JJNY : “พิธา”ควง“อุ๊งอิ๊ง”ชมบูธ | “อนุสรณ์”แนะแก้รธน.ม.272|ส.ค้าปลีกไทยเดินหน้าช่วยเอสเอ็มอี |‘ป้อม’บอก‘เดี่ยว’ของ‘โน้ส’

“พิธา”ควง “อุ๊งอิ๊ง” ชมบูธ “เพื่อไทย-ก้าวไกล”งานสัปดาห์หนังสือ
https://www.dailynews.co.th/news/1580411/

“พิธา”ควง”อุ๊งอิ๊ง” ชมบูธ”เพื่อไทย-ก้าวไกล” งานสัปดาห์หนังสือ พร้อมแจกลายเซ็นหนังสือ “วิถีก้าวไกล”

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะเจ้าของผลงาน “วิถีก้าวไกล” หนังสือรวบรวมวิสัยทัศน์และบทสัมภาษณ์เนื้อหาการอภิปรายของนายพิธา ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งแต่เริ่มต้นบทบาทหน้าที่ในการเป็น ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ได้พบปะนักอ่านพร้อมแจกลายเซ็น ซึ่งนักอ่านจำนวนมากเดินทางมาซื้อหนังสือวิถีก้าวไกล ซึ่งวางจำหน่ายผ่านมูลนิธิคณะก้าวหน้า บริเวณบูธ E 11
 
นอกจากผลงานเรื่องวิถีก้าวไกล ยังมีหนังสือที่วางขายครั้งแรกในงานหนังสือครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือรวบรวมการเขียนผลงานและการอภิปรายของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ผู้อภิปรายประเด็นงบสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังมีหนังสือรวบรวมผลงานแนวคิดและการปราศรัยสัมภาษณ์ของ ส.ส. จากพรรคก้าวไกลไม่ว่าจะเป็น นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นายรังสิมันต์ โรม รวมถึงหนังสือ “เปิดประตูสู่ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่
 
ทั้งนี้ภายในงาน นายพิธา ยังได้เดินชมงานร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยได้เยี่ยมชมบูธพรรคก้าวไกล ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบูธของพรรคเพื่อไทย และบูธของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนสถานการณ์การเมืองกันอีกด้วย
 

  
“อนุสรณ์”แนะแก้รธน. มาตรา 272 คืนความเป็นธรรมกลับสู่ประเทศ
https://siamrath.co.th/n/391322
  
วันที่ 16 ต.ค. 65 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทอล์กโชว์เดี่ยว 13 ของโน้ส อุดม แต้พานิช ว่า 

ตนไม่แน่ใจว่าระหว่างรู้สึกโกรธกับอาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้น้ำหนักกับอารมณ์ไหนมากกว่ากัน แต่ถ้าตั้งสติ ไม่โกรธ ไม่โมโห จะเข้าใจว่าการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพที่ถูกรองรับไว้ในรัฐธรรมนูญ การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเป็นการติชมตามวิสัยที่ประชาชนพึงกระทำได้ คนดีชอบแก้ไข อะไรที่เป็นปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ ก็นำไปปรับปรุงแก้ไข แม้ 8 ปีที่ผ่านมาจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ แต่ถ้าน้อมรับการวิพากษ์วิจารณ์แล้วนำไปปรับปรุงเชื่อว่าเวลาที่เหลืออยู่ 5 เดือน คงพอได้เห็นอะไรบ้าง แทนที่จะให้นักร้องในเครือข่ายไปฟ้องร้องดำเนินคดีคนวิพากษ์วิจารณ์ ต้องหันกลับแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เริ่มตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้ง กำหนดกติกาการเข้าสู่อำนาจของนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยกติกาที่เป็นประชาธิปไตย เป็นธรรมกับทุกพรรคการเมือง และกับทุกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี บทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตยควรได้รับการแก้ไข โดยควรแก้ไขมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ ให้เฉพาะส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น มีอำนาจโหวตนายกรัฐมนตรี หากไม่เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 จะเกิดสภาพความขัดแย้งไม่จบสิ้น ไม่เอื้อต่อการเกิดกติกาที่สุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง อุปมาเหมือนกับการแข่งขันวิ่ง 750 เมตร ในขณะที่ทุกคนออกสตาร์ทจากจุด 0 เมตร แต่มีคนเอาเปรียบนักกีฬาคนอื่นๆ ด้วยการออกสตาร์ทที่จุด 250 เมตร ไม่มีน้ำใจนักกีฬา หากไม่แก้ไขกติกานี้ก็ยากที่ความขัดแย้งจะหมดไป เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งส่งสัญญาณแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อให้เกิดกติกาการแข่งขันที่เป็นธรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้า
 
“ความกลัวทำให้เสื่อม ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ เก่งได้สักครึ่งของที่สารพัดโฆษกแข่งกันออกมาอวย ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ชายชาติทหาร ต้องกล้าสู้ด้วยกติกาที่เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบคนอื่น ต้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 คืนความเป็นธรรมให้กับประเทศ” นายอนุสรณ์ กล่าว



สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเดินหน้าช่วยเหลือ-หนุนเอสเอ็มอี หวังฟื้นเศรษฐกิจ
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7317555
 
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยถือเป็นเครื่องจักรตัวสุดท้ายที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้า เพราะภาคการท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโตสวนทางกับเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวอื่นๆ และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยจะมีมากถึง 10 ล้านคน ภายในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้ภาคค้าปลีกและบริการฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
 
ทั้งนี้ ภาคค้าปลีกและบริการมีจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) มากถึง 2.4 ล้านราย คิดเป็น 80% ของเอสเอ็มอีทั้งประเทศ อีกทั้ง ยังมีการจ้างงานในระบบกว่า 13 ล้านราย คิดเป็น 30% ของการจ้างงานทั้งหมด โดยภาคค้าปลีกและบริการ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 34% ของจีดีพี หรือกว่า 5.6 ล้านล้านบาท ดังนั้นถ้าเอสเอ็มอีฟื้นตัวและเติบโตขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็จะเติบโต
 
สมาคมฯ จึงตั้งเป้าที่จะผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ TRA NEXT (ทีอาร์เอ เน็กซ์) เพื่อช่วยเหลือ และสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยเป็นหลัก โดยจะมีการเพิ่มการจ้างงานมากกว่า 500,000 อัตรา ภายในปี 2566 รวมถึงช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างง่าย สะดวก และรวดเร็ว คงมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย โดยการลดเครดิตเทอมสั้นลง และจ่ายเงินให้รวดเร็ว เพื่อเสริมสภาพคล่องและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ พร้อมกันนี้เพิ่มรายได้และช่องทางการจัดจำหน่ายให้เอสเอ็มอี ผ่านภาคีเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมยกระดับให้เอสเอ็มอีไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก
 
“ภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันค่าจ้างแรงงานมีการปรับอัตราใหม่ และภาคค้าปลีกและบริการก็ยังคงมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานอยู่ ประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวที่ช้า และอาจสะดุดลงได้ โจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นฟูและเดินหน้าต่อไปได้ในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งการช่วยเหลือ และสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยเป็นหลัก จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา” 

ภาวะเศรษฐกิจของโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีความรุนแรงและส่งผลกระทบโดยตรงทั้งต่อกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเผชิญปัญหาแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ในขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาประสบปัญหาเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และมีความบอบบางสูงไปจนถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งกำลังพบกับวิกฤตขั้นเลวร้าย สำหรับประเทศไทยนั้นได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยนี้เช่นกัน สมาคมผู้ค้าปลีกไทยพร้อมที่จะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นฟูและเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่