JJNY : ‘เพื่อไทย’หนุน หยุดขึ้นค่าไฟ| “พิธา”ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา| คนจีนแห่ทิ้งใบจองโครงการบ้านหรู| ทุเรียนตอ.วืดล้านตัน

เพื่อไทย’ หนุนสภาอุตฯ หยุดขึ้นค่าไฟ ชี้ความสามารถแข่งขันไทยจะลด
https://www.matichon.co.th/economy/news_3730916

‘เพื่อไทย’ หนุนสภาอุตฯ หยุดขึ้นค่าไฟ ชี้ความสามารถแข่งขันไทยจะลด เวียดนามหน่วย 2.88 บาท แนะ 4 แนวทางลดค่าไฟฟ้าในระยะสั้นและระยะยาว
 
น.ส.จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางรัก สาทร ปทุมวัน และโฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลประกาศขึ้นราคาไฟฟ้าสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยละ 4.72 บาท เป็นหน่วยละ 5.69 บาท สร้างความเดือดร้อนให้กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างมาก จนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต้องออกมาเรียกร้องขอให้หยุดการขึ้นค่าไฟฟ้าไว้ก่อน เพราะภาคธุรกิจคงแบกกันไม่ไหว เนื่องจากตอนต้นปียังอยู่ที่หน่วยละ 3.70 บาทเลย หรือขึ้นราคาถึง 53% ซึ่งหนักมาก

อีกทั้งประเทศเวียดนามที่เป็นประเทศคู่แข่งของไทยคิดค่าไฟฟ้าเพียงหน่วยละ 2.88 บาทเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกันเกือบเท่าตัว นอกจากนี้ การขึ้นค่าไฟฟ้าจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ต้องขึ้นราคาสินค้าทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และประชาชนจะยิ่งเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้ว เหมือนซ้ำเติมความลำบาก
 
ดังนั้น หากรัฐบาลยังยืนยันจะขึ้นค่าไฟฟ้าในระดับนั้นจะทำให้การแข่งขันของไทยลดลง นักลงทุนต่างประเทศจะไม่มาลงทุนในประเทศไทย แต่จะหันไปลงทุนในประเทศเวียดนามหมด ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว โดยล่าสุดความสามารถแข่งขันของประเทศไทยหล่นลงมาถึง 5 อันดับ จากอันดับที่ 28 ลงมาอันดับที่ 33 ซึ่งย่ำแย่อยู่แล้ว ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยต้องขึ้นราคาไฟฟ้าในระดับสูง เกิดจากการบริหารพลังงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลเอง ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูงและต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาสูงเข้ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาการส่งมอบสัมปทานการขุดก๊าซในพื้นที่อ่าวไทย ปริมาณก๊าซจากเมียนมาที่ลดลง อีกทั้งยังปล่อยให้มีการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมสำหรับโรงงานไฟ้ฟ้าที่สร้างเกินความต้องการใช้เป็นจำนวนมากกว่า 50%
 
ดังนั้น จึงขอเสนอแนวทางในการแก้ไขราคาค่าไฟฟ้าดังนี้
 
1. อย่าเพิ่งขึ้นราคาไฟฟ้า ตรึงราคาค่าไฟฟ้าไปก่อน เพราะราคาพลังงานมีแนวโน้มที่จะลดจากภาวะเศรษฐกิจของโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า อีกทั้งหลังจากฤดูหนาว ความต้องการพลังงานจะลดลง ราคาพลังงานและราคาก๊าซธรรมชาติเหลวน่าจะลดลง
 
2. รัฐบาลต้องเข้าไปเจรจาหาข้อยุติในกรณีพิพาทเรื่องการส่งมอบสัมปทานในพื้นที่อ่าวไทย เพื่อให้การนำก๊าซขึ้นมาใช้ผลิตไฟฟ้าไม่หยุดชะงัก โดยราคาไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซในอ่าวไทย และจากก๊าซจากประเทศเมียนมาจะอยู่เพียงหน่วยละ 2-3 บาทเท่านั้น ในขณะที่เชื้อเพลิงจากแหล่งอื่นที่ต้องนำเข้าจะแพงกว่านี้มาก
 
3. เจรจาลดค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าเพราะมีกำลังผลิตเกินความต้องการมาก โดยปัจจุบันรัฐบาลต้องจ่ายค่าความพร้อมถึงเดือนละ 8,000 ล้านบาท ปีละเป็นแสนล้านบาท ซึ่งสูงมากและต้องนำมารวมกับค่า FT ของราคาไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังจะมีโรงไฟฟ้าที่จะก่อสร้างเสร็จอีกหลายโรงซึ่งต้องจ่ายค่าความพร้อมนี้กันมากขึ้น

4. หยุดการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าทุกชนิด จนกว่าความต้องการไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น และสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการจะลดลง ทั้งนี้ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้ายังเกินความต้องการแต่รัฐบาลยังจะออกใบอนุญาตไฟฟ้าอีกกว่า 5,203 เมกะวัตต์ แม้จะอ้างว่าเป็นไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แต่ก็จะเพิ่มปริมาณไฟฟ้าที่ล้นเกินให้ล้นเกินมากขึ้น
 
5. เร่งเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลงและจะทำให้ลดราคาค่าไฟฟ้าได้ อีกทั้งรัฐบาลจะได้รายได้เป็นจำนวนมากในการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางทั้งผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้น้อย จากค่าภาคหลวง และภาษีจากธุรกิจต่อเนื่องในด้านต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก และยังช่วยเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก
 
ทั้ง 5 แนวทางนี้สามารถทำได้ทันที และจะทำให้ราคาพลังงานของประเทศไทยลดลง อีกทั้งไทยจะมีความมั่นคงทางพลังงาน รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงผลกระทบของราคาพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะแค่ราคาพลังงาน ดังนั้น การดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในราคาที่ต่ำสุดเพื่อช่วยเหลือประชาชนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น และหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะลดราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้า และ ราคาก๊าซหุงต้มทันที เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และจะเป็นการลดภาวะเงินเฟ้อเลยด้วย ขอให้ประชาชนมั่นใจได้



“พิธา” ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา ปชช.ร้องปัญหาที่ค้าขายตลาดเคหะ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_467383/
 
“พิธา” ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา เจอประชาชนร้องปัญหาที่ค้าขายตลาดเคหะบ้านโพธิ์ ยก จิรัฏฐ์ ทุ่มเทงานพื้นที่ ช่วยประสานแก้ไขรวดเร็ว ลั่น ส.ส.ก้าวไกล ทำงานเพื่อคนทุกรุ่น-พร้อมชนกับกลุ่มทุน
  
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา โดยช่วงเช้าได้ร่วมกิจกรรม พายเรือเพื่อปางปะกง จากนั้นลงพื้นที่การเคหะบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ร่วมกับนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนและพูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาของพรรคก้าวไกล
 
โดยประชาชนที่อาศัยในการเคหะบ้านโพธิ์ได้ร้องเรียนปัญหาการเช่าพื้นที่เพื่อค้าขาย เนื่องจากตลาดนัดเคหะบ้านโพธิ์จะมีการประมูลใหม่ ทั้งที่ประชาชนใช้พื้นที่ค้าขายมานาน และรายได้จากการเช่า กรรมการชุมชนก็นำมาหมุนเวียนเพื่อดูแลพื้นที่ส่วนกลางของชุมชน หากเปลี่ยนผู้ประมูล อาจทำให้ประชาชนเดือดร้อนราว 400 คน เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนจึงร้องเรียนไปหลายหน่วยงานแต่ก็ถูกมองข้าม จนกระทั่งร้องเรียนไปยังนายจิรัฏฐ์ ซึ่งนำเรื่องเข้าคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรวดเร็ว ทำให้การเคหะฯ ประกาศเลื่อนการประมูลออกไปเพื่อหาทางออกร่วมกัน
  
โดยนายพิธา กล่าวว่า การทำงานของนายจิรัฏฐ์ซึ่งเป็น ส.ส. ในพื้นที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้พรรคก้าวไกลถูกมองว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่เราทำงานโดยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนทุกรุ่น ส.ส. ของเราจริงจังกับการทำงานทั้งในสภาและในพื้นที่ เชื่อว่าประชาชนได้เห็นแล้วว่าการมีผู้แทนที่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน มีมูลค่าที่สูงกว่าเงินหลักพันหลักร้อยที่อาจมีคนหยิบยื่นให้ในช่วงเลือกตั้ง และที่พรรคก้าวไกลกล้าชนกับกลุ่มทุน ก็เพราะเราเป็นพรรคที่อยู่ได้จากการสนับสนุนของประชาชน
  
ทั้งนี้ประชาชนในพื้นที่เคหะบ้านโพธิ์ สะท้อนความรู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่ได้พบทั้งหัวหน้าพรรคและ ส.ส. คิดว่าเป็นเรื่องยากที่พรรคการเมืองใดจะลงมาดูแลประชาชนแบบนี้ ทำให้อุ่นใจว่าเมื่อเดือดร้อนยังหาที่พึ่งได้ เช่นความเดือดร้อนเรื่องตลาดการเคหะฯ ที่นายจิรัฏฐ์รับเรื่องร้องเรียนและดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็ว รวมถึงขอชื่นชมว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เชื่อว่านโยบายแต่ละด้านจะทำให้ประเทศไทยทันสมัยมากขึ้นไม่ติดอยู่กับระบบเดิมๆที่เป็นปัญหาอยู่



คนจีนแห่ทิ้งใบจองโครงการบ้านหรู กลัวเหมือน ‘ตู้ห่าว’ ถูกตรวจสอบการเงิน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3730888

คนจีนแห่ทิ้งใบจองโครงการบ้านหรู กลัวเหมือน ‘ตู้ห่าว’ ถูกตรวจสอบการเงิน
 
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยกรณีกลุ่มนักธุรกิจคนจีนสีเทาและมีคดีเชื่อมโยงตู้ห่าวที่ซื้อบ้านหรูอยู่เมืองไทยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีการเปิดช่องให้ต่างชาติสามารถซื้อบ้านได้โดยใช้นอมินี จัดตั้งบริษัทขึ้นมา คนไทยถือหุ้น 51%  เนื่องจากกฎหมายยังไม่เปิดให้ต่างชาติซื้อบ้านแนวราบได้เหมือนคอนโดมิเนียมที่ซื้อได้ในสัดส่วน 49% ของพื้นที่โครงการ
 
ต่างชาติซื้อบ้านผ่านนอมินีมีมานานมากแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน ในช่วงโควิด-19 ระบาด จะนิยมซื้อคอนโดฯหรูอยู่ แต่ระยะหลังชอบซื้อบ้านแนวราบราคาแพงกันมากขึ้น แต่คนจีนที่ซื้อมีทั้งกลุ่มทุนสีเทาและกลุ่มทุนสีขาวที่ทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย หลังเกิดกรณีตู้ห่าว ส่งผลกระทบต่อตลาดบ้านหรูอย่างมาก คนจีนทิ้งจองไปหลายโครงการแล้ว กลัวจะถูกตรวจสอบเอกสาร เส้นทางการเงิน และอาจจะกระทบไปถึงกลุ่มลูกค้ายุโรปด้วย” นายมีศักดิ์กล่าว
 
นายมีศักดิ์กล่าวว่า ทั้งนี้ ในปี 2566 สมาคมทำหนังสือปกขาวยื่นให้รัฐบาลพิจารณาเปิดให้ต่างชาติซื้อบ้านแนวราบได้โดยถูกต้องกฎหมาย เช่น ให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการบ้านจัดสรรไม่เกิน 49% ของจำนวนพื้นที่โครงการ หากเป็นโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เนื้อที่ไม่เกิน 50 ตร.ว. ราคาไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท เนื้อที่ไม่เกิน 100 ตร.ว. ราคาไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท เนื้อที่ไม่เกิน 200 ตร.ว. ราคาไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท เนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่ ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และ 2.พื้นที่ส่วนภูมิภาค เนื้อที่ไม่เกิน 50 ตร.ว. ราคาไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท เนื้อที่ไม่เกิน 100 ตร.ว. ราคาไม่น้อยกว่า 8 ล้านบาท เนื้อที่ไม่เกิน 200 ตร.ว. ราคาไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่ ราคาไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท
 
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า กรณีตู้ห่าวทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ยอดขายชะงักไปมากพอสมควรตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เกิดจากลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนไม่มั่นใจ กลัวถูกตรวจสอบ เพ่งเล็ง อาจจะทำให้เกิดการทิ้งดาวน์หรือไม่มาโอนกรรมสิทธิ์ ในส่วนของเพอร์เฟคไม่มีคนจีนมาซื้อเหมาทั้งโครงการ เพราะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินและช่องทางที่ซื้อ เช่น ตั้งบริษัทหรือทำธุรกิจในไทยมานานแค่ไหน อย่างไรก็ตาม จากเอฟเฟ็กต์ของตู้ห่าว มีผลให้ยอดขายบ้านหรูของบริษัทหายไปพอสมควร เพราะมูลค่าต่อหลังค่อนข้างสูง
 
แต่ละโครงการเราจะกันสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมาซื้อไม่เกิน 10% จะกระจายไม่ให้ต่างชาติซื้อมากเกินไป ก่อนหน้านี้มีต่างชาติมาซื้ออยู่ 10 หลัง ราคาหลังละ 80-160 ล้านบาท คนจีนที่มาซื้อส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจในไทย เขมร เมียนมา และเวียดนาม และจากจีนก็มี เพราะส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติ จึงอยากได้บ้านที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน ส่วนลูกค้าคนไทยก็ทรงตัวไม่เพิ่ม ไม่ลด” นายวงศกรณ์กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่