บทที่ 1 จดหมายจากบ้านเกิด
เรื่องมันมีอยู่ว่า ในบ่ายวันนั้น ผมมีงานที่จะต้องไปส่งให้ลูกค้าคนหนึ่งแถวชานเมือง ซึ่งเป็นงานสุดท้ายของวันก่อนที่ผมจะกลับไปที่ออฟฟิต ลูกค้าของผมคนนี้เป็นคนใหญ่คนโตในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ เป็นคนในแบบที่ทั้งคุณและผม ต่างก็เรียกว่าถังข้าวสาร และเมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน ไม่สิ ความจริงต้องเรียกว่าคฤหาสณ์มากกว่า
"ว่าไงคุณชลนที เชิญนั่งก่อน"
ผมไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ สังเกตจากท่าทางของชายแก่ที่ร้อนรน ประสบการณ์มันสอนผมให้รู้ว่าควรจะเงียบเอาไว้เป็นดีที่สุด ผมทำได้แค่นั่งลงแล้วมองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ราวกับจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
"มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม ?"
เขาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผมเงียบ
"ทุกอย่างอยู่ในซองนี่หมดแล้ว"
เขารีบแย่งซองเอกสารนั่นจากมือผม แล้วรีบเปิดมันออกมาอ่านอย่างร้อนรน
"เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นังตัวดี !"
เขาสบถเบาๆ เสร็จแล้วก็รีบซ่อนมันเอาไว้ที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงภรรยาสาวของเขา
"ที่รัก อาหารเสร็จแล้วค่ะ เอ ไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีแขก จะอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมคะ ?"
ประโยคสุดท้ายเธอหันมาถามผม ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ ผมรู้สึกคุ้นหน้าเธอเหมือนกับเคยเห็นในทีวี แต่นึกชื่อเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เธอน่าจะอยู่ในวงการนักแสดงหรืออะไรสักอย่าง แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรอก เพราะผมยังไม่ทันที่จะขยับปากพูดอะไร ก็มีเสียงแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"เขามีธุระอื่นต้องไปทำอีกน่ะ คงอยู่ทานด้วยกันไม่ได้หรอก ใชไหมคุณชลนที"
ไม่พูดเปล่า เขาหันมาแล้วยื่นซองขาวให้กับผมหนึ่งใบ ไม่ต้องเปิดก็พอจะเดาได้ว่านั้นคือซองใส่ธนบัตร ผมรีบรับมันใส่ไว้ในกระเปาเสื้อทันที
"ใช่ครับ ผมยังมีธุระอื่นให้ต้องไปทำอีก คงอยู่ทานด้วยกันไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ"
สถานะการณ์อย่างนี้สำหรับผมคำว่าโอกาสหน้าคงเป็นไปได้ยาก ผมตอบเธอไปส่งเดชอย่างนั้นเอง อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
"เหรอคะ น่าเสียดายจัง ดิฉันอบไก่งวงตัวใหญ่เอาไว้ด้วย มันเพียงพอสำหรับหลายคนเลยนะคะ"
แล้วสายตาของเธอก็จ้องมาที่ซองใส่เอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ
"ที่รัก นั้นซองอะไรเหรอคะ"
"ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เรื่องงานน่ะ เออ เสร็จธุระในครัวแล้วช่วยขึ้นไปหาพี่ที่ห้องหน่อยนะ มีธุระจะคุยด้วย"
ชายแก่พูดอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก จนผมรู้สึกขนลุก
"ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ"
ผมรีบเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากที่นั้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ในขณะที่กำลังที่จะก้าวขาพ้นประตูรั้วด้านนอกนั้น หูของผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดๆ ปัง ! ปัง ! แน่นอนผมทราบถึงสาเหตุของเสียงปืนนั่นดี แล้วก็มีเสียงโหยหวนของผู้หญิงดังขึ้นแปปนึง ก่อนจะเงียบไป ผมไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง ไม่สนใจแม้กระทั้งเสียงปืนที่ดังไล่หลังอีกสองนัดด้วยซ้ำ ผมรีบก้าวขึ้นรถแล้วบึ่งออกไปจากที่นั่นทันทีด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว
ชิตชัย "นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณต้องเลิกทำงานนี้ ดื่มเสียหน่อยเถอะครับ ชาเย็นคุณละลายหมดแล้ว"
ชลนที "อ้อ ครับ แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก นั่นแค่ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อย เหตุการณ์ต่อจากนี้ต่างหากล่ะ ที่มันทำให้ผมต้องตัดสินใจเลิกทำอาชีพนี้ไปตลอดชีวิต"
ผมกลับมาถึงออฟฟิตเอาตอนใกล้ค่ำแล้ว ณรงค์ ไอ้เพื่อนตัวแสบของผม ซึ่งมันเป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ร่วมใจสืบสวน ของเรา นั่งทำหน้าทะเล้นอยู่บนโต๊ะทำงานของมัน
"เป็นไงบ้างเพื่อน ได้เงินมาครบใช่ไหม แล้วคุณสาครว่าอย่างไรบ้าง"
"ว่ากะผีอะไรล่ะ ไอ้แก่นั่นควักปืนออกมายิงเมียตัวเอง และคิดว่าน่ายิงตัวเองตายตามไปด้วย"
"เฮ้ย ! แล้วแกอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือวะ"
มันผุดลุกขึ้นยืนด้วยอาการตกใจ
"ป่าว ฉันเดินออกมาก่อนได้ยินเสียงปืน แม่บ้านก็เห็น หลังจากนั้นก็น่าจะเดาได้ ฉันละเบื่อที่จะต้องไปให้ปากคำกับตำรวจจริงๆ"
"ว้า เสียดายเมียสาวของแกจัง ลีลารักของเธอกับไอ้เด็กหนุ่มคนนั่นเด็ดขาดไปเลย เออ แล้วนี่แกเอาเงินค่าจ้างมาด้วยหรือเปล่า"
"ดูแกเป็นห่วงแต่เรื่องเงินเสียจริง แล้วนี่ยาย พิมพกา ไปไหนเสียล่ะ"
ผมบ่นพึมพำ มือก็หยิบซองธนบัตรในกระเป๋าส่งให้มัน
"ก็ไม่มีงานอะไรแล้ว ฉันก็เลยให้เธอกลับ อ้อ เห็นบอกว่ามีจดหมายมาถึงนาย มันวางอยู่บนโต๊ะน่ะ จ่ายงามขนาดนี้น่าจะมีโอกาสให้เราได้รับใช้บ่อยๆ ไม่น่าด่วนคิดสั้นเล้ยคุณสาคร"
หลังจากฟังมันพล่าม ผมก็นั่งลงบนโต๊ะตัวเก่ง จัดแจงปลดเสื้อคลุม ปืนพก ตั้งลงบนโต๊ะ จุดบุหรี่สูบ แล้วค่อยๆแกะจดหมายอ่านอย่างใจเย็น
"เวรละ ! แม่ฉันไม่สบาย คิดว่าอาจจะต้องกลับไปดูแลท่านสักระยะ"
ทันทีที่พูดจบ ณรงค์ที่นั่งอยู่ก็พลุนพลันเข้ามาแย่งจดหมายจากมือผมไปอ่านทันที
"ก็ไปสิ ไม่เป็นไรทางนี้ฉันดูแลเอง"
ผมหันกลับไปมองเพื่อนเกลอ ด้วยท่าทางแปลกใจนิดๆ
"นี่แกพูดประชดหรือเปล่าวะ"
"เปล่า ยังไงคนป่วยก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว อีกอย่างแกเองก็ไม่ได้กลับบ้านมานานไม่ใช่เหรอ กลับไปดูแลท่านเสียก่อนเถอะ และถือซะว่าได้พักผ่อนไปในตัวด้วย"
"แล้วตรงนี้แกเอาอยู่เหรอวะ ไหนจะเรื่องตำรวจอีก"
"เออน่าไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ทางนี้รับหน้าเองได้ แต่ถ้างานมันยุ่งมากจริงๆฉันก็คงต้องจ้างฟรีแล่นเพิ่ม แต่นั้นคงจะตัวเลือกสุดท้ายของฉัน เพราะจะต้องดิ้นรนโทรหาแกให้ได้เสียก่อน"
"555 แกนี่มันหน้าเลือดจริงๆ"
แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะกันลั่นออฟฟิต ความสุขเล็กๆของเราในว้นนั่นอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมลืมความทุกข์และเจ็บปวดภายในจิตใจไปได้ช่วงระยะหนึ่ง
ชิตชัย "แต่คุณก็ยังไม่ได้บอกคู่หูถึงเรื่องที่จะวางมือ"
ชลนที "ไม่หรอก เพราะตอนนั้นผมยังมีเรื่องในใจให้ต้องคิดอีกเยอะ และรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด"
ชิตชัย "ครับผม แต่ เอ ผมรู้สึกว่าพวกโต๊ะข้างๆเริ่มมองเราด้วยสายตาแปลกๆ อีกแล้ว รวมทั้งอีตาเจ้าของร้านด้วย หรือว่าผมแค่รู้สึกไปเอง"
ชลนที "คุณสมชายน่ะเหรอแกรู้จักกับผมและเป็นคนดีอยู่ แต่อาจเป็นเพราะคุณเป็นคนแปลกหน้าที่นี่ อย่าไปสนใจเลยครับ มาฟังเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ดีกว่า"
ชิตชัย "เดี้ยวนะเดี้ยว ก่อนที่คุณจะเป็นนักสืบ คุณน่ะเคยรับราชการตำรวจมาก่อนใช่ไหม"
ชลนที "ใช่แล้วครับ ก่อนหน้านั้นผมเคยอยู่หน่วยสืบสวนมาก่อน"
ชิตชัย "ว่าแล้วไง ผมเดาไม่ผิดจริงๆ ดูจากบุคลิกของคุณแล้ว ถ้าไม่เคยรับราชการตำรวจก็ต้องรับราชการทหารมาก่อน เอาล่ะ เชิญคุณเล่าต่อได้เลยครับ ขอโทษที่ขัดจังหวะ"
ค่ำวันนั้นผมกลับไปที่ห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบพักผ่อนให้เพียงพอสำหรับการเดินทางไกล พอเช้าวันต่อมาผมก็ไปโพล่ที่สถานีหัวลำโพง เพื่อขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปยังจังหวัดหนึ่งที่อยู่ค่อนไปทางภาคเหนือ
อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่1)
บทที่ 1 จดหมายจากบ้านเกิด
เรื่องมันมีอยู่ว่า ในบ่ายวันนั้น ผมมีงานที่จะต้องไปส่งให้ลูกค้าคนหนึ่งแถวชานเมือง ซึ่งเป็นงานสุดท้ายของวันก่อนที่ผมจะกลับไปที่ออฟฟิต ลูกค้าของผมคนนี้เป็นคนใหญ่คนโตในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ เป็นคนในแบบที่ทั้งคุณและผม ต่างก็เรียกว่าถังข้าวสาร และเมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน ไม่สิ ความจริงต้องเรียกว่าคฤหาสณ์มากกว่า
"ว่าไงคุณชลนที เชิญนั่งก่อน"
ผมไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ สังเกตจากท่าทางของชายแก่ที่ร้อนรน ประสบการณ์มันสอนผมให้รู้ว่าควรจะเงียบเอาไว้เป็นดีที่สุด ผมทำได้แค่นั่งลงแล้วมองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ราวกับจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
"มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม ?"
เขาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผมเงียบ
"ทุกอย่างอยู่ในซองนี่หมดแล้ว"
เขารีบแย่งซองเอกสารนั่นจากมือผม แล้วรีบเปิดมันออกมาอ่านอย่างร้อนรน
"เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นังตัวดี !"
เขาสบถเบาๆ เสร็จแล้วก็รีบซ่อนมันเอาไว้ที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงภรรยาสาวของเขา
"ที่รัก อาหารเสร็จแล้วค่ะ เอ ไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีแขก จะอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมคะ ?"
ประโยคสุดท้ายเธอหันมาถามผม ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ ผมรู้สึกคุ้นหน้าเธอเหมือนกับเคยเห็นในทีวี แต่นึกชื่อเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เธอน่าจะอยู่ในวงการนักแสดงหรืออะไรสักอย่าง แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรอก เพราะผมยังไม่ทันที่จะขยับปากพูดอะไร ก็มีเสียงแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"เขามีธุระอื่นต้องไปทำอีกน่ะ คงอยู่ทานด้วยกันไม่ได้หรอก ใชไหมคุณชลนที"
ไม่พูดเปล่า เขาหันมาแล้วยื่นซองขาวให้กับผมหนึ่งใบ ไม่ต้องเปิดก็พอจะเดาได้ว่านั้นคือซองใส่ธนบัตร ผมรีบรับมันใส่ไว้ในกระเปาเสื้อทันที
"ใช่ครับ ผมยังมีธุระอื่นให้ต้องไปทำอีก คงอยู่ทานด้วยกันไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ"
สถานะการณ์อย่างนี้สำหรับผมคำว่าโอกาสหน้าคงเป็นไปได้ยาก ผมตอบเธอไปส่งเดชอย่างนั้นเอง อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
"เหรอคะ น่าเสียดายจัง ดิฉันอบไก่งวงตัวใหญ่เอาไว้ด้วย มันเพียงพอสำหรับหลายคนเลยนะคะ"
แล้วสายตาของเธอก็จ้องมาที่ซองใส่เอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ
"ที่รัก นั้นซองอะไรเหรอคะ"
"ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เรื่องงานน่ะ เออ เสร็จธุระในครัวแล้วช่วยขึ้นไปหาพี่ที่ห้องหน่อยนะ มีธุระจะคุยด้วย"
ชายแก่พูดอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก จนผมรู้สึกขนลุก
"ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ"
ผมรีบเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากที่นั้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ในขณะที่กำลังที่จะก้าวขาพ้นประตูรั้วด้านนอกนั้น หูของผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดๆ ปัง ! ปัง ! แน่นอนผมทราบถึงสาเหตุของเสียงปืนนั่นดี แล้วก็มีเสียงโหยหวนของผู้หญิงดังขึ้นแปปนึง ก่อนจะเงียบไป ผมไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง ไม่สนใจแม้กระทั้งเสียงปืนที่ดังไล่หลังอีกสองนัดด้วยซ้ำ ผมรีบก้าวขึ้นรถแล้วบึ่งออกไปจากที่นั่นทันทีด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว
ชิตชัย "นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณต้องเลิกทำงานนี้ ดื่มเสียหน่อยเถอะครับ ชาเย็นคุณละลายหมดแล้ว"
ชลนที "อ้อ ครับ แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก นั่นแค่ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อย เหตุการณ์ต่อจากนี้ต่างหากล่ะ ที่มันทำให้ผมต้องตัดสินใจเลิกทำอาชีพนี้ไปตลอดชีวิต"
ผมกลับมาถึงออฟฟิตเอาตอนใกล้ค่ำแล้ว ณรงค์ ไอ้เพื่อนตัวแสบของผม ซึ่งมันเป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ร่วมใจสืบสวน ของเรา นั่งทำหน้าทะเล้นอยู่บนโต๊ะทำงานของมัน
"เป็นไงบ้างเพื่อน ได้เงินมาครบใช่ไหม แล้วคุณสาครว่าอย่างไรบ้าง"
"ว่ากะผีอะไรล่ะ ไอ้แก่นั่นควักปืนออกมายิงเมียตัวเอง และคิดว่าน่ายิงตัวเองตายตามไปด้วย"
"เฮ้ย ! แล้วแกอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือวะ"
มันผุดลุกขึ้นยืนด้วยอาการตกใจ
"ป่าว ฉันเดินออกมาก่อนได้ยินเสียงปืน แม่บ้านก็เห็น หลังจากนั้นก็น่าจะเดาได้ ฉันละเบื่อที่จะต้องไปให้ปากคำกับตำรวจจริงๆ"
"ว้า เสียดายเมียสาวของแกจัง ลีลารักของเธอกับไอ้เด็กหนุ่มคนนั่นเด็ดขาดไปเลย เออ แล้วนี่แกเอาเงินค่าจ้างมาด้วยหรือเปล่า"
"ดูแกเป็นห่วงแต่เรื่องเงินเสียจริง แล้วนี่ยาย พิมพกา ไปไหนเสียล่ะ"
ผมบ่นพึมพำ มือก็หยิบซองธนบัตรในกระเป๋าส่งให้มัน
"ก็ไม่มีงานอะไรแล้ว ฉันก็เลยให้เธอกลับ อ้อ เห็นบอกว่ามีจดหมายมาถึงนาย มันวางอยู่บนโต๊ะน่ะ จ่ายงามขนาดนี้น่าจะมีโอกาสให้เราได้รับใช้บ่อยๆ ไม่น่าด่วนคิดสั้นเล้ยคุณสาคร"
หลังจากฟังมันพล่าม ผมก็นั่งลงบนโต๊ะตัวเก่ง จัดแจงปลดเสื้อคลุม ปืนพก ตั้งลงบนโต๊ะ จุดบุหรี่สูบ แล้วค่อยๆแกะจดหมายอ่านอย่างใจเย็น
"เวรละ ! แม่ฉันไม่สบาย คิดว่าอาจจะต้องกลับไปดูแลท่านสักระยะ"
ทันทีที่พูดจบ ณรงค์ที่นั่งอยู่ก็พลุนพลันเข้ามาแย่งจดหมายจากมือผมไปอ่านทันที
"ก็ไปสิ ไม่เป็นไรทางนี้ฉันดูแลเอง"
ผมหันกลับไปมองเพื่อนเกลอ ด้วยท่าทางแปลกใจนิดๆ
"นี่แกพูดประชดหรือเปล่าวะ"
"เปล่า ยังไงคนป่วยก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว อีกอย่างแกเองก็ไม่ได้กลับบ้านมานานไม่ใช่เหรอ กลับไปดูแลท่านเสียก่อนเถอะ และถือซะว่าได้พักผ่อนไปในตัวด้วย"
"แล้วตรงนี้แกเอาอยู่เหรอวะ ไหนจะเรื่องตำรวจอีก"
"เออน่าไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ทางนี้รับหน้าเองได้ แต่ถ้างานมันยุ่งมากจริงๆฉันก็คงต้องจ้างฟรีแล่นเพิ่ม แต่นั้นคงจะตัวเลือกสุดท้ายของฉัน เพราะจะต้องดิ้นรนโทรหาแกให้ได้เสียก่อน"
"555 แกนี่มันหน้าเลือดจริงๆ"
แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะกันลั่นออฟฟิต ความสุขเล็กๆของเราในว้นนั่นอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมลืมความทุกข์และเจ็บปวดภายในจิตใจไปได้ช่วงระยะหนึ่ง
ชิตชัย "แต่คุณก็ยังไม่ได้บอกคู่หูถึงเรื่องที่จะวางมือ"
ชลนที "ไม่หรอก เพราะตอนนั้นผมยังมีเรื่องในใจให้ต้องคิดอีกเยอะ และรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด"
ชิตชัย "ครับผม แต่ เอ ผมรู้สึกว่าพวกโต๊ะข้างๆเริ่มมองเราด้วยสายตาแปลกๆ อีกแล้ว รวมทั้งอีตาเจ้าของร้านด้วย หรือว่าผมแค่รู้สึกไปเอง"
ชลนที "คุณสมชายน่ะเหรอแกรู้จักกับผมและเป็นคนดีอยู่ แต่อาจเป็นเพราะคุณเป็นคนแปลกหน้าที่นี่ อย่าไปสนใจเลยครับ มาฟังเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ดีกว่า"
ชิตชัย "เดี้ยวนะเดี้ยว ก่อนที่คุณจะเป็นนักสืบ คุณน่ะเคยรับราชการตำรวจมาก่อนใช่ไหม"
ชลนที "ใช่แล้วครับ ก่อนหน้านั้นผมเคยอยู่หน่วยสืบสวนมาก่อน"
ชิตชัย "ว่าแล้วไง ผมเดาไม่ผิดจริงๆ ดูจากบุคลิกของคุณแล้ว ถ้าไม่เคยรับราชการตำรวจก็ต้องรับราชการทหารมาก่อน เอาล่ะ เชิญคุณเล่าต่อได้เลยครับ ขอโทษที่ขัดจังหวะ"
ค่ำวันนั้นผมกลับไปที่ห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบพักผ่อนให้เพียงพอสำหรับการเดินทางไกล พอเช้าวันต่อมาผมก็ไปโพล่ที่สถานีหัวลำโพง เพื่อขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปยังจังหวัดหนึ่งที่อยู่ค่อนไปทางภาคเหนือ