เพลิงที่ปล่อยมลพิษต่ำสามารถลดการปล่อยมลพิษได้มากถึง 80% ในขั้นตอนการทำเหมืองและการกลั่น ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กับการลดต้นทุนเพื่อรักษาผลกำไรในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
แมงกานีสบริสุทธิ์สูงซึ่งเป็นวัสดุสำคัญอีกชนิดหนึ่งกำลังเผชิญความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน แมงกานีสมีส่วนสร้างการปล่อยมลพิษราว 4% ในแบตเตอรี่ลิเทียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (LI-NMC) และเมื่อแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ได้รับความนิยมมากขึ้น ความเข้มข้นของการปล่อยมลพิษจากแมงกานีสอาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า หากไม่มีการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลนี้
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น โครงการมอบเงินช่วยเหลือมูลค่า 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 154 ล้านบาท ให้กับบริษัทโตโยต้า เพื่อนำไปพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการรับมือกับปัญหาในอุตสาหกรรมนี้
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาห่วงโซ่อุปทานในระดับที่กว้างขวางกว่านั้นหรือการแก้ปัญหาในระดับโลก ยังคงต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการที่เพิ่มขึ้นกับแนวทางที่ยั่งยืน พร้อมทั้งลดการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด ความท้าทายดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในการบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกันก็ต้องขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มาของข้อมูล electrek.co
ที่มาของรูปภาพ Pexels
จากข่าว?วัตถุดิบที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนภายในปี 2030?
เพลิงที่ปล่อยมลพิษต่ำสามารถลดการปล่อยมลพิษได้มากถึง 80% ในขั้นตอนการทำเหมืองและการกลั่น ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กับการลดต้นทุนเพื่อรักษาผลกำไรในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
แมงกานีสบริสุทธิ์สูงซึ่งเป็นวัสดุสำคัญอีกชนิดหนึ่งกำลังเผชิญความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน แมงกานีสมีส่วนสร้างการปล่อยมลพิษราว 4% ในแบตเตอรี่ลิเทียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (LI-NMC) และเมื่อแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ได้รับความนิยมมากขึ้น ความเข้มข้นของการปล่อยมลพิษจากแมงกานีสอาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า หากไม่มีการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลนี้
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น โครงการมอบเงินช่วยเหลือมูลค่า 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 154 ล้านบาท ให้กับบริษัทโตโยต้า เพื่อนำไปพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการรับมือกับปัญหาในอุตสาหกรรมนี้
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาห่วงโซ่อุปทานในระดับที่กว้างขวางกว่านั้นหรือการแก้ปัญหาในระดับโลก ยังคงต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการที่เพิ่มขึ้นกับแนวทางที่ยั่งยืน พร้อมทั้งลดการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด ความท้าทายดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในการบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกันก็ต้องขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มาของข้อมูล electrek.co
ที่มาของรูปภาพ Pexels