😎 จริงๆความแตกต่างของการออกกำลังกายทั้งสองแบบนั้น ก็มีการศึกษากันมาเยอะมากแล้วนะครับ ในช่วงที่ผ่านมา เช่น ผลต่อการลดไขมัน ผลต่อการพัฒนากล้ามเนื้อ แต่ครั้งนี้เขาศึกษาผลในระดับ Metabolite ด้วยวิธีการศึกษาแบบ Metabolomics
📌 คร่าวๆ สำหรับท่านที่ไม่คุ้นนะครับ Aerobic คือกิจกรรมที่อาศัยระบบพลังงานที่ใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน เช่นพวกกิจกรรมเต้นแอโรบิค วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ Anaerobic คือกิจกรรมที่อาศัยระบบพลังงานที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน
📝 ส่วน Metabolomics เป็นการศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับ Metabolites ของสารชีวเคมีในร่างกาย ว่าจากอันนี้เปลี่ยนเป็นอันนั้น แล้วเปลี่ยนต่อไปเป็นอันนู๊นยังไง ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่อยู่เหมือนกันนะครับ เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การศึกษาทางวิทยาศาสตร์อันยาวนาน (ว่าไปนั่น ๕๕)
🚴🏻♂️ งานนี้เขาศึกษาในคน สุขภาพดีนะครับ 40 คน โดยให้มาปั่นจักรยานเพื่อศึกษากิจกรรม Aerobic (AC) หนึ่งวัน และอีกวันนึงก็ให้มาทำ Resistance exercise (RE) เพื่อศึกษากิจกรรม Anaerobic โดยทั้งสองวันก่อนเริ่มทำกิจกรรม เขาก็เก็บตัวอย่างเลือดไว้ก่อนขณะพัก (Rest) เพื่อดูเป็น baseline ไว้วิเคราะห์ว่าหลังจากออกกำลังกายแบบต่างๆ แล้วมีความเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
🔎 ผลที่พบเนี่ยกิจกรรมทั้งสองอย่าง ให้ผลที่ค่อนข้างค่อนข้างจะเหมือนกันมากนะครับ สิ่งที่แตกต่างกันมีน้อยกว่าเยอะเลย ที่แตกต่างกันมักจะเป็นผลในแง่ของขนาดหรือปริมาณ (magnitude) ของ Metabolite แต่ละอย่าง แล้วก็หลังออกกำลังกายทันที แต่ละกิจกรรมจะมีความต่างกันมากหน่อย แต่ว่าภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม
🏋🏼 กิจกรรม RE ที่มี Intensity สูง มีความจำเป็นที่จะต้องใช้คาร์โบไฮเดรตค่อนข้างมาก เพื่อใช้ในกระบวนการ Glycolysis สร้างพลังงาน ATP ใช้ ระหว่างกิจกรรม Lactate สูงขึ้นพร้อมกับที่ Fat Oxidation เกิดขึ้นอย่างจำกัด และเมื่อจบกิจกรรม RE ก็สอดคล้องกับที่เราทราบๆกันว่า RE ใช้พลังงานจาก Fatty Acid (FA) น้อย หลังจากจบกิจกรรม ทั้ง AC และ RE การใช้พลังงานจาก FA ก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
🔥 มาถึงตรงนี้ มันจะมีความเชื่อเรื่อง Fat burn zone ในการออกกำลังกายอยู่ ในงานนี้เขาพบว่ามันก็จริงนะครับ ที่ Aerobic ใช้ FA ระหว่างทำกิจกรรมเยอะกว่า แต่ก็เหมือนกับว่าในช่วงหลังจากนั้น Anaerobic ที่แม้จะใช้น้อย แต่พอตอนที่ Recovery และในช่วงระหว่างวัน ก็จะใช้ FA มากกว่าอยู่ดี
😎 ว่าง่ายๆคือ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม จะมี Fat Burn zone หรือไม่ เมื่อเกิดพลังงานติดลบ (Energy deficit) แล้วต้องมีการฟื้นตัวขึ้นมา ตรงนั้นก็เกิดการ Oxidation เจ้า FA ออกมาเป็นพลังงานอยู่ดี ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร หรือในระหว่งทำกิจกรรมจะใช้พลังงานจากแหล่งไหนเป็นแหล่งหลัก
🚴🏻♂️ ระหว่างการทำกิจกรรมทั้งสองอย่าง เมตาบอลิซึมของ Carbohydrate และ Amino Acid เพิ่มสูงขึ้น ตรงนี้ก็เขามองว่าสนับสนุนความสำคัญของการทาน Post-workout เพื่อทำการ Recovery ด้วย ส่วนพวกกิจกรรม Endurance ก็น่าจะได้ประโยชน์ในการทานโปรตีนระหว่างช่วงที่ทำกิจกรรมนานๆ
📌 โดยภาพรวมแล้วการออกกำลังกายร่างกายต้องใช้พลังงาน กิจกรรมที่แตกต่างกัน ใช้พลังงานแตกต่างกัน AC ทำให้เกิดการสลายสารตั้งต้นหลายชนิด มีความยืดหยุ่นในการใช้พลังงานมากกว่า ในช่วงที่กิจกรรมเริ่มคงที่ FA จะมีบทบาทมาก เกิด anti-oxidation , pro/anti-inflammatory มากกว่า ทำให้เกิดการ Recovery ได้ไวกว่า
🏋🏼 RE ให้ผลตรงกันข้าม เกิดการเพิ่มขึ้นของ Glycolysis และ Purine Salvage มากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ ATP สำหรับกิจกรรม High Intensity หลังจบกิจกรรมแล้วเมตาบอลิซึมของ FA จะมีบทบาทในการให้พลังงานร่างกาย การเกิดพลังงานติดลบในช่วงฝึก RE ส่งผลให้การ Recovery ทำได้ช้าล่าช้ากว่า
😎 สรุป กิจกรรม Aerobic และ Anaerobic มีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ภาพรวมแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก อยากเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดพลังงานติดลบ (Energy deficit) ให้ได้ ยังไงก็ตามตรงที่ deficit นั้นมันเกิดการเผาผลาญไขมันมาอยู่แล้ว ถ้าติดลบได้เพียงพอ มันก็ดึงไขมันสะสมออกมาใช้นั่นแหละ
ที่มาและแหล่งอ้างอิง
https://www.fatfighting.net/article-2022-10-13-the-exercise-metabolome/
หลังออกกำลังกาย Aerobic กับ Anaerobic สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา เหมือนหรือแตกต่างกันยังไง 🤔
📌 คร่าวๆ สำหรับท่านที่ไม่คุ้นนะครับ Aerobic คือกิจกรรมที่อาศัยระบบพลังงานที่ใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน เช่นพวกกิจกรรมเต้นแอโรบิค วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ Anaerobic คือกิจกรรมที่อาศัยระบบพลังงานที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน
📝 ส่วน Metabolomics เป็นการศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับ Metabolites ของสารชีวเคมีในร่างกาย ว่าจากอันนี้เปลี่ยนเป็นอันนั้น แล้วเปลี่ยนต่อไปเป็นอันนู๊นยังไง ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่อยู่เหมือนกันนะครับ เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การศึกษาทางวิทยาศาสตร์อันยาวนาน (ว่าไปนั่น ๕๕)
🚴🏻♂️ งานนี้เขาศึกษาในคน สุขภาพดีนะครับ 40 คน โดยให้มาปั่นจักรยานเพื่อศึกษากิจกรรม Aerobic (AC) หนึ่งวัน และอีกวันนึงก็ให้มาทำ Resistance exercise (RE) เพื่อศึกษากิจกรรม Anaerobic โดยทั้งสองวันก่อนเริ่มทำกิจกรรม เขาก็เก็บตัวอย่างเลือดไว้ก่อนขณะพัก (Rest) เพื่อดูเป็น baseline ไว้วิเคราะห์ว่าหลังจากออกกำลังกายแบบต่างๆ แล้วมีความเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
🔎 ผลที่พบเนี่ยกิจกรรมทั้งสองอย่าง ให้ผลที่ค่อนข้างค่อนข้างจะเหมือนกันมากนะครับ สิ่งที่แตกต่างกันมีน้อยกว่าเยอะเลย ที่แตกต่างกันมักจะเป็นผลในแง่ของขนาดหรือปริมาณ (magnitude) ของ Metabolite แต่ละอย่าง แล้วก็หลังออกกำลังกายทันที แต่ละกิจกรรมจะมีความต่างกันมากหน่อย แต่ว่าภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม
🏋🏼 กิจกรรม RE ที่มี Intensity สูง มีความจำเป็นที่จะต้องใช้คาร์โบไฮเดรตค่อนข้างมาก เพื่อใช้ในกระบวนการ Glycolysis สร้างพลังงาน ATP ใช้ ระหว่างกิจกรรม Lactate สูงขึ้นพร้อมกับที่ Fat Oxidation เกิดขึ้นอย่างจำกัด และเมื่อจบกิจกรรม RE ก็สอดคล้องกับที่เราทราบๆกันว่า RE ใช้พลังงานจาก Fatty Acid (FA) น้อย หลังจากจบกิจกรรม ทั้ง AC และ RE การใช้พลังงานจาก FA ก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
🔥 มาถึงตรงนี้ มันจะมีความเชื่อเรื่อง Fat burn zone ในการออกกำลังกายอยู่ ในงานนี้เขาพบว่ามันก็จริงนะครับ ที่ Aerobic ใช้ FA ระหว่างทำกิจกรรมเยอะกว่า แต่ก็เหมือนกับว่าในช่วงหลังจากนั้น Anaerobic ที่แม้จะใช้น้อย แต่พอตอนที่ Recovery และในช่วงระหว่างวัน ก็จะใช้ FA มากกว่าอยู่ดี
😎 ว่าง่ายๆคือ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม จะมี Fat Burn zone หรือไม่ เมื่อเกิดพลังงานติดลบ (Energy deficit) แล้วต้องมีการฟื้นตัวขึ้นมา ตรงนั้นก็เกิดการ Oxidation เจ้า FA ออกมาเป็นพลังงานอยู่ดี ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร หรือในระหว่งทำกิจกรรมจะใช้พลังงานจากแหล่งไหนเป็นแหล่งหลัก
🚴🏻♂️ ระหว่างการทำกิจกรรมทั้งสองอย่าง เมตาบอลิซึมของ Carbohydrate และ Amino Acid เพิ่มสูงขึ้น ตรงนี้ก็เขามองว่าสนับสนุนความสำคัญของการทาน Post-workout เพื่อทำการ Recovery ด้วย ส่วนพวกกิจกรรม Endurance ก็น่าจะได้ประโยชน์ในการทานโปรตีนระหว่างช่วงที่ทำกิจกรรมนานๆ
📌 โดยภาพรวมแล้วการออกกำลังกายร่างกายต้องใช้พลังงาน กิจกรรมที่แตกต่างกัน ใช้พลังงานแตกต่างกัน AC ทำให้เกิดการสลายสารตั้งต้นหลายชนิด มีความยืดหยุ่นในการใช้พลังงานมากกว่า ในช่วงที่กิจกรรมเริ่มคงที่ FA จะมีบทบาทมาก เกิด anti-oxidation , pro/anti-inflammatory มากกว่า ทำให้เกิดการ Recovery ได้ไวกว่า
🏋🏼 RE ให้ผลตรงกันข้าม เกิดการเพิ่มขึ้นของ Glycolysis และ Purine Salvage มากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ ATP สำหรับกิจกรรม High Intensity หลังจบกิจกรรมแล้วเมตาบอลิซึมของ FA จะมีบทบาทในการให้พลังงานร่างกาย การเกิดพลังงานติดลบในช่วงฝึก RE ส่งผลให้การ Recovery ทำได้ช้าล่าช้ากว่า
😎 สรุป กิจกรรม Aerobic และ Anaerobic มีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ภาพรวมแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก อยากเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดพลังงานติดลบ (Energy deficit) ให้ได้ ยังไงก็ตามตรงที่ deficit นั้นมันเกิดการเผาผลาญไขมันมาอยู่แล้ว ถ้าติดลบได้เพียงพอ มันก็ดึงไขมันสะสมออกมาใช้นั่นแหละ
ที่มาและแหล่งอ้างอิง
https://www.fatfighting.net/article-2022-10-13-the-exercise-metabolome/