‘เครือข่ายราม’ อายแทนประยุทธ์ จี้ลาออก ‘8 ปีไม่เห็นหัวปชช.’ หมดชอบธรรมนั่งปธ. ‘เอเปค’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3675491
‘เครือข่ายราม’ ปิดปาก-มัดมือเท้า แถลง 3 ภาษา จี้ประยุทธ์ลาออก อายแทน 8 ปีไม่เคยเห็นหัวปชช. หมดความชอบธรรมนั่งประธาน ‘เอเปค’
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ลานพ่อขุนรามคำแหง มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก) เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย และพรรคศรัทธาธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดแถลงข่าวคัดค้าน ‘
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานการจัดประชุมเอเปค’ เนื่องจาก พล.อ.
ประยุทธ์ไร้ความชอบธรรม เป็นผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน ไม่สมควรที่จะได้เป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ โดยมีการแถลงจุดยืน 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษามลายู
นาย
นันทพงศ์ ปานมาศ หรือ
กุ๊ก แกนนำเครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เรารู้สึกว่า พล.อ.
ประยุทธ์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลของ พล.อ.
ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน จับคนเห็นต่างเข้าคุก สิ่งสำคัญคือ พล.อ.
ประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปคในครั้งนี้ วันนี้ประเทศไทยภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ 8 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นหัวประชาชน และยังบริหารประเทศ ทำให้เศรษฐกิจ สังคม การเมืองพังพินาศ มีประชาชนล้มตายเพราะพิษเศรษฐกิจและการบริหารการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผิดพลาด และที่สำคัญ องคาพยพของ พล.อ.
ประยุทธ์ และพรรคร่วมรัฐบาลยังบริหารกระทรวงต่างๆ อย่างล้มเหลว
วันนี้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค มีผู้นำหลายๆ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ก็เข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้ แต่สิ่งที่น่าอายคือ ประเทศไทยกลับมีรัฐธรรมนูญที่มีการสืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 เรามีรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และมี ส.ว.ที่มาจากการลากตั้ง 250 คน เรามีรัฐธรรมนูญที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน
“
ซึ่งวันนี้เราอยากจะสื่อความต่างๆ เหล่านี้ ไปยังผู้นำที่มาประชุมที่ประเทศไทยว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจรัฐประหาร และ พล.อ.ประยุทธ์ยังสืบทอดอำนาจตำแหน่งนากยฯ ผ่านรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเราอยากจะสื่อความหมายไปยังผู้นำนานาประเทศว่า วันนี้ประเทศไทยยังมีนักโทษการเมืองที่อยู่ในเรือนจำอีกมากมาย ไม่ว่านักโทษการเมืองที่ติดคุกด้วยมาตรา 112 ไม่ว่านักโทษทางการเมืองที่ติดคุกเพราะออกมาเห็นต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้เรายังยืนยัน 3 ข้อเรียกร้อง คือ
1. พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
2. พล.อ.ประยุทธ์จะต้องยุบสภา และจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย
3. พล.อ.ประยุทธ์ต้องปล่อยนักโทษทางการเมืองที่ติดคุกเพราะมาตรา 112 และนักโทษทางการเมืองทุกๆ คดี และสิ่งสำคัญ มาตรา 112 จะต้องมีการแก้ไขและปรับปรุงให้ดีกว่านี้” นาย
นันทพงศ์ กล่าว
จากนั้น
โอม อานนท์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรามคำแหง เริ่ม อ่านแถลงการณ์ ภาษาไทย ความว่า
รัฐแต่ละรัฐในโลกล้วนต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งปวงของรัฐตนเหนือสิ่งอื่นใด การประชุมระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในเครื่องมือของรัฐในการเติมเต็มผลประโยชน์ของประชาชนของรัฐนั้น ผู้แทนของประเทศในการประชุมระดับนานาชาติจึงสมควรเป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนมากกว่าสิ่งอื่นใด เพื่อที่ผู้นั้นจะสามารถกระทำการใดๆ โดยก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของชาติตนได้ ผู้นำที่นำประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งเช่นนั้น จึงมีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้แทนของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคในปี พ.ศ.2565 หรือ APEC 2022 ซึ่งประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมนั้น ประเทศไทยหาได้มีผู้นำที่มีความชอบธรรมมาเป็นผู้แทนของประเทศ อันสามารถทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการประชุมในครั้งนี้ไม่ แต่กลับมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำของประเทศที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งละเลยเสียงของประชาชนและไม่สามารถบริหารประเทศโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งได้อย่างแท้จริง
ผู้นำของประเทศจะต้องปกครองประเทศเพื่อสนองความต้องการของประชาชน การรับฟังความเห็นของประชาชนจึงเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม เสียงความต้องการของประชาชนกลับถูกขัดขวางไม่ให้สนอง เสียงความเดือดร้อนของประชาชนกลับถูกละเลยที่จะแก้ไข เห็นได้จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ประชาชนได้เข้ามาร้องทุกข์อย่างจริงจัง ข้อเรียกร้องต่างๆ ของประชาชนกลับถูกเพิกเฉยท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและโรคระบาด นอกเหนือจากนั้น ประชาชนที่เห็นต่างกลับถูกดำเนินคดีเพื่อปิดปากไม่ให้แสดงความเห็นในทางที่รัฐบาลไม่พึงพอใจ ทำให้มีนักโทษทางการเมืองเป็นจำนวนมาก เปลี่ยนกฎหมายซึ่งควรเป็นเครื่องคุ้มครองประชาชน กลายเป็นเครื่องคุ้มครองตนเองเสีย ฟังแต่เสียงสรรญเสริญเทิดทูนตน แต่กลับไม่ฟังเสียงความต้องการของประชาชน มิอาจเป็นผู้นำที่สนองความต้องการของประชาชนได้
นโยบายและกฎหมายของประเทศ ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน มิใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ร่างกฎหมายหลายฉบับอันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประชาชนซึ่งถูกเสนอเข้าสู่สภา กลับถูกขัดขวางโดยเหล่าองคาพยพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ประชาชนมิได้รับประโยชน์อันควรได้รับ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับกำหนดนโยบายและออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนและต่อการสืบทอดอำนาจของตนเอง การที่กฎหมายและนโยบายของประเทศไทย มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเช่นนี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้บริหารประเทศโดยมีประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการรัฐประหาร ในปี พ.ศ.2557 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พิสูจน์ตนเองต่อสายตาประชาชนไทยแล้วว่า ตนได้บริหารประเทศโดยละเลยเสียงของประชาชนและไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน ประชาชนไทย จึงไม่อาจไว้วางใจให้ผู้นำเช่นนี้เป็นผู้แทนของประเทศในการประชุมระดับนานาชาติได้
ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงไร้ซึ่งความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิงในการเป็นประธานการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคครั้งนี้ และสมควรพิจารณาตนเอง ในการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่สามารถบริหารประเทศ โดยตอบสนองความต้องการประชาชนได้อย่างแท้จริง
เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย
พรรคศรัทธาธรรมมหาวิทยาลัยรามคำแหง
จากนั้น ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหงได้ทำการแถลงคัดค้าน ‘
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานการจัดประชุมเอเปค’ ในภาษาอังกฤษและภาษามลายู
นาย
นันทพงศ์ กล่าวว่า เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย และ พรรคศรัทธาธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอสนับสนุนและเห็นด้วยกับ ‘ราษฎรหยุดเอเปค 2022’ หลังจากนี้ในการชุมนุมทุกๆ วัน ในการเรียกร้องทุกๆ ที่ พวกเราจะไปร่วมทุกกิจกรรมและจะมีกิจกรรมของเราเองที่จะจัด เพื่อเรียกร้องให้นานาประเทศได้เห็นว่า พล.อ.
ประยุทธ์และองคาพยพ ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค 2022 ในครั้งนี้
สำหรับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่สมาชิกเครือข่ายรามฯถูกมัดมือและปิดปากนั้น เป็นการสื่อสารว่า วันนี้ พล.อ.
ประยุทธ์ผูกขาดทุกอย่าง ทั้งอากาศบริสุทธิ์ ทรัพยากร การศึกษา และระบบสาธารณสุข และ พล.อ.
ประยุทธ์ปิดปากคนไทย ไม่ให้พูดและวิพากษ์วิจารณ์
‘สมัชชาคนจน’ ประณาม จนท.รัฐ ‘คุกคามไม่เลิก’ โชว์อำนาจบาตรใหญ่ โทรขู่-ตะคอก ถามย้ำ ‘ไปม็อบเอเปคไหม’ ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3675271
‘สมัชชาคนจน’ โวย ไม่หยุดคุกคาม เห็นดีแน่! ‘ประณาม จนท.รัฐ’ โชว์อำนาจบาตรใหญ่ ตามโทรเช็ก-ขู่-ตะคอกถึงที่ทำงาน ถามซ้ำๆ ไปม็อบเอเปคไหม ?
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มสมัชชาคนจน ได้ออกแถลงการณ์ ประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการคุกคามสมาชิกสมัชชาคนจน
โดยมีเนื้อหาระบุว่า
หลังจากที่มีการแจ้งการชุมนุมของสมัชชาคนจนเพื่อคัดค้านการประชุมเอเปค และการแถลงการณ์การเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่ม ราษฎร STOP APEC 2022 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ทางเจ้าหน้าที่ในระดับท้องที่ก็ได้เข้ามาติดตาม สอบถาม แกนนำชาวบ้านในหลายพื้นที่ของสมัชชาคนจน
สำนักงานเลขาธิการสมัชชาคนจน ได้รับแจ้งจากสมาชิกว่า เจ้าหน้าที่รัฐติดตามและสอบถาม เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แกนนำชาวบ้านพื้นที่ปากมูล จังหวัดอุบลราชธานี แจ้งว่าสันติบาลจังหวัดได้โทรมาสอบถามเรื่องการเข้าร่วมชุมนุมในช่วงการประชุมเอเปคที่กรุงเทพฯ หรือไม่ เช่นเดียวกับในหลายพื้นที่ทั้ง จังหวัดพัทลุง จังหวัดลพบุรี จังหวัดแพร่
ต่อมา เมื่อวันที่ 13-15 พฤศจิกายน มีเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนทั้งเจ้าหน้าที่ปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สันติบาล เดินทางลงพื้นที่ตามบ้านแกนนำเพื่อเข้าพบและพูดคุย โดยประเด็นที่เจ้าหน้าที่สอบถามคือ เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงเอเปคหรือไม่ จะมีการยื่นหนังสือหรือไม่ เดินทางอย่างไร ในหลายพื้นที่ เช่น พื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง โดยที่หลายครั้งเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนได้โทรสอบถามในประเด็นเดิมๆ สร้างความรำคาญให้กับพี่น้องที่ต้องทำมาหากินในแต่ละวัน ทั้งเสียเวลาที่ต้องมาตอบคำถามซ้ำๆ ของเจ้าหน้าที่ เห็นได้ชัดว่าการบูรณาการทำงานของหน่วยงานรัฐไม่มีมาตรฐานและไม่มีการทำงานที่เป็นระบบ ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อีกทั้งที่สำนักงานสมัชชาคนจนในกรุงเทพ ก็มีตำรวจสายสืบจาก สน.สำเหร่ มาขู่ตะคอก แสดงอำนาจบาตรใหญ่ พอถูกตอบโต้จากกลุ่มเยาวชนที่มาเขียนป้ายก็กลับไปฟ้องนาย ว่าพวกเราพูดไม่ดีก่อน ซึ่งเป็นการกระทำที่เลวทรามต่ำช้าเป็นอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา แกนนำชาวบ้านในหลายพื้นที่เรียกร้องให้ทางหน่วยงานของรัฐเร่งแก้ไขปัญหา แต่กลับพบว่าหลายครั้งเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัด หรือท้องที่ ไม่ให้ความสำคัญ เช่น ไม่ลงมารับหนังสือร้องเรียน หรือไม่ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แต่เมื่อมีการประชุมสุดยอดผู้นำที่จะเกิดขึ้นวันที่ 16-19 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ กลับมีเจ้าหน้าที่รัฐหลายภาคส่วนเฝ้าติดตามพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด
สมัชชาคนจนเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล โดยเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเสียเอง จึงเป็นการกระทำที่น่าละอาย ไร้ซึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของข้าราชการ เราขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองจงหยุดกระทำการคุกคามสมาชิกสมัชชาคนจนทันที มิฉะนั้นเราจะได้เห็นดีกัน
ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน
สมัชชาคนจน 15 พฤศจิกายน 2565
JJNY : 5in1 ปิดปาก-มัดมือเท้า|‘สมัชชาคนจน’ประณามจนท.รัฐ|‘ตรีชฎา’จี้ใจดำ‘อนุทิน’|ก้าวไกลโวยกองสลาก|ชี้เอเปค2022 ถูกถาม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3675491
‘เครือข่ายราม’ ปิดปาก-มัดมือเท้า แถลง 3 ภาษา จี้ประยุทธ์ลาออก อายแทน 8 ปีไม่เคยเห็นหัวปชช. หมดความชอบธรรมนั่งประธาน ‘เอเปค’
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ลานพ่อขุนรามคำแหง มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก) เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย และพรรคศรัทธาธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดแถลงข่าวคัดค้าน ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานการจัดประชุมเอเปค’ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ไร้ความชอบธรรม เป็นผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน ไม่สมควรที่จะได้เป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ โดยมีการแถลงจุดยืน 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษามลายู
นายนันทพงศ์ ปานมาศ หรือ กุ๊ก แกนนำเครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เรารู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน จับคนเห็นต่างเข้าคุก สิ่งสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปคในครั้งนี้ วันนี้ประเทศไทยภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 8 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นหัวประชาชน และยังบริหารประเทศ ทำให้เศรษฐกิจ สังคม การเมืองพังพินาศ มีประชาชนล้มตายเพราะพิษเศรษฐกิจและการบริหารการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผิดพลาด และที่สำคัญ องคาพยพของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคร่วมรัฐบาลยังบริหารกระทรวงต่างๆ อย่างล้มเหลว
วันนี้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค มีผู้นำหลายๆ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ก็เข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้ แต่สิ่งที่น่าอายคือ ประเทศไทยกลับมีรัฐธรรมนูญที่มีการสืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 เรามีรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และมี ส.ว.ที่มาจากการลากตั้ง 250 คน เรามีรัฐธรรมนูญที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน
“ซึ่งวันนี้เราอยากจะสื่อความต่างๆ เหล่านี้ ไปยังผู้นำที่มาประชุมที่ประเทศไทยว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจรัฐประหาร และ พล.อ.ประยุทธ์ยังสืบทอดอำนาจตำแหน่งนากยฯ ผ่านรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเราอยากจะสื่อความหมายไปยังผู้นำนานาประเทศว่า วันนี้ประเทศไทยยังมีนักโทษการเมืองที่อยู่ในเรือนจำอีกมากมาย ไม่ว่านักโทษการเมืองที่ติดคุกด้วยมาตรา 112 ไม่ว่านักโทษทางการเมืองที่ติดคุกเพราะออกมาเห็นต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้เรายังยืนยัน 3 ข้อเรียกร้อง คือ
1. พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
2. พล.อ.ประยุทธ์จะต้องยุบสภา และจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย
3. พล.อ.ประยุทธ์ต้องปล่อยนักโทษทางการเมืองที่ติดคุกเพราะมาตรา 112 และนักโทษทางการเมืองทุกๆ คดี และสิ่งสำคัญ มาตรา 112 จะต้องมีการแก้ไขและปรับปรุงให้ดีกว่านี้” นายนันทพงศ์ กล่าว
จากนั้น โอม อานนท์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรามคำแหง เริ่ม อ่านแถลงการณ์ ภาษาไทย ความว่า
รัฐแต่ละรัฐในโลกล้วนต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งปวงของรัฐตนเหนือสิ่งอื่นใด การประชุมระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในเครื่องมือของรัฐในการเติมเต็มผลประโยชน์ของประชาชนของรัฐนั้น ผู้แทนของประเทศในการประชุมระดับนานาชาติจึงสมควรเป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนมากกว่าสิ่งอื่นใด เพื่อที่ผู้นั้นจะสามารถกระทำการใดๆ โดยก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของชาติตนได้ ผู้นำที่นำประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งเช่นนั้น จึงมีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้แทนของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคในปี พ.ศ.2565 หรือ APEC 2022 ซึ่งประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมนั้น ประเทศไทยหาได้มีผู้นำที่มีความชอบธรรมมาเป็นผู้แทนของประเทศ อันสามารถทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการประชุมในครั้งนี้ไม่ แต่กลับมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำของประเทศที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งละเลยเสียงของประชาชนและไม่สามารถบริหารประเทศโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งได้อย่างแท้จริง
ผู้นำของประเทศจะต้องปกครองประเทศเพื่อสนองความต้องการของประชาชน การรับฟังความเห็นของประชาชนจึงเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม เสียงความต้องการของประชาชนกลับถูกขัดขวางไม่ให้สนอง เสียงความเดือดร้อนของประชาชนกลับถูกละเลยที่จะแก้ไข เห็นได้จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ประชาชนได้เข้ามาร้องทุกข์อย่างจริงจัง ข้อเรียกร้องต่างๆ ของประชาชนกลับถูกเพิกเฉยท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและโรคระบาด นอกเหนือจากนั้น ประชาชนที่เห็นต่างกลับถูกดำเนินคดีเพื่อปิดปากไม่ให้แสดงความเห็นในทางที่รัฐบาลไม่พึงพอใจ ทำให้มีนักโทษทางการเมืองเป็นจำนวนมาก เปลี่ยนกฎหมายซึ่งควรเป็นเครื่องคุ้มครองประชาชน กลายเป็นเครื่องคุ้มครองตนเองเสีย ฟังแต่เสียงสรรญเสริญเทิดทูนตน แต่กลับไม่ฟังเสียงความต้องการของประชาชน มิอาจเป็นผู้นำที่สนองความต้องการของประชาชนได้
นโยบายและกฎหมายของประเทศ ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน มิใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ร่างกฎหมายหลายฉบับอันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประชาชนซึ่งถูกเสนอเข้าสู่สภา กลับถูกขัดขวางโดยเหล่าองคาพยพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ประชาชนมิได้รับประโยชน์อันควรได้รับ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับกำหนดนโยบายและออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนและต่อการสืบทอดอำนาจของตนเอง การที่กฎหมายและนโยบายของประเทศไทย มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเช่นนี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้บริหารประเทศโดยมีประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการรัฐประหาร ในปี พ.ศ.2557 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พิสูจน์ตนเองต่อสายตาประชาชนไทยแล้วว่า ตนได้บริหารประเทศโดยละเลยเสียงของประชาชนและไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน ประชาชนไทย จึงไม่อาจไว้วางใจให้ผู้นำเช่นนี้เป็นผู้แทนของประเทศในการประชุมระดับนานาชาติได้
ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงไร้ซึ่งความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิงในการเป็นประธานการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคครั้งนี้ และสมควรพิจารณาตนเอง ในการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่สามารถบริหารประเทศ โดยตอบสนองความต้องการประชาชนได้อย่างแท้จริง
เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย
พรรคศรัทธาธรรมมหาวิทยาลัยรามคำแหง
จากนั้น ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหงได้ทำการแถลงคัดค้าน ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานการจัดประชุมเอเปค’ ในภาษาอังกฤษและภาษามลายู
นายนันทพงศ์ กล่าวว่า เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย และ พรรคศรัทธาธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอสนับสนุนและเห็นด้วยกับ ‘ราษฎรหยุดเอเปค 2022’ หลังจากนี้ในการชุมนุมทุกๆ วัน ในการเรียกร้องทุกๆ ที่ พวกเราจะไปร่วมทุกกิจกรรมและจะมีกิจกรรมของเราเองที่จะจัด เพื่อเรียกร้องให้นานาประเทศได้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์และองคาพยพ ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค 2022 ในครั้งนี้
สำหรับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่สมาชิกเครือข่ายรามฯถูกมัดมือและปิดปากนั้น เป็นการสื่อสารว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ผูกขาดทุกอย่าง ทั้งอากาศบริสุทธิ์ ทรัพยากร การศึกษา และระบบสาธารณสุข และ พล.อ.ประยุทธ์ปิดปากคนไทย ไม่ให้พูดและวิพากษ์วิจารณ์
‘สมัชชาคนจน’ ประณาม จนท.รัฐ ‘คุกคามไม่เลิก’ โชว์อำนาจบาตรใหญ่ โทรขู่-ตะคอก ถามย้ำ ‘ไปม็อบเอเปคไหม’ ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3675271
‘สมัชชาคนจน’ โวย ไม่หยุดคุกคาม เห็นดีแน่! ‘ประณาม จนท.รัฐ’ โชว์อำนาจบาตรใหญ่ ตามโทรเช็ก-ขู่-ตะคอกถึงที่ทำงาน ถามซ้ำๆ ไปม็อบเอเปคไหม ?
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มสมัชชาคนจน ได้ออกแถลงการณ์ ประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการคุกคามสมาชิกสมัชชาคนจน
โดยมีเนื้อหาระบุว่า
หลังจากที่มีการแจ้งการชุมนุมของสมัชชาคนจนเพื่อคัดค้านการประชุมเอเปค และการแถลงการณ์การเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่ม ราษฎร STOP APEC 2022 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ทางเจ้าหน้าที่ในระดับท้องที่ก็ได้เข้ามาติดตาม สอบถาม แกนนำชาวบ้านในหลายพื้นที่ของสมัชชาคนจน
สำนักงานเลขาธิการสมัชชาคนจน ได้รับแจ้งจากสมาชิกว่า เจ้าหน้าที่รัฐติดตามและสอบถาม เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แกนนำชาวบ้านพื้นที่ปากมูล จังหวัดอุบลราชธานี แจ้งว่าสันติบาลจังหวัดได้โทรมาสอบถามเรื่องการเข้าร่วมชุมนุมในช่วงการประชุมเอเปคที่กรุงเทพฯ หรือไม่ เช่นเดียวกับในหลายพื้นที่ทั้ง จังหวัดพัทลุง จังหวัดลพบุรี จังหวัดแพร่
ต่อมา เมื่อวันที่ 13-15 พฤศจิกายน มีเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนทั้งเจ้าหน้าที่ปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สันติบาล เดินทางลงพื้นที่ตามบ้านแกนนำเพื่อเข้าพบและพูดคุย โดยประเด็นที่เจ้าหน้าที่สอบถามคือ เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงเอเปคหรือไม่ จะมีการยื่นหนังสือหรือไม่ เดินทางอย่างไร ในหลายพื้นที่ เช่น พื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง โดยที่หลายครั้งเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนได้โทรสอบถามในประเด็นเดิมๆ สร้างความรำคาญให้กับพี่น้องที่ต้องทำมาหากินในแต่ละวัน ทั้งเสียเวลาที่ต้องมาตอบคำถามซ้ำๆ ของเจ้าหน้าที่ เห็นได้ชัดว่าการบูรณาการทำงานของหน่วยงานรัฐไม่มีมาตรฐานและไม่มีการทำงานที่เป็นระบบ ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อีกทั้งที่สำนักงานสมัชชาคนจนในกรุงเทพ ก็มีตำรวจสายสืบจาก สน.สำเหร่ มาขู่ตะคอก แสดงอำนาจบาตรใหญ่ พอถูกตอบโต้จากกลุ่มเยาวชนที่มาเขียนป้ายก็กลับไปฟ้องนาย ว่าพวกเราพูดไม่ดีก่อน ซึ่งเป็นการกระทำที่เลวทรามต่ำช้าเป็นอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา แกนนำชาวบ้านในหลายพื้นที่เรียกร้องให้ทางหน่วยงานของรัฐเร่งแก้ไขปัญหา แต่กลับพบว่าหลายครั้งเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัด หรือท้องที่ ไม่ให้ความสำคัญ เช่น ไม่ลงมารับหนังสือร้องเรียน หรือไม่ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แต่เมื่อมีการประชุมสุดยอดผู้นำที่จะเกิดขึ้นวันที่ 16-19 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ กลับมีเจ้าหน้าที่รัฐหลายภาคส่วนเฝ้าติดตามพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด
สมัชชาคนจนเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล โดยเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเสียเอง จึงเป็นการกระทำที่น่าละอาย ไร้ซึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของข้าราชการ เราขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองจงหยุดกระทำการคุกคามสมาชิกสมัชชาคนจนทันที มิฉะนั้นเราจะได้เห็นดีกัน
ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน
สมัชชาคนจน 15 พฤศจิกายน 2565