สภาโหรงเหรง เหลือ ส.ส. 442 คน เตือนลาออกอีกล็อตจ่อเป็น รบ.เสียงข้างน้อย ส่งซิกยุบสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3725804
 
สภาโหรงเหรง เหลือ ส.ส.แค่ 442 คน เตือน ส.ส.ลาออกอีกล็อตจ่อเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่งสัญญาณยุบสภา
 
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ส.ส.ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้หลังจากแห่ลาออกล็อตใหญ่นั้น จะมีผลในวันที่ 15 ธันวาคม จะเหลือ ส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 442 คนและทำให้องค์ประชุมเหลือ 221 คน

ขณะที่ นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า ถือเป็นจังหวะเวลาที่ต้องดำเนินการทางการเมืองของนักการเมือง ตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ หลังจากที่กติกาเลือกตั้งบัตร 2 ใบ และสูตรคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีความชัดเจน จึงมีการเดินกันหนัก ถามว่าเรื่องนี้จะเป็นตัวเร่งในการยุบสภาหรือไม่ ตนยอมรับว่าเป็นเหมือนกัน หากดู 37 รายชื่อ ที่สื่อเปิดออกมา ไม่ได้มีแต่เสียงของ ส.ส.รัฐบาลเท่านั้น แต่มี ส.ส.ฝ่ายค้านด้วย
 
“ผมกังวลว่ารัฐบาลจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยไป ปรากฏว่าแค่ปริ่มน้ำเท่านั้น เพราะตามตัวเลข 37 คน มีซีกรัฐบาล 21 คน ส่วนซีกฝ่ายค้าน 16 คน ทำให้ตัวเลขของสภาขณะนี้ ส.ส.รัฐบาลมี 246 คน และ ส.ส.ฝ่ายค้าน 190 คนนั้น เท่ากับว่ารัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายค้าน 56 เสียง โดยที่เสียงของทั้งสภาจะรวมแล้ว มี 436 คน ซึ่งหารสอง จะเหลือ 218 +1 เท่ากับ 219 เป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา สำหรับดำรงองค์ประชุมเพื่อการประชุมต่างๆ

ดังนั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ยังประคอง และเชื่อว่าจะผ่านไปได้ แต่สิ่งที่มันล่อแหลมของซีกรัฐบาลคือ 246 เสียง มันรวมเสียงของคนเป็นรัฐมนตรีอีก 12 คน ดังนั้น ในวันประชุมสภา ต้องเกณฑ์รัฐมนตรีทั้งหลายมาโหวตกัน” นายนิกรกล่าว

นายนิกรกล่าวว่า ห่วงว่าจะมี ส.ส.รัฐบาลขยับตัวกันอีกรอบเพื่อทำพรรคใหม่ อาจทำให้เสียงของรัฐบาลมีปัญหา เสียงจะลดลง และกลายเป็นเสียงข้างน้อยได้ ส่วนโอกาสยุบสภานั้นมองว่ามีโอกาสมาก สภาสามารถยุบได้ทุกวัน สภาล่มทุกวันเป็นเหตุได้ทันที
 
หากตั้งใจจะยุบสภา จริงๆ ก็แค่ถอนคนออกมา 20 คนก็ยุบสภาได้แล้ว ทำให้เกิดเหตุได้แล้ว แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงเรื่องการบังคับใช้ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ หากยุบสภาก่อนอาจมีปัญหาได้อีก

---

หนี้ครัวเรือนยังเพิ่ม "เฝ้าระวัง" สินเชื่อยานยนต์ หนี้เสียยังขยายตัว
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/186495

เปิดตัวเลขหนี้ครัวเรือนยังขยายตัวแม้เริ่มชะลอลงแล้วก็ตาม สศช.แนะเฝ้าระวังสินเชื่อยานยนต์ ขณะที่ข้อมูลเครดิตบูโร หนี้เสียยังขยายตัวสูง
 
หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสอง ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 3.5 มูลค่า 14.76 ล้านล้านบาท ลดลงจากร้อยละ 3.7 ของไตรมาสที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ที่ปรับลดลงเป็นร้อยละ 88.2 จากไตรมาสก่อน
 
ส่วนคุณภาพสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ต้องเฝ้าระวังสินเชื่อยานยนต์และติดตามผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาอุทกภัย และลูกหนี้เสีย ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้น  
   
การชะลอตัวลงของ หนี้ครัวเรือน เป็นไปตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการชะลอตัวของการก่อหนี้ของครัวเรือนจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ด้านคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากมาตรการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้และการบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่องของสถาบันการเงิน
 
โดยในไตรมาสสาม ปี 2565 สัดส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.62%
 
แนะเฝ้าระวัง "สินเชื่อยานยนต์"
 
การเฝ้าระวังคุณภาพสินเชื่อยังจำเป็นโดยเฉพาะ "สินเชื่อยานยนต์" เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อค้างชำระน้อยกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
 
จากข้อมูลเครดิตบูโรในไตรมาสสอง ปี 2565 ยังพบว่า หนี้เสียขยายตัวในระดับสูง ในกลุ่มลูกหนี้อายุตั้งแต่ 41 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มสูงอายุและลูกหนี้ NPLs จากผลกระทบของโควิด-19 และในระยะถัดไป
  
ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือน คือ
 
1. ภาระค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น โดยครัวเรือนรายได้ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ซึ่งมีจำนวนกว่า 4.7 ล้านครัวเรือนในปี 2564 (18.2%) 
 
2. ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยมีแนวโน้มก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มีแนวโน้มก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัยในวงกว้างรวม 59 จังหวัด มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 4.3 แสนครัวเรือน
ประกอบกับปัจจุบันภาครัฐมีมาตรการทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ซึ่งจะทำให้ หนี้ครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้น
  
3. อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้มีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นกว่าในอดีตและอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน
และจากสถานการณ์ข้างต้น นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ระบุว่า จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อยานยนต์กลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหา และหนี้เสียเนื่องจากโควิด-19 

ขณะที่มาตรการสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 และปัญหาอุทกภัย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ให้กับประชาชน 

---

นักกฎหมาย ชี้ถ้าภูมิใจไทยจับมือกับเพื่อไทย จะปิดฉากการเมือง 'ประยุทธ์'
https://siamrath.co.th/n/407429

วันที่ 15 ธ.ค.65 นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ระบุว่า...

#อัพเดทนับถอยหลังการเลือกตั้ง
 
1 เมื่อวานนี้มี สส.ลาออก 31 คน ได้ลาออกพร้อมกันเป็นกลุ่มก้อนมากที่สุด
ยังไม่จบลงแค่นี้ ยังจะมีอีกหลายระลอก จะทำให้สภาล่มซ้ำซากหนักขึ้นไปอีก
และสะท้อนว่ารัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาไม่ได้แล้ว
 
จึงเป็นปรากฏการณ์กดดันให้ยุบสภา
สถานการณ์ต่อไปก็คือรัฐบาลอาจแพ้โหวตในสภา ซึ่งต้องยุบสภาอยู่ดี
ถ้าเป็นรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแท้ ทั้งโดยธรรมเนียมประเพณีและโดยศักดิ์ศรีทางการเมืองเขาก็ยุบสภาไปแล้ว
 
2 ถ้ายังไม่ยุบสภา การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติก็จะเกิดขึ้นเร็วขึ้น
และเมื่อนั้นก็จะได้เห็นการจับคนแก้ผ้ายำใหญ่กลางสภา ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
 
3 พรรคภูมิใจไทยกำลังฮึกเหิมลำพองจากตั้งเป้าส.ส 80 ปรับขึ้นเป็น 120 ล่าสุดปรับเป้าเป็น 150 คนแล้ว หวังเป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะ"แผนวิ่งผลัดนายกรัฐมนตรี 2 ปี" ทำให้พรรคภูมิใจไทยอ่านเกมการเมืองขาด จึงเห็นเป็นโอกาส "มังกร ผาดโผนโจรทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า"

ถ้าจับมือกับเพื่อไทย:จะเป็นการปิดฉากการเมืองลุงตู่อย่างถาวร
  
ถ้าจับมือกับพลังประชารัฐ: ลุงตู่อย่างมากก็เป็นรองนายกรัฐมนตรี
 
แต่เห็นจะยากเพราะเบื้องลึกเบื้องหลังรอยรักรอยแค้นแน่นอกอยู่
ถนน"สายเป็นนายกอีก 2 ปี" ที่เป็นความหวังสุดท้าย มืดมิดสนิทนัก
แต่"สายพอแล้ว"กลับเปิดกว้างมากขึ้น!!!!
 
#สร้างปัญหาต่อก่อปัญหาใหม่

https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/5641441439287815