บทที่ 20 ผู้ว่าจ้างลึกลับ
เช้าวันต่อมา ณ สำนักงานเอกภพสืบสวน บรรจง เยาวภา และเอกภพ กำลังนั่งประชุมกันอย่างพร้อมหน้าที่ห้องทำงานของพวกเขา
“ว่าไงบรรจงเรื่องงานที่ให้ไปทำน่ะ ไหนบอกฉันมาซิว่าได้อะไรมาบ้าง” นักสืบหนุ่มเอ่ยถามลูกน้องคู่ใจในขณะที่เขากำลังชงกาแฟอยู่
“เรื่องรถโฟร์คนั่นน่ะเหรอครับ” เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งข้างหน้าโต๊ะทำงานของเอกภพ ก่อนจะถือวิสาสะหยิบบุหรี่ของเจ้านายขึ้นมาจุดสูย
“ผมสอบถามคนรับใช้ที่บ้านนั้นแล้ว เขาบอกว่าไม่เคยเห็นเจ้านายคนไหนใช้รถโฟร์คเลยนี่ครับ"
“เฮ้ย ! เป็นไปได้ไงวะ ก็วันนั้นอั้วขับตามรถโฟร์คสีเหลืองอ่อนที่อรสาขับทั้งวันนี่หว่า"
“ยังไงก็ไม่ทราบครับ" ขาทำท่ายักไหล่แล้วแบะมือออกทั้งสองข้าง
“ผมแอบเข้าไปดูที่โรงรถแล้วก็ไม่เห็นมี แถมตอนออกมายังได้ถามคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านหมดเงินค่าสินบนไปตั้งยี่สิบบาท สุดท้ายก็ได้ความตามที่บอกนั่นแหละครับ”
“อืม" เขาพยักหน้าช้าๆ
“แล้วแกพอจะรู้หรือเปล่าว่าเจ้านายบ้านนั้นมีใครใช้รถอะไรกันบ้าง”
“อ้อ เรื่องนั้นผมถามมาแล้วครับได้ความอย่างนี้ นายวรรภพขับฟอร์ดเก๋ง นายประทีปขับบูอิคเก๋ง นายพิเชษฐ์ขับปาเจโร่ ส่วนคุณอรสาขับคาดิลแล็คเก๋ง เอ้ะ แล้วช่วงแรกๆที่คุณตามคุณอรสา คุณเห็นเธอขับรถโฟร์คเหรอครับ" ประโยคสุดท้ายบรรงหันมาถามเจ้านายเขาด้วยความสงสัย
“เปล่า ปกติหล่อนขับคาดิลแล็คส่วนรถโฟร์คนั่น ฉันเห็นหล่อนขับแค่วันนั้นวันเดียว"
“อ้าว ในเมื่อเจ้านายรู้แล้วไหงถึงถามผมล่ะครับ” บรรจงอ้าปากหวอ
“ที่ฉันถามแกก็เพราะต้องการทำให้แน่ใจในข้อสงสัยของฉัน มาตรงนี้ทำให้ฉันมั่นใจได้เลยว่าฆาตกรต้องเป็นคนที่อยู่ในบ้านวรภักดิ์ และเป็นคนเดียวที่อยู่กับผู้ตายตลอดเวลา"
การสนทนาหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงของเยาวภาซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง
“ถสตู๊ดเก๋งคันนั้นกลับมาจอดที่เดิมอีกแล้วค่ะ"
เอกภพรีบคว้าโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะแล้วต่อสายไปยังสถานีตำรวจใกล้บ้านทันที
“อ่า สวัสดีครับ คือผมอยากจะแจ้งความหน่อย”
“แจ้งความอะไรครับคุณ" ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ อ่า คืออย่างนี้ครับ เมื่อสามวันก่อนผมได้ยินปืนดังออกมาจากห้อง 316 ที่แฟลตอุดมสวัสดิ์ครับ แต่ผมไม่กล้าแจ้งความเพราะเห็นมีรถเก๋งสีดำขับมาวนเวียนแถวนี้แถมยังทำท่าทางข่มขู่อีกด้วย ”
“รถเก๋งยี่ห้ออะไรครับ แล้วตอนนี้ยังอยู่ไหม" ปลายสายเริ่มมีน้ำเสียงร้อนรน
“อ่า รถสตู๊ดเก๋งสีดำ ตอนนี้ย้ายออกมาจอดอยู่ที่หน้าบริษัทนักสืบเอกชน อยู่ฝั่งตรงข้ามซ้ายมือ ระวังหน่อยนะครับพวกนั้นมีปืนด้วย"
“ได้ครับเดี้ยวผมจะออกไปดูให้" ผู้หมู่ท่านนั้นตอบด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“อ่า หลังจากจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วผมอยากให้คุณตำรวจช่วยเข้าไปดูที่ห้อง 316 ด้วยนะครับ เป็นห่วงเหลือเกินเพราะตั้งแต่ได้ยินเสียงปืน ก็ไม่เห็นมีใครออกมาจากห้องนั้นเลย”
ทันทีที่วางสายจากโรงพัก ทั้งสามคนก็หันมองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาแบบไม่ต้องกลั้น เอกภพนั้นเป็นหนักกว่าเพื่อนเขาหัวเราะเสียจนน้ำหูน้ำตาไหล จนเยาวภาต้องหากระดาษทิชชู่มาเช็ดให้
เวลาผ่านไปราวสามสิบนาที เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาควบคุมตัวชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถเก๋งสีดำ พวกเขามีท่าทีขัดขืนและเอะอะโวยวายอยู่สักครู่จึงยอมขึ้นรถไปกับตำรวจแต่โดยดี ขณะเดียวกันรถตำรวจอีกหนึ่งคันก็เลี้ยวเข้าไปในซอย และจอดที่หน้าแฟลตอุดมสวัสดิ์เพื่อเข้าตรวจค้นภายในห้อง 316
“ ทำอย่างนี้แล้วพวกนั้นจะไม่ถูกจับในฐานะฆาตกรเสียเองหรอกเหรอค่ะ ” เยาวภาเอามือปิดบานเกล็ดหน้าต่างลงแล้วหันมาพูดกับเอกภพด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกแม่เยาคนพวกนี้เป็นตำรวจนะ ในที่สุดก็จะพิสูจน์ได้เองแหละว่าไม่ใช่คนทำ ไอ้เรื่องที่จะติดคุกฟรีน่ะไม่มีทางหรอก ที่ฉันทำแบบนี้ก็แค่ต้องการจะถ่วงเวลามันเอาไว้เท่านั้นเอง" เอกภพตอบเแบบเรียบๆ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อพักสายตา
เอกภพนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงานจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงเทื่ยงวัน เยาวภากำลังนั่งตรวจบัญชีที่โต๊ะของเธอส่วนบรรจงนั้นออกไปทำงานข้างนอก เสียงกริ่งดังขึ้นที่หน้าตึก เยาวภาหันมองเอกภพหล่อนเห็นเขากำลังหลับอยู่ จึงเดินออกไปเปิดประตูเอง
“สวัสดีค่ะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะ" หล่อนพนมมือไหว้และกล่าวเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเอง
หญิงสูงอายุรูปร่างท้วมแต่งกายเรียบร้อยแบบคนสมัยเก่า หล่อนยิ้มให้เยาวภาก่อนจะก้าวเข้ามายังห้องรับแขกแล้วนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าได้โทรมานัดไว้ก่อนหรือเปล่าคะ"
“เปล่าหรอกจ้ะแม่หนู ทำไมล่ะคุณเอกภพติดธุระงั้นเหรอ"
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คุณเอกภพอยู่ในห้องเดี้ยวดิฉันจะเข้าไปตามให้"
ผ่านไปสิบนาทีนักสืบหนุ่มก็เดินออกมา เขาตาปรือและผมยุ่งเล็กน้อยเนื่องจากเพิ่งตื่นนอน
“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ" เอกภพนั่งลงบนโซฟาก่อนจะล้วงเอาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อออกมาจุดสูบ
“ดิฉันอยากว่าจ้างให้คุณสืบคดีให้หน่อย" หล่อนตอบแบบเรียบเฉย แต่สายตาที่มุ่งมั่นยังคงจ้องมองไปที่เอกภพอย่างไม่วางตา
“คดีคนหายเหรอครับ"
“คดีฆาตกรรมค่ะ"
เอกภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมาสบสายตากับเยาวภาที่กำลังนำน้ำเย็นเข้ามาเสริฟ
“ผมไม่รับทำคดีฆาตกรรมหรอกครับ"
“ทำไมล่ะ ฉันมีเงินนะ คุณอยากได้เท่าไหรว่ามาเลย"
“เรื่องเงินมันก็สำคัญอยู่หรอกครับ แต่ทุกครั้งที่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นต้องมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวเสมอ และผมก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกตำรวจ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมครับ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการกันเองเถอะ"
“ แต่ครั้งนี้ตำรวจได้สรุปคดีไปแล้ว ฉันรับรองได้เลยว่าในระหว่างที่ทำการสืบสวนจะไม่มีใครมากวนคุณแน่ ”
เอกภพทำท่ายักไหล่แล้วแบมือออกทั้งสองข้าง
“ก็ในเมื่อสรุปคดีไปแล้ว คุณยังจะมีอะไรให้ต้องสงสัยอีกล่ะ"
“ถ้าเรื่องมันง่ายขนาดนั้นฉันจะถ่อมาหาคุณถึงที่นี่เหรอคะ" หล่อนชักสายตาใส่เอกภพด้วยความไม่พอใจ
“งั้นคุณก็ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังหน่อยเถอะครับ เผื่อมันจะช่วยให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้น"
พิษสวาท อำพราง ( บทที่20 )
เช้าวันต่อมา ณ สำนักงานเอกภพสืบสวน บรรจง เยาวภา และเอกภพ กำลังนั่งประชุมกันอย่างพร้อมหน้าที่ห้องทำงานของพวกเขา
“ว่าไงบรรจงเรื่องงานที่ให้ไปทำน่ะ ไหนบอกฉันมาซิว่าได้อะไรมาบ้าง” นักสืบหนุ่มเอ่ยถามลูกน้องคู่ใจในขณะที่เขากำลังชงกาแฟอยู่
“เรื่องรถโฟร์คนั่นน่ะเหรอครับ” เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งข้างหน้าโต๊ะทำงานของเอกภพ ก่อนจะถือวิสาสะหยิบบุหรี่ของเจ้านายขึ้นมาจุดสูย
“ผมสอบถามคนรับใช้ที่บ้านนั้นแล้ว เขาบอกว่าไม่เคยเห็นเจ้านายคนไหนใช้รถโฟร์คเลยนี่ครับ"
“เฮ้ย ! เป็นไปได้ไงวะ ก็วันนั้นอั้วขับตามรถโฟร์คสีเหลืองอ่อนที่อรสาขับทั้งวันนี่หว่า"
“ยังไงก็ไม่ทราบครับ" ขาทำท่ายักไหล่แล้วแบะมือออกทั้งสองข้าง
“ผมแอบเข้าไปดูที่โรงรถแล้วก็ไม่เห็นมี แถมตอนออกมายังได้ถามคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านหมดเงินค่าสินบนไปตั้งยี่สิบบาท สุดท้ายก็ได้ความตามที่บอกนั่นแหละครับ”
“อืม" เขาพยักหน้าช้าๆ
“แล้วแกพอจะรู้หรือเปล่าว่าเจ้านายบ้านนั้นมีใครใช้รถอะไรกันบ้าง”
“อ้อ เรื่องนั้นผมถามมาแล้วครับได้ความอย่างนี้ นายวรรภพขับฟอร์ดเก๋ง นายประทีปขับบูอิคเก๋ง นายพิเชษฐ์ขับปาเจโร่ ส่วนคุณอรสาขับคาดิลแล็คเก๋ง เอ้ะ แล้วช่วงแรกๆที่คุณตามคุณอรสา คุณเห็นเธอขับรถโฟร์คเหรอครับ" ประโยคสุดท้ายบรรงหันมาถามเจ้านายเขาด้วยความสงสัย
“เปล่า ปกติหล่อนขับคาดิลแล็คส่วนรถโฟร์คนั่น ฉันเห็นหล่อนขับแค่วันนั้นวันเดียว"
“อ้าว ในเมื่อเจ้านายรู้แล้วไหงถึงถามผมล่ะครับ” บรรจงอ้าปากหวอ
“ที่ฉันถามแกก็เพราะต้องการทำให้แน่ใจในข้อสงสัยของฉัน มาตรงนี้ทำให้ฉันมั่นใจได้เลยว่าฆาตกรต้องเป็นคนที่อยู่ในบ้านวรภักดิ์ และเป็นคนเดียวที่อยู่กับผู้ตายตลอดเวลา"
การสนทนาหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงของเยาวภาซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง
“ถสตู๊ดเก๋งคันนั้นกลับมาจอดที่เดิมอีกแล้วค่ะ"
เอกภพรีบคว้าโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะแล้วต่อสายไปยังสถานีตำรวจใกล้บ้านทันที
“อ่า สวัสดีครับ คือผมอยากจะแจ้งความหน่อย”
“แจ้งความอะไรครับคุณ" ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ อ่า คืออย่างนี้ครับ เมื่อสามวันก่อนผมได้ยินปืนดังออกมาจากห้อง 316 ที่แฟลตอุดมสวัสดิ์ครับ แต่ผมไม่กล้าแจ้งความเพราะเห็นมีรถเก๋งสีดำขับมาวนเวียนแถวนี้แถมยังทำท่าทางข่มขู่อีกด้วย ”
“รถเก๋งยี่ห้ออะไรครับ แล้วตอนนี้ยังอยู่ไหม" ปลายสายเริ่มมีน้ำเสียงร้อนรน
“อ่า รถสตู๊ดเก๋งสีดำ ตอนนี้ย้ายออกมาจอดอยู่ที่หน้าบริษัทนักสืบเอกชน อยู่ฝั่งตรงข้ามซ้ายมือ ระวังหน่อยนะครับพวกนั้นมีปืนด้วย"
“ได้ครับเดี้ยวผมจะออกไปดูให้" ผู้หมู่ท่านนั้นตอบด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“อ่า หลังจากจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วผมอยากให้คุณตำรวจช่วยเข้าไปดูที่ห้อง 316 ด้วยนะครับ เป็นห่วงเหลือเกินเพราะตั้งแต่ได้ยินเสียงปืน ก็ไม่เห็นมีใครออกมาจากห้องนั้นเลย”
ทันทีที่วางสายจากโรงพัก ทั้งสามคนก็หันมองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาแบบไม่ต้องกลั้น เอกภพนั้นเป็นหนักกว่าเพื่อนเขาหัวเราะเสียจนน้ำหูน้ำตาไหล จนเยาวภาต้องหากระดาษทิชชู่มาเช็ดให้
เวลาผ่านไปราวสามสิบนาที เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาควบคุมตัวชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถเก๋งสีดำ พวกเขามีท่าทีขัดขืนและเอะอะโวยวายอยู่สักครู่จึงยอมขึ้นรถไปกับตำรวจแต่โดยดี ขณะเดียวกันรถตำรวจอีกหนึ่งคันก็เลี้ยวเข้าไปในซอย และจอดที่หน้าแฟลตอุดมสวัสดิ์เพื่อเข้าตรวจค้นภายในห้อง 316
“ ทำอย่างนี้แล้วพวกนั้นจะไม่ถูกจับในฐานะฆาตกรเสียเองหรอกเหรอค่ะ ” เยาวภาเอามือปิดบานเกล็ดหน้าต่างลงแล้วหันมาพูดกับเอกภพด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกแม่เยาคนพวกนี้เป็นตำรวจนะ ในที่สุดก็จะพิสูจน์ได้เองแหละว่าไม่ใช่คนทำ ไอ้เรื่องที่จะติดคุกฟรีน่ะไม่มีทางหรอก ที่ฉันทำแบบนี้ก็แค่ต้องการจะถ่วงเวลามันเอาไว้เท่านั้นเอง" เอกภพตอบเแบบเรียบๆ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อพักสายตา
เอกภพนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงานจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงเทื่ยงวัน เยาวภากำลังนั่งตรวจบัญชีที่โต๊ะของเธอส่วนบรรจงนั้นออกไปทำงานข้างนอก เสียงกริ่งดังขึ้นที่หน้าตึก เยาวภาหันมองเอกภพหล่อนเห็นเขากำลังหลับอยู่ จึงเดินออกไปเปิดประตูเอง
“สวัสดีค่ะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะ" หล่อนพนมมือไหว้และกล่าวเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเอง
หญิงสูงอายุรูปร่างท้วมแต่งกายเรียบร้อยแบบคนสมัยเก่า หล่อนยิ้มให้เยาวภาก่อนจะก้าวเข้ามายังห้องรับแขกแล้วนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าได้โทรมานัดไว้ก่อนหรือเปล่าคะ"
“เปล่าหรอกจ้ะแม่หนู ทำไมล่ะคุณเอกภพติดธุระงั้นเหรอ"
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คุณเอกภพอยู่ในห้องเดี้ยวดิฉันจะเข้าไปตามให้"
ผ่านไปสิบนาทีนักสืบหนุ่มก็เดินออกมา เขาตาปรือและผมยุ่งเล็กน้อยเนื่องจากเพิ่งตื่นนอน
“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ" เอกภพนั่งลงบนโซฟาก่อนจะล้วงเอาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อออกมาจุดสูบ
“ดิฉันอยากว่าจ้างให้คุณสืบคดีให้หน่อย" หล่อนตอบแบบเรียบเฉย แต่สายตาที่มุ่งมั่นยังคงจ้องมองไปที่เอกภพอย่างไม่วางตา
“คดีคนหายเหรอครับ"
“คดีฆาตกรรมค่ะ"
เอกภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมาสบสายตากับเยาวภาที่กำลังนำน้ำเย็นเข้ามาเสริฟ
“ผมไม่รับทำคดีฆาตกรรมหรอกครับ"
“ทำไมล่ะ ฉันมีเงินนะ คุณอยากได้เท่าไหรว่ามาเลย"
“เรื่องเงินมันก็สำคัญอยู่หรอกครับ แต่ทุกครั้งที่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นต้องมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวเสมอ และผมก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกตำรวจ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมครับ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการกันเองเถอะ"
“ แต่ครั้งนี้ตำรวจได้สรุปคดีไปแล้ว ฉันรับรองได้เลยว่าในระหว่างที่ทำการสืบสวนจะไม่มีใครมากวนคุณแน่ ”
เอกภพทำท่ายักไหล่แล้วแบมือออกทั้งสองข้าง
“ก็ในเมื่อสรุปคดีไปแล้ว คุณยังจะมีอะไรให้ต้องสงสัยอีกล่ะ"
“ถ้าเรื่องมันง่ายขนาดนั้นฉันจะถ่อมาหาคุณถึงที่นี่เหรอคะ" หล่อนชักสายตาใส่เอกภพด้วยความไม่พอใจ
“งั้นคุณก็ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังหน่อยเถอะครับ เผื่อมันจะช่วยให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้น"