ชลน่าน” พร้อมออกโรงป้อง “ชวน” ยังมีบารมี
นาย
สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการยื่นอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในช่วงบ่ายนี้ โดยมีชื่อยุทธการ ว่า “ถอดหน้ากากคนดี “ซึ่งหมายความว่า ใส่หน้ากากมา 4 ปี วันนี้จะถอดหน้ากากให้ประชาชนดู และเป็นการสรุปภาพรวมการทำงานของรัฐบาลตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ว่าอะไรที่เป็นปัญหา อะไรที่ทำไม่ได้ และเวลาที่เหลือจะแก้ไขอย่างไร ถือเป็นการประเมินการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะความล้มเหลวของนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ เพื่อให้รัฐบาลตอบ และสะท้อนให้ระมัดระวังในการเสนอนโยบายครั้งหน้า เพื่อไม่สร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน
สำหรับเวลาการอภิปรายขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะให้เวลาเท่าไหร่ แต่มองว่า ไม่ควรน้อยกว่า 3 วัน เพราะครั้งนี้เนื้อหาค่อนข้างเยอะ หากน้อยกว่านี้จะขาดรสชาติ ขาดคุณภาพ รัฐบาลต้องคิดว่าเป็นโอกาสในการแสดงผลงานในรอบ 4 ปี อย่ากลัวหรือคิดในเชิงลบ
ขณะเดียวกัน นาย
สุทิน ยังกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายา ให้กับสภาผู้แทนราษฎร “3 วันหนี 4 วันล่ม” โดยต้องยอมรับ เพราะภาพออกมาเป็นเช่นนั้น แต่เสียดายเพราะทำให้ภาพพจน์ของสภาออกมาไม่ดี รัฐบาลไม่น่าปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฝ่ายค้านไม่ได้โยนปัญหาให้รัฐบาล เพราะที่ผ่านมามีการทำเช่นนี้ แต่ไม่เคยเกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ
ส่วนฉายาของ นายแพทย์
ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ “
หมอ (ง) ชลน่าน” มองว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีงานเยอะขึ้น จึงไม่มีเวลาทำงานสภามาก อาจจะจืดไปหน่อย ฉายาอาจจะใช่ แต่ก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้
สำหรับฉายาของนาย
ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร “
ชวน ซวนเซ” ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะประธานทำหน้าที่ได้ดี มีบารมี มีหลักการ แต่หากให้เรียบร้อยทั้งหมดคงไม่ใช่
ขณะที่ฉายาของนาย
พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา “
พรเพชร พักก่อน” นั้นเห็นว่า เหมาะสม แต่อาจจะเบาไป ความจริงน่าจะได้ฉายาที่หนักกว่านี้ หากเปรียบการทำงานในวุฒิสภาทำได้ แต่ทำงานในรัฐสภาไม่ได้ ส่วนฉายาของวุฒิสภา “
ตรา ป.” มองว่า ถูกต้องที่สุด เพราะที่ผ่านมาทำงานภายใต้ธงของรัฐบาล ไม่เคยเห็นอะไรที่แตกแถว หรือยืนตรงข้ามรัฐบาล
ด้านฉายาดาวเด่น และคนดีศรีสภา ที่ไม่มีนั้น เห็นว่า หลายคนมีสำนึกดีและขยันทำงาน แต่ทักษะการนำเสนออาจจะไม่เด่น อยากให้ดูความขยันในส่วนนี้ด้วย เช่นเดียวกับฉายาคนดีศรีสภา สื่อมวลชน อาจจะระมัดระวังว่าจะให้ใครมากกว่า เพราะมีทั้งคุณ และโทษ
ขณะที่ฉายา ดาวดับ คือ นาย
มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ มองว่า อาจจะแรงไป เพราะนาย
มงคลกิตติ์ มีการนำเสนอที่แตกต่าง แต่ในมุมมองส่วนตัวเห็นว่า ดาวดับนั้น คือ คนที่ทำอะไรแล้วสังคมประณาม แต่ก็แล้วแต่ คิดกันคนละมุม
สำหรับวาทะแห่งปีนั้น มองว่า เหมาะสม เพราะเรื่องนี้เด่นจริงๆ ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่น่าเกิดเขึ้นในรัฐสภา ไม่คิดว่าจะยอมรับ และจำนนต่อสภา เรียกได้ว่า จับคนปฏิวัติ จับโจรต่อหน้าศาล
JJNY : สื่อสภาตั้งฉายา│ฝ่ายค้านชงซักฟอกรัฐบาล│"หมอธีระ"โพสต์"โอมิครอน"แตกหน่อ│ปูตินออกกฤษฎีกา “แบนขายน้ำมัน”
https://www.matichon.co.th/politics/news_3746504
“สื่อสภา” ตั้งฉายา ส.ส. “3 วันหนี 4 วันล่ม” – ส.ว. “ตรา ป.” วาทะเด็ด “นายกฯ ทำปฏิวัติ” – “มงคลกิตติ์” คว้าดาวดับ – ไร้ดาวเด่น’65 คนดีเกลี้ยงสภา 4 ปีซ้อน
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ร่วมกันตั้งฉายาสะท้อนการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตลอดปี 2565 ดังนี้
• “สภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “3 วันหนี 4 วันล่ม”
เนื่องจากการประชุมของ ส.ส.ตลอดปี 2565 ประสบแต่ปัญหาสภาล่มซ้ำซาก ตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่จนส่งท้ายปี ทำให้การทำงานล่าช้า โดย ส.ส.ฝ่ายค้าน มักเล่นเกมนับองค์ประชุม ทั้งที่ฝ่ายตนก็ขาดประชุม และ ส.ส.รัฐบาล ก็ไร้ความรับผิดชอบในการรักษาองค์ประชุมทั้งที่เป็นเสียงข้างมาก มิหนำซ้ำช่วงท้ายวาระการดำรงตำแหน่ง ส.ส.ต่างหนีลงพื้นที่ หาเสียงก่อนเลือกตั้ง ละเลยการประชุม ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญ ด้วยเหตุเหล่านี้จึงเป็นที่มาของฉายาดังกล่าว
• “วุฒิสภา” ได้รับฉายา “ตรา ป.”
เพราะตลอดปี 2565 ส.ว.ยังคงทำหน้าที่รักษามรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และในการลงมติพิจารณาเรื่องสำคัญแต่ละครั้ง ก็ไม่มีแตกแถว เพื่อประโยชน์ของ 2ป. คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ป.ประยุทธ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ ป.ประวิตร โดยเฉพาะในการแก้รัฐธรรมนูญ และปัจจุบัน ส.ว.ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสนับสนุน ป.ประยุทธ์ และฝ่ายสนับสนุน ป.ประวิตร จนกระทั่งล่าสุด มีการเช็คชื่อแล้วว่า ส.ว.คนไหน จะสนับสนุน ป.ใด เป็นนายกรัฐมนตรี
• นายชวน หลีกภัย “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “ชวน ซวนเซ”
เนื่องจากการทำหน้าที่ของนายชวน จากที่เคยได้รับความเคารพ และเชื่อฟังจาก ส.ส.รุ่นน้อง สามารถยุติข้อขัดแย้งต่าง ๆ ได้ แต่ในปีนี้กลับตรงกันข้าม คือ ถูกลดความยำเกรง ไม่ได้รับการยอมรับ และยังถูก ส.ส.ท้าทาย จนหลายครั้งกลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประสานงานของวิปรัฐบาลที่ไม่ดีพอ จนทำให้นายชวน ซวนเซ เสียหลักไปด้วย
• นายพรเพชร วิชิตชลชัย “ประธานวุฒิสภา” ได้รับฉายา “พรเพชร พักก่อน”
การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมของนายพรเพชรตลอดปี 2565 มักโดน ส.ส.-ส.ว.ทักท้วง จนบางครั้งได้แสดงความรู้สึกไม่พอใจผ่านสีหน้า และไม่สามารถควบคุมการประชุมร่วมรัฐสภาให้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น มักถูก ส.ส.ประท้วงว่า ทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล เหมือนสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มากกว่าทำหน้าที่ตรวจสอบ จึงทำให้เกิดคำถามว่า นายพรเพชร ควรพักก่อนหรือไม่?
• นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “หมอ(ง) ชลน่าน”
แม้นายแพทย์ชลน่าน จะมีความโดดเด่นในการทำหน้าที่จนได้รับฉายาดาวเด่นเมื่อปี 2564 แต่เมื่อได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ จริง กลับหมอง การอภิปรายในสภาไม่โดดเด่นเหมือนอดีต ได้ทำหน้าที่ในนามหัวหน้าพรรคฯ เท่านั้น ขาดอิสระ
• “ดาวเด่น’65”
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นว่า “ไม่มีผู้ใดเหมาะสม” และโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว
• “ดาวดับ’65” ได้แก่ “นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์
ที่มีความโดดเด่ในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน โหนกระแสสังคม เพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเอง ทั้งคดีนักแสดงสาว “แตงโม”, การว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงของ “โตโน่” รวมถึงกรณี “เรือหลวงสุโขทัยอับปาง” ล้วนแต่เป็นความพยายามหาซีนของ ส.ส.เต้ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง และมักแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่อง ทั้งที่ไม่ได้รู้จริง ดังนั้น แม้นายมงคลกิตติ์ จะพยายามหาแสงให้ตัวเองมากเพียงใด สุดท้ายก็เป็นเพียง “ดาวดับ” และตัวตลกสีสันการเมืองเท่านั้น
• “วาทะแห่งปี’65″ ได้แก่ “เรื่องปฏิวัติผมไม่ได้เกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ..ท่านนายกฯ คนเดียว”
เป็นวาทะของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เกิดขึ้นระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อ 20 กรกฎาคม 2565 และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่นั่งอยู่ข้างกัน ดูจะไม่ยี่หระกับคำพูดดังกล่าว แต่กลับยกมือ ยิ้ม ยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิ ท่ามกลางเสียงปรบมือของ ส.ส.อย่างชอบใจ ทั้งที่ตัวเองก็มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น การพูด และกระทำเช่นนี้ จึงไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และการปฏิวัติ-รัฐประหาร ยังเป็นการกระทำที่ผิดครรลอง และทำลายระบอบประชาธิปไตยด้วย
• “เหตุการณ์แห่งปี” คือ “เกมพลิกสูตรหาร 100″
โดยมีความพยายามของ ส.ส. และ ส.ว.ทำให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ทันกำหนดเวลา เพื่อพลิกสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อจากหาร 500 กลับไปเป็นสูตรหาร 100 ตามเดิม ซึ่งเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐสภาทุ่มเทให้ความสำคัญ ใช้ช่องของรัฐธรรมนูญกับผลประโยชน์พรรคพวกตัวเอง เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง โดยไม่ได้คำนึงว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์ใด ๆ
• คู่กัดแห่งปี ได้แก่ “นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ” สมาชิกวุฒิสภา และ “นายรังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
ในการประชุมร่วมรัฐสภา ที่ทั้งคู่ได้มาประชุมร่วมกัน หลายครั้งเกิดวิวาทะแบบไม่ลดลาวาศอก ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ โดยเฉพาะประเด็นการกู้ยืมเงินกองทุน กยศ. ที่เริ่มต้นจากการอภิปรายของนายรังสิมันต์ มักพาดพิงที่มาของ ส.ว.บ่อย ๆ จนทำให้นายกิตติศักดิ์ ประท้วง และดึงเรื่องหนี้ กยศ. มาตอบโต้นายรังสิมันต์ ให้สำเหนียกตัวเอง เพราะไม่ยอมชำระหนี้ จนนายรังสิมันต์ โต้แย้งกลับว่า ได้ชำระหนี้ กยศ.จนครบถ้วนแล้ว
• “คนดีศรีสภา’65”
ปี 2565 นี้ ซึ่งถือเป็นปีที่ 4 ที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ยังไม่เห็นว่า จะมี ส.ส. หรือ ส.ว.คนใด เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว
ทั้งนี้ การตั้งฉายาการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ ส.ส. และ ส.ว. เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาทุกปี ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว.อย่างใกล้ชิด เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนขอเป็นกำลังใจให้ ส.ส. และ ส.ว.ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้มุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ ส.ส. และ ส.ว.ที่บกพร่องในการทำหน้าที่ ขอให้ทบทวน ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชนต่อไป
ฝ่ายค้านชงซักฟอกรัฐบาล-ขอถล่ม3วัน -น้อมรับฉายา
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_473253/
ฝ่ายค้านชงซักฟอกรัฐบาล ขอถล่ม3วัน น้อมรับฉายา “ชลน่าน” พร้อมออกโรงป้อง “ชวน” ยังมีบารมี
นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการยื่นอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในช่วงบ่ายนี้ โดยมีชื่อยุทธการ ว่า “ถอดหน้ากากคนดี “ซึ่งหมายความว่า ใส่หน้ากากมา 4 ปี วันนี้จะถอดหน้ากากให้ประชาชนดู และเป็นการสรุปภาพรวมการทำงานของรัฐบาลตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ว่าอะไรที่เป็นปัญหา อะไรที่ทำไม่ได้ และเวลาที่เหลือจะแก้ไขอย่างไร ถือเป็นการประเมินการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะความล้มเหลวของนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ เพื่อให้รัฐบาลตอบ และสะท้อนให้ระมัดระวังในการเสนอนโยบายครั้งหน้า เพื่อไม่สร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน
สำหรับเวลาการอภิปรายขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะให้เวลาเท่าไหร่ แต่มองว่า ไม่ควรน้อยกว่า 3 วัน เพราะครั้งนี้เนื้อหาค่อนข้างเยอะ หากน้อยกว่านี้จะขาดรสชาติ ขาดคุณภาพ รัฐบาลต้องคิดว่าเป็นโอกาสในการแสดงผลงานในรอบ 4 ปี อย่ากลัวหรือคิดในเชิงลบ
ขณะเดียวกัน นายสุทิน ยังกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายา ให้กับสภาผู้แทนราษฎร “3 วันหนี 4 วันล่ม” โดยต้องยอมรับ เพราะภาพออกมาเป็นเช่นนั้น แต่เสียดายเพราะทำให้ภาพพจน์ของสภาออกมาไม่ดี รัฐบาลไม่น่าปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฝ่ายค้านไม่ได้โยนปัญหาให้รัฐบาล เพราะที่ผ่านมามีการทำเช่นนี้ แต่ไม่เคยเกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ
ส่วนฉายาของ นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ “หมอ (ง) ชลน่าน” มองว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีงานเยอะขึ้น จึงไม่มีเวลาทำงานสภามาก อาจจะจืดไปหน่อย ฉายาอาจจะใช่ แต่ก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้
สำหรับฉายาของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร “ชวน ซวนเซ” ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะประธานทำหน้าที่ได้ดี มีบารมี มีหลักการ แต่หากให้เรียบร้อยทั้งหมดคงไม่ใช่
ขณะที่ฉายาของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา “พรเพชร พักก่อน” นั้นเห็นว่า เหมาะสม แต่อาจจะเบาไป ความจริงน่าจะได้ฉายาที่หนักกว่านี้ หากเปรียบการทำงานในวุฒิสภาทำได้ แต่ทำงานในรัฐสภาไม่ได้ ส่วนฉายาของวุฒิสภา “ตรา ป.” มองว่า ถูกต้องที่สุด เพราะที่ผ่านมาทำงานภายใต้ธงของรัฐบาล ไม่เคยเห็นอะไรที่แตกแถว หรือยืนตรงข้ามรัฐบาล
ด้านฉายาดาวเด่น และคนดีศรีสภา ที่ไม่มีนั้น เห็นว่า หลายคนมีสำนึกดีและขยันทำงาน แต่ทักษะการนำเสนออาจจะไม่เด่น อยากให้ดูความขยันในส่วนนี้ด้วย เช่นเดียวกับฉายาคนดีศรีสภา สื่อมวลชน อาจจะระมัดระวังว่าจะให้ใครมากกว่า เพราะมีทั้งคุณ และโทษ
ขณะที่ฉายา ดาวดับ คือ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ มองว่า อาจจะแรงไป เพราะนายมงคลกิตติ์ มีการนำเสนอที่แตกต่าง แต่ในมุมมองส่วนตัวเห็นว่า ดาวดับนั้น คือ คนที่ทำอะไรแล้วสังคมประณาม แต่ก็แล้วแต่ คิดกันคนละมุม
สำหรับวาทะแห่งปีนั้น มองว่า เหมาะสม เพราะเรื่องนี้เด่นจริงๆ ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่น่าเกิดเขึ้นในรัฐสภา ไม่คิดว่าจะยอมรับ และจำนนต่อสภา เรียกได้ว่า จับคนปฏิวัติ จับโจรต่อหน้าศาล