บทที่ 22 ธุรกิจสีเทา
หลังจากที่ป้าสุณีผู้ว่าจ้างของเขากลับไปได้สักครู่ เอกภพก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน แต่พอเปิดประตูห้องก็ต้องจ้ะเอ้กับเยาวภาซึ่งแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่ที่ข้างประตู หล่อนยิ้มเจื่อนๆเมื่อต้องสบตากับเจ้านาย
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้" เอกภพแกล้งทำเสียงดุๆ
“อ่า คือกำลังจะออกไปข้างนอกค่ะ" พูดจบหล่อนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้รีบเดินก้มหน้าออกไปทันที
เอกภพยิ้มเล็กๆที่มุมปากพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานแล้วเอนหลังเงยหน้ามองบนเพดาน คล้ายกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
นักสืบหนุ่มม่อยหลับไปจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมงเย็น เสียงเปิดประตูที่หน้าห้องทำงานทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้ง
“คุณเอกภพนอนอยู่ คุณจะเข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะคะ"
เสียงตะโกนของเยาวภาค่อยๆดังชัดเจนขึ้นมาในหูของนักสืบหนุ่ม
ชายแปลกหน้าผลุนพลันเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของเยาวภา ปัง! เขาใช้มือทั้งสองข้างทุบไปที่โต๊ะทำงานของเอกภพอย่างเสียมารยาท
“แกเป็นบ้าอะไรของแก หือ”
นักสืบหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าเหยเก เขายังไม่หายจากอาการสลึมสลือ
“ฉันต่างหากล่ะที่ต้องถามว่าแกนึกบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้จัดฉากใส่ความลูกน้องฉัน"
เอกภพยักไหล่ขึ้นทั้งสองข้าง เขายังคงทำสีหน้าเรียบเฉย เอื้อมมือควานหาซองบุหรี่บนโต๊ะออกมาจุดสูบอย่างสบายใจ
ชายแปลกหน้าเงยหน้ามองบนเพดานแล้วแค่นหัวเราะดังๆ คนๆนี้ก็คือร้อยตำรวจโทวิสุทธิ์เพื่อนเกลอของเขานั่นเอง
“แกพูดอะไรของแกวะเพื่อน กันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“อย่ามาทำเป็นไก้ไปหน่อยเลยว่ะ ลูกน้องของฉันมันก็แค่ทำตามหน้าที่ ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้นี่หว่า"
“นี่ๆ ระวังปากหน่อย ถ้าจะกล่าวหาอะไรกันก็ช่วยหาหลักฐานมายืนยันด้วย”
“แกคงคิดว่าฉันจะเอาแกเข้าคุกไม่ได้อย่างนั้นใช่ไหม"
เขาชี้มือไปที่นักสืบ
“กถ้าแกต้องการทำอย่างนั้นแกก็คงจะทำไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ เว้นเสียแต่แกจะคิดว่าอาจจะได้ผลประประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้บ้าง”เอ
กภพยิ้มอย่างมีเลิศนัย พร้อมกับยื่นซองบุหรี่ส่งให้กับเพื่อนเกลอของเขา
“แกนี่มันรู้ใจฉันจริงๆ พับผ่าสิ !”
ผู้หมวดวิสุทธิ์ใช้มือตบไปที่โต๊ะอีกครั้งอย่างสะใจ เขาดูใจเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
“แกต้องการจะให้ฉันบอกอะไรกับแกล่ะวิสุทธิ์”
นักสืบหนุ่มยิงคำถามแบบใจเย็นเช่นเดิม
“ไม่มีอะไรมากหรอกเพื่อน ฉันแค่มีข่าวจะมาบอกแกว่าในอีกไม่กี่วันนี้จะมีการเปิดพินัยกรรมของเจ้าคุณสุทิน และอีกไม่นานพวกลูกชายของบ้านนั้นก็คงจะร่ำรวยกันอื้อซ่า"
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ"
“ฉันได้กลิ่นอะไรตุๆเกี่ยวกับนายประทีปนั่นน่ะสิวะ"
“ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับฉันนี่หว่า”
“ไม่เอาน่าเพื่อนแค่แกยืนยันกับฉันมาก็พอ ว่ามันจริงหรือเปล่าที่เขาว่าไอ้หมอนั้นแอบไปนอนกับว่าที่ภริยาของน้องชายตัวเอง ถ้าเรื่องนี้สำเร็จฉันอาจจะมีส่วนแบ่งให้แกสักแสนหนึ่ง ว่าไงวะเพื่อน”
“นี่แกคิดจะแบล็คเมล์คุณประทีปอย่างนั้นเหรอ"
“ก็เออน่ะสิวะ ฉันคอยรับใช้บ้านวรภักดิ์มาก็ตั้งหลายปี คอยตามล้างตามเช็ดความสกปรกโสมมให้พวกเจ้านายในบ้านนั้นมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพื่อแลกกับเศษสตางค์ไม่กี่แดง แค่เศษสตางค์เองนะโว้ยเพื่อนที่พวกมันตอบแทนให้ฉันน่ะ แล้วมันผิดด้วยหรือที่ฉันจะทวงส่วนแบ่งที่ฉันควรจะได้กลับมาบ้าง"
เอกภพพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ
“ฉันตามดูแกมาตลอดเพื่อน ฉันรู้ว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรอยู่ อย่าว่างั้นงี้เลยฉันว่าเรามาร่วมมือกันดีกว่า รับรองเลยว่าส่วนแบ่งที่แกจะได้นั้นมากพอที่จะซื้อตึกนี้ทั้งตึกได้อย่างสบายๆเลย”
“ใจเย็นๆก่อนน่าเพื่อน ยังมีปลาตัวใหญ่กว่านี้รอให้แกตกอยู่”
เอกภพยิ้มอย่างมีเลิศนัยอีกครั้ง
“แกหมายความว่าไงวะ”
นายตำรวจหนุ่มชักจะมีท่าทีสนใจ
“ขอเวลาให้ฉันหน่อย รับรองว่าเรื่องคุณประทีปน่ะจะดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องนี้ และมั่นใจได้เลยว่าพวกนั้นจะยอมจ่ายแน่ไม่ว่าเราจะเรียกไปสักกี่ล้าน เพื่อแลกกับการเหยียบเรื่องนี้ให้เป็นความลับ”
“เรื่องใหญ่ขนาดไหนกันวะ ทำไมฉันที่เข้าๆออกๆบ้านนั้นอยู่ตลอดถึงไม่รู้เรื่อง แกลองบอกฉันมาสิ"
“เอาน่า ขอเวลาให้ฉันทำเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อน รับรองว่าแกจะได้รับรู้มันก่อนใครแน่”
“แล้วจะให้ฉันช่วยยังไง"
“ระหว่างนี้ขอให้แกอยู่ให้ห่างฉันก็พอ ปล่อยให้ฉันทำงานของฉันไป เมื่อไหร่ที่ฉันพร้อมจะให้ข่าวแล้วจะติดต่อไปเอง"
“อืม อย่างนี้ก็ได้ แต่อย่าลืมนะว่าฉันจับตาดูแกอยู่ ถ้าขืนแกเล่นตุกติกกับฉันอีกล่ะก็ คราวนี้ฉันได้จับแกยัดใส่ตะรางจริงๆแน่”
ทั้งคู่อยู่คุยกันต่ออีกไม่กี่นาทีในที่สุดผู้หมวดวิสุทธิ์ก็ยอมกลับไปแต่โดยดี ส่วนเอกภพยังคงนั่งอยู่ที่เก่าไม่ได้ลุกไปไหน จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเขาจึงตะโกงเรียกบรรจงให้เข้ามาหาที่ห้อง
“มีธุระอะไรจะให้ผมรับใช้เหรอครับ”
ลูกน้องจอมทะเล้นของเขารีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อั้วมีงานให้ลื้อไปทำ"
“งานอะไรเหรอครับ”
บรรจงยิ้มหวานแล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบกันไปมา ทั้งนี้ก็เพราะเขารู้ดีว่ามักจะได้เงินพิเศษเสมอเมื่อต้องออกไปทำงานข้างนอก
“"ลื้อคิดว่ามีธุรกิจอะไรบ้างวะที่ต้องใช้สารหนูเป็นวัตถุดิบ"
“เอ เรื่องนี้มันก็ตอบยากอยู่นะครับ"
เขาเอาลูบคางไปมาอยู่สักครู่ก็โพล่งออกมาว่า
“อ้อ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับไม้อัดไงครับ ที่นำเข้าของพวกนี้มาก็มีแต่พวกโรงไม้เท่านั้นแหละ"
“งั้นดีเลย แกช่วยไปสืบหน่อยว่าในย่านฝั่งธนมีโรงไม้ทั้งหมดกี่ที่ และมีการสั่งซื้อสารหนูที่มากผิดปกติหรือไม่ เอานี่ไว้เป็นค่าใช้จ่าย"
พูดเขาก็ควักกระเป๋าหยิบธนบัตรใบละสิบบาทออกมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้บรรจง
แต่แล้วบรรจงก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเจ้านายของเขา ในขณะที่กำลังจะก้าวพ้นออกจากประตู
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามแกอีกอย่างหนึ่ง"
“ว่าไงครับ"
นายจอมกระล่อนหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
“รู้สึกว่าตระกูลวรภักดิ์จะมีธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ด้วยใช่ไหม แกพอจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“รู้ครับ เป็นบริษัทขายรถมือสองตั้งอยู่แถวถนนสาธร ไม่ได้ใหญ่โตอะไร รู้สึกจะบริหารโดยคุณพิเชษฐ์นะครับ ว่าแต่คุณจะอยากรู้ไปทำไมเหรอ"
“ฉันว่าจะไปเยื่ยมที่นั้นสักหน่อยในวันพรุ่งนี้”
พิษสวาท อำพราง (บทที่22)
หลังจากที่ป้าสุณีผู้ว่าจ้างของเขากลับไปได้สักครู่ เอกภพก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน แต่พอเปิดประตูห้องก็ต้องจ้ะเอ้กับเยาวภาซึ่งแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่ที่ข้างประตู หล่อนยิ้มเจื่อนๆเมื่อต้องสบตากับเจ้านาย
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้" เอกภพแกล้งทำเสียงดุๆ
“อ่า คือกำลังจะออกไปข้างนอกค่ะ" พูดจบหล่อนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้รีบเดินก้มหน้าออกไปทันที
เอกภพยิ้มเล็กๆที่มุมปากพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานแล้วเอนหลังเงยหน้ามองบนเพดาน คล้ายกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
นักสืบหนุ่มม่อยหลับไปจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมงเย็น เสียงเปิดประตูที่หน้าห้องทำงานทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้ง
“คุณเอกภพนอนอยู่ คุณจะเข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะคะ"
เสียงตะโกนของเยาวภาค่อยๆดังชัดเจนขึ้นมาในหูของนักสืบหนุ่ม
ชายแปลกหน้าผลุนพลันเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของเยาวภา ปัง! เขาใช้มือทั้งสองข้างทุบไปที่โต๊ะทำงานของเอกภพอย่างเสียมารยาท
“แกเป็นบ้าอะไรของแก หือ”
นักสืบหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าเหยเก เขายังไม่หายจากอาการสลึมสลือ
“ฉันต่างหากล่ะที่ต้องถามว่าแกนึกบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้จัดฉากใส่ความลูกน้องฉัน"
เอกภพยักไหล่ขึ้นทั้งสองข้าง เขายังคงทำสีหน้าเรียบเฉย เอื้อมมือควานหาซองบุหรี่บนโต๊ะออกมาจุดสูบอย่างสบายใจ
ชายแปลกหน้าเงยหน้ามองบนเพดานแล้วแค่นหัวเราะดังๆ คนๆนี้ก็คือร้อยตำรวจโทวิสุทธิ์เพื่อนเกลอของเขานั่นเอง
“แกพูดอะไรของแกวะเพื่อน กันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“อย่ามาทำเป็นไก้ไปหน่อยเลยว่ะ ลูกน้องของฉันมันก็แค่ทำตามหน้าที่ ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้นี่หว่า"
“นี่ๆ ระวังปากหน่อย ถ้าจะกล่าวหาอะไรกันก็ช่วยหาหลักฐานมายืนยันด้วย”
“แกคงคิดว่าฉันจะเอาแกเข้าคุกไม่ได้อย่างนั้นใช่ไหม"
เขาชี้มือไปที่นักสืบ
“กถ้าแกต้องการทำอย่างนั้นแกก็คงจะทำไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ เว้นเสียแต่แกจะคิดว่าอาจจะได้ผลประประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้บ้าง”เอ
กภพยิ้มอย่างมีเลิศนัย พร้อมกับยื่นซองบุหรี่ส่งให้กับเพื่อนเกลอของเขา
“แกนี่มันรู้ใจฉันจริงๆ พับผ่าสิ !”
ผู้หมวดวิสุทธิ์ใช้มือตบไปที่โต๊ะอีกครั้งอย่างสะใจ เขาดูใจเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
“แกต้องการจะให้ฉันบอกอะไรกับแกล่ะวิสุทธิ์”
นักสืบหนุ่มยิงคำถามแบบใจเย็นเช่นเดิม
“ไม่มีอะไรมากหรอกเพื่อน ฉันแค่มีข่าวจะมาบอกแกว่าในอีกไม่กี่วันนี้จะมีการเปิดพินัยกรรมของเจ้าคุณสุทิน และอีกไม่นานพวกลูกชายของบ้านนั้นก็คงจะร่ำรวยกันอื้อซ่า"
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ"
“ฉันได้กลิ่นอะไรตุๆเกี่ยวกับนายประทีปนั่นน่ะสิวะ"
“ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับฉันนี่หว่า”
“ไม่เอาน่าเพื่อนแค่แกยืนยันกับฉันมาก็พอ ว่ามันจริงหรือเปล่าที่เขาว่าไอ้หมอนั้นแอบไปนอนกับว่าที่ภริยาของน้องชายตัวเอง ถ้าเรื่องนี้สำเร็จฉันอาจจะมีส่วนแบ่งให้แกสักแสนหนึ่ง ว่าไงวะเพื่อน”
“นี่แกคิดจะแบล็คเมล์คุณประทีปอย่างนั้นเหรอ"
“ก็เออน่ะสิวะ ฉันคอยรับใช้บ้านวรภักดิ์มาก็ตั้งหลายปี คอยตามล้างตามเช็ดความสกปรกโสมมให้พวกเจ้านายในบ้านนั้นมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพื่อแลกกับเศษสตางค์ไม่กี่แดง แค่เศษสตางค์เองนะโว้ยเพื่อนที่พวกมันตอบแทนให้ฉันน่ะ แล้วมันผิดด้วยหรือที่ฉันจะทวงส่วนแบ่งที่ฉันควรจะได้กลับมาบ้าง"
เอกภพพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ
“ฉันตามดูแกมาตลอดเพื่อน ฉันรู้ว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรอยู่ อย่าว่างั้นงี้เลยฉันว่าเรามาร่วมมือกันดีกว่า รับรองเลยว่าส่วนแบ่งที่แกจะได้นั้นมากพอที่จะซื้อตึกนี้ทั้งตึกได้อย่างสบายๆเลย”
“ใจเย็นๆก่อนน่าเพื่อน ยังมีปลาตัวใหญ่กว่านี้รอให้แกตกอยู่”
เอกภพยิ้มอย่างมีเลิศนัยอีกครั้ง
“แกหมายความว่าไงวะ”
นายตำรวจหนุ่มชักจะมีท่าทีสนใจ
“ขอเวลาให้ฉันหน่อย รับรองว่าเรื่องคุณประทีปน่ะจะดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องนี้ และมั่นใจได้เลยว่าพวกนั้นจะยอมจ่ายแน่ไม่ว่าเราจะเรียกไปสักกี่ล้าน เพื่อแลกกับการเหยียบเรื่องนี้ให้เป็นความลับ”
“เรื่องใหญ่ขนาดไหนกันวะ ทำไมฉันที่เข้าๆออกๆบ้านนั้นอยู่ตลอดถึงไม่รู้เรื่อง แกลองบอกฉันมาสิ"
“เอาน่า ขอเวลาให้ฉันทำเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อน รับรองว่าแกจะได้รับรู้มันก่อนใครแน่”
“แล้วจะให้ฉันช่วยยังไง"
“ระหว่างนี้ขอให้แกอยู่ให้ห่างฉันก็พอ ปล่อยให้ฉันทำงานของฉันไป เมื่อไหร่ที่ฉันพร้อมจะให้ข่าวแล้วจะติดต่อไปเอง"
“อืม อย่างนี้ก็ได้ แต่อย่าลืมนะว่าฉันจับตาดูแกอยู่ ถ้าขืนแกเล่นตุกติกกับฉันอีกล่ะก็ คราวนี้ฉันได้จับแกยัดใส่ตะรางจริงๆแน่”
ทั้งคู่อยู่คุยกันต่ออีกไม่กี่นาทีในที่สุดผู้หมวดวิสุทธิ์ก็ยอมกลับไปแต่โดยดี ส่วนเอกภพยังคงนั่งอยู่ที่เก่าไม่ได้ลุกไปไหน จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเขาจึงตะโกงเรียกบรรจงให้เข้ามาหาที่ห้อง
“มีธุระอะไรจะให้ผมรับใช้เหรอครับ”
ลูกน้องจอมทะเล้นของเขารีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อั้วมีงานให้ลื้อไปทำ"
“งานอะไรเหรอครับ”
บรรจงยิ้มหวานแล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบกันไปมา ทั้งนี้ก็เพราะเขารู้ดีว่ามักจะได้เงินพิเศษเสมอเมื่อต้องออกไปทำงานข้างนอก
“"ลื้อคิดว่ามีธุรกิจอะไรบ้างวะที่ต้องใช้สารหนูเป็นวัตถุดิบ"
“เอ เรื่องนี้มันก็ตอบยากอยู่นะครับ"
เขาเอาลูบคางไปมาอยู่สักครู่ก็โพล่งออกมาว่า
“อ้อ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับไม้อัดไงครับ ที่นำเข้าของพวกนี้มาก็มีแต่พวกโรงไม้เท่านั้นแหละ"
“งั้นดีเลย แกช่วยไปสืบหน่อยว่าในย่านฝั่งธนมีโรงไม้ทั้งหมดกี่ที่ และมีการสั่งซื้อสารหนูที่มากผิดปกติหรือไม่ เอานี่ไว้เป็นค่าใช้จ่าย"
พูดเขาก็ควักกระเป๋าหยิบธนบัตรใบละสิบบาทออกมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้บรรจง
แต่แล้วบรรจงก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเจ้านายของเขา ในขณะที่กำลังจะก้าวพ้นออกจากประตู
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามแกอีกอย่างหนึ่ง"
“ว่าไงครับ"
นายจอมกระล่อนหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
“รู้สึกว่าตระกูลวรภักดิ์จะมีธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ด้วยใช่ไหม แกพอจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“รู้ครับ เป็นบริษัทขายรถมือสองตั้งอยู่แถวถนนสาธร ไม่ได้ใหญ่โตอะไร รู้สึกจะบริหารโดยคุณพิเชษฐ์นะครับ ว่าแต่คุณจะอยากรู้ไปทำไมเหรอ"
“ฉันว่าจะไปเยื่ยมที่นั้นสักหน่อยในวันพรุ่งนี้”