บทที่ 23 อดีตที่คอยหลอกหลอน
"พอเถอะค่ะ แกยังเล็กอยู่มาก อย่าตีแกเลยนะคะเจ้าคุณ"
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคุณหญิงชดช้อย ดังกึกก้องไปทั่วบ้านวรภักดิ์หล่อนล้มตัวลงนอนกอดลูกชายคนสุดท้องของตนเอาไว้ เพื่อเป็นโล่กำบังจากไม้เรียวในมือของเจ้าคุณสุทิน ท่ามกลางสายตาของลูกชายอีกสองคนและเหล่าบรรดาคนใช้ชายหญิง
“หลีกไปให้พ้นคุณหญิง !ไอ้เด็กคนนี้มันถือดีขึ้นทุกวันฉันต้องให้บทเรียนแก่มันบ้าง มันจะได้จำ"
ควับ ๆ ! เสียงไม้เรียวกระทบไปที่ต้นขาของเด็กชายที่กำลังนอนคว่ำหน้า ซึ่งถึงจะมีตัวคุณแม่คอยบังเอาไว้แต่ก็ยังมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้อยู่ดี
“จำเอาไว้ถ้าขืนผลการเรียนยังแย่อยู่ แกจะต้องโดนแบบนี้”
เจ้าคุณสุทินเงื้อไม้เรียวหมายจะฟาดลงไปที่หลังของเด็กชาย แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมืรอได้ยินเสียงตะโกนของคุณหญิง
“พอได้แล้วเจ้าคุณ ! จะโกรธจะเกลียดอะไรกันนักหนา ตีจนเด็กเสียขวัญหมดแล้วรู้ไหม"
หล่อนพูดพลางน้ำตานองหน้า
นั้นทำให้เจ้าคุณสุทินต้องโยนไม้เรียวทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
“ตามใจกันเข้าไป ! อีกหน่อยก็คงจะเสียคนกันทั้งบ้าน"
พูดจบท่านก็เดินกระทืบเท้าออกจากห้องไป ทิ้งให้คุณหญิงชดช้อยนอนกอดเด็กชายตัวน้อยร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น แต่แล้วหล่อนก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองลูกชายอีกสองคน
“พวกแกก็เหมือนกัน เอะอะอะไรนิดหน่อยก็คอยจะฟ้องแต่คุณพ่อ เป็นพี่แท้ๆแทนที่ช่วยดูแลปกป้องน้อง ไป ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี้ยวนี้ !"
“ภพคะ ภพ คุณนอนละเมออีกแล้วนะ”
อรสาเขย่าตัวปลุกว่าที่สามีของหล่อนในช่วงใกล้รุ่งสาง
“หือ เช้าแล้วเหรอ” วรรณภพสะลึมสะลือลุกขึ้นมาอย่างงงๆ
“ยังค่ะ แต่เห็นคุณนอนละเมออีกแล้ว ดิฉันก็เลยต้องปลุก"
หล่อนตอบอย่างคนที่เบื่อหน่าย
“ผมฝันอีกแล้ว”
เขาตอบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะขยับตัวตะแคงข้างหันหน้ามาทางอรสาที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ
“ฝันถึงเรื่องเดิมอีกอย่างนั้นเหรอคะ”
“ก็ทำนองนั้น ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้ผมถึงฝันแบบซ้ำๆกันบ่อยนัก"
“หรือจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้คุณจะเครียดกับเรื่องงานมากเกินไปคะ”
หล่อนเอามือลูบไปที่แก้มของเขาเบาๆ
“คงงั้นล่ะมั้ง ช่วงนี้งานเยอะจนทำให้ผมฟุ้งซ่าน"
“อย่าลืมนะคะว่ายังเหลืองานแต่งของเราอยู่อีกงาน”
หล่อนพูดยิ้มๆ
“เรื่องสำคัญอย่างนี้ผมจะลืมได้ยังไงล่ะครับ เอาไว้ให้เสร็จเรื่องเปิดพินัยกรรมก่อน แล้วเราค่อยมาดูฤกษ์แต่งงานกันนะจ้ะที่รัก"
เขากุมมือหล่อนแล้วหอมเบาๆ
“ไม่รู้ล่ะค่ะ สายวันนี้ดิฉันจะไปเลือกร้านดีๆลองชุดแต่งงานเอาไว้ก่อน เผื่อใกล้ถึงวันงานจะได้ไม่ฉุกละหุก"
อรสาทำท่ากระฟัดกระเฟียด
“จะต้องไปหาเลือกร้านให้มันยุ่งยากทำไมล่ะจ้ะ ในเมื่อห้างของเราก็มีร้านตัดชุดชั้นนำให้เลือกตั้งหลายร้านอยู่แล้ว ผมสั่งคำเดียวพวกนี้ก็หามาให้ลองได้เป็นร้อยชุด"
“ ไม่ต้องหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้ดิฉันจัดการเองได้ เดี้ยวจะไปรบกวนเวลาทำงานของคุณเปล่าๆ ”
“เอาๆ ตามใจ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ผมให้สิทธิ์คุณตัดสินใจเต็มที่เลยก็แล้วกัน"
อรสาค่อยเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ
ช่วงสายของวันเดียวกัน ที่ฝั่งของสำนักงานเอกภพสืบสวน นักสืบหนุ่มกับเลขาของเขากำลังเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอกกัน ส่วนบรรจงก็ออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมายไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เฟืยดเก๋งของเอกภพค่อยๆแล่นออกจากสำนักงานอย่างช้าๆ
“ทำไมเจ้านายถึงไม่บอกคุณสุณีถึงเรื่องศพคุณอรสาตัวจริง ที่สวนสาธารณะนั่นล่ะคะ” เยาวภาเอ่ยถามขึ้นขณะที่รถกำลังจะออกสู่ถนนใหญ่
“เธอจะให้ฉันพูดว่าไงล่ะ ให้บอกว่ามีใครบางคนฆ่าคุณอรสาในขณะที่สถานที่เกิดเหตุมีแค่ฉันและหล่อนเนื่ยนะ เธอคิดว่าคุณสุณีจะเชื่อฉันเหรอ ดีไม่ดีหล่อนอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนฆ่าอรสาเสียเอง ฉันก็ซวยเท่านั้น"
“อืม ถูกของคุณค่ะ เป็นฉันเองก็คงจะพูดถึงเรื่องนี้ได้ลำบากเหมือนกัน”
หล่อนพูดพลางยิ้มแบบเจื่อนๆ
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก อย่างน้อยเราก็มีโอกาสที่จะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยที่ไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ และที่สำคัญก็คือยังได้สตางค์ใช้อีกด้วย"
เขาหันมายิ้มให้กับเยาวภา
“แต่ยังไงดิฉันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละค่ะ"
“เรื่องไหนอีกล่ะ ดูเธอนี่ช่างสงสัยจริงๆเลยนะ"
“ก็แล้วทำไมคุณถึงติดว่าใครบางคนในบ้านวรภักดิ์เป็นคนที่ฆ่าคุณอรสาเสียเองล่ะคะ”
“ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะรถยังไงล่ะแม่เยา"
“รถโฟร์คนั่นน่ะเหรอคะ"
หล่อนทำหน้าฉงน
“ใช่ เธอลองคิดดูสิ พวกเจ้านายทุกคนในบ้านวรภักดิ์ต่างก็มีรถประจำตัวกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าสมมุติว่าตัวเธอเป็นคนในบ้านนั้น เธอจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นของใครคนหนึ่งอยู่ๆก็หายไปจากบ้านอย่างผิดปกติ"
“ก็ต้องคิดว่าคนๆนั้นไม่อยู่บ้านในเวลานั้นน่ะสิคะ"
“ถูกต้อง ฆาตกรต้องการทำให้ทุกคนคิดว่าตัวเขาและอรสายังอยู่ในบ้าน ดังนั้นฆาตกรจึงเลือกที่จะใช้รถคันอื่น แทนที่จะใช้รถของคุณอรสาเองหรือรถสมาชิกบางคนภายในบ้าน"
“งั้นก็แสดงว่าฆาตกรหลอกล่อให้คุณอรสาขับรถคันนั่นออกไป โดยที่ตัวฆาตกรเองก็ออกไปด้วยอย่างนั้นเหรอคะ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง โอ้ย ดิฉันงงไปหมดแล้ว”
“ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อให้ยุ่งยากหรอกแม่เยา เพราะตัวฆาตกรเองนั่นแหละคือคนที่ขับรถโฟร์คคันนั้นมาตั้งแต่แรก"
“ห๊ะ ! งั้นคุณอรสาก็ถูกฆ่ามาก่อนหน้านั้น เสร็จแล้วฆาตกรก็ปลอมตัวเป็นเธอ ต่อจากนั้นจึงนำศพเธอไปทิ้งที่สวนอบ่างนั้นเหรอคะ"
หล่อนอุทานเบาๆ
“ใช่ แล้วฆาตกรก็น่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย”
เอกภพชะลอความเร็วรถ แล้วจึงจุดบหรี่สูบก่อนพูดอะไรต่อไป
“เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนๆหนึ่งจะทำหน้าที่ทั้งหลอกล่อ และเล่นงานฉันจากข้างหลังได้ในเวลาเดียวกัน"
“งั้นก็แสดงว่ามีฆาตกรอีกคนหนึ่งแอบขึ้นไปในรถด้วยอย่างนั้นเหรอคะ”
"ใช่ ดูเหมือนเธอเริ่มจะเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้นแล้วนะ" เขาหันมายิ้มให้หล่อนอีกครั้ง
“แล้วเขาจะอยู่ในรถได้ยังไงโดยที่คุณไม่รู้คะ ไหนจะศพอีกล่ะ ในเมื่อรถคันนั้นก็อยู่ในสายตาของคุณมาตลอด"
“เป็นไปได้ว่าฆาตกรอีกคนจะแอบอยูที่ใต้กระโปรงรถกับศพ เธอเองก็รู้ดีใช่ไหมว่ารถโฟล์คน่ะเครื่องมันอยู่ข้างหลัง"
ประโยคสุดท้ายเขาหันมาถามเยาวภา
“ค่ะ ส่วนฝากระโปรงด้านหน้ารถจะเอาไว้เก็บของ"
“อืม ฉันจำได้ว่าตอนที่เธอจอดรถนั้น เธอหันหัวรถออกไปที่ด้านนอกส่วนฉันจอดอยู่ที่ด้านหลังอีกฝากหนึ่งของสวน จึงเป็นไปได้ที่ฆาตกรอีกคนจะแอบออกมาตอนที่หล่อนเปิดฝากระโปรงหน้าโดยทำทีว่ากำลังหยิบอุปกรณ์วาดภาพ ที่ฉันมองไม่เห็นก็เพราะฝากระโปรงหน้ารถบังอยู่”
“ งันฆาตกรก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่าคุณจะตามไป"
“ใช่ แผนหลอกล่อนั่นไม่ใช่แค่สำหรับคนในบ้านทั้งหมด แต่มันรวมถึงฉันด้วย"
“ฉลาดมาก”
หล่อนเผลออุทานเบาๆ
“โดยไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ หลังจากนำศพไปทิ้งและยัดเยียดให้คุณเป็นผู้ต้องหา ฆาตกรทั้งคู่ก็ขับรถโฟล์คนั่นหายเข้ากลีบเมฆไปเลยใช่ไหมคะ”
“อืม"
นักสืบพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ แต่แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างจะพูดต่อ
“แต่เรื่องนี้ยังมีช่องโหว่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนั้นฆาตกรทำได้ยังไง ถึงทำให้ทุกคนในบ้านคิดว่าอรสาไม่ได้ออกไปไหน"
“นั่นน่ะสิคะ ดิฉันว่าจะถามอยู่แล้วเชียว ก็ในเมื่อคนที่เปิดประตูรั้วก็ต้องเห็นอยู่แล้วว่าคุณอรสาเป็นคนขับรถออกไป เหมือนอย่างที่คุณเห็น”
“ข้อนี้ที่ฉันก็ยังคิดไม่ตก แต่จากที่ผู้หมวดวิสุทธิ์มันเล่าให้ฉันฟังว่า พวกเจ้านายทุกคนโดยเฉพาะอรสาต่างก็ยืนยันเสียงแข็งว่าตนเองอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน พร้อมมีหลักฐานที่อยู่ที่แน่ชัดมาแสดงด้วย"
“งานนี้คงต้องมีใครบางคนโกหกแล้วล่ะค่ะ"
“หรือไม่ ทฤษฎีของฉันก็อาจจะผิด ”
“แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ คือรถโฟล์คคันนั้นเป็นของใคร แล้วทำไมเวลาขับเข้าออกทุกคนในบ้านถึงไม่รู้สึกผิดสังเกต”
หล่อนหันมาตั้งข้อสังเกตกับเขาอีกครั้ง
“อาจจะเป็นของคนที่เคยเข้าออกภายในบ้านวรภักดิ์อยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็อาจจะเป็นรถที่เกี่ยวกับธุรกิจภายในบ้าน ซึ่งทุกคนเคยเห็นและคุ้นชินเป็นอย่างดี"
“และคงจะเกี่ยวกับสถานที่ที่เรากำลังจะไปตอนนี้ใช่ไหมคะ”
"ใช่ เราจะไปที่นั่นก็เพราะเรื่องรถและนอกเหนือสิ่งอื่นใด ฉันก็อยากจะเห็นหน้าของเจ้าของร้านนั่นด้วย"
พิษสวาท อำพราง (บทที่23)
"พอเถอะค่ะ แกยังเล็กอยู่มาก อย่าตีแกเลยนะคะเจ้าคุณ"
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคุณหญิงชดช้อย ดังกึกก้องไปทั่วบ้านวรภักดิ์หล่อนล้มตัวลงนอนกอดลูกชายคนสุดท้องของตนเอาไว้ เพื่อเป็นโล่กำบังจากไม้เรียวในมือของเจ้าคุณสุทิน ท่ามกลางสายตาของลูกชายอีกสองคนและเหล่าบรรดาคนใช้ชายหญิง
“หลีกไปให้พ้นคุณหญิง !ไอ้เด็กคนนี้มันถือดีขึ้นทุกวันฉันต้องให้บทเรียนแก่มันบ้าง มันจะได้จำ"
ควับ ๆ ! เสียงไม้เรียวกระทบไปที่ต้นขาของเด็กชายที่กำลังนอนคว่ำหน้า ซึ่งถึงจะมีตัวคุณแม่คอยบังเอาไว้แต่ก็ยังมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้อยู่ดี
“จำเอาไว้ถ้าขืนผลการเรียนยังแย่อยู่ แกจะต้องโดนแบบนี้”
เจ้าคุณสุทินเงื้อไม้เรียวหมายจะฟาดลงไปที่หลังของเด็กชาย แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมืรอได้ยินเสียงตะโกนของคุณหญิง
“พอได้แล้วเจ้าคุณ ! จะโกรธจะเกลียดอะไรกันนักหนา ตีจนเด็กเสียขวัญหมดแล้วรู้ไหม"
หล่อนพูดพลางน้ำตานองหน้า
นั้นทำให้เจ้าคุณสุทินต้องโยนไม้เรียวทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
“ตามใจกันเข้าไป ! อีกหน่อยก็คงจะเสียคนกันทั้งบ้าน"
พูดจบท่านก็เดินกระทืบเท้าออกจากห้องไป ทิ้งให้คุณหญิงชดช้อยนอนกอดเด็กชายตัวน้อยร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น แต่แล้วหล่อนก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองลูกชายอีกสองคน
“พวกแกก็เหมือนกัน เอะอะอะไรนิดหน่อยก็คอยจะฟ้องแต่คุณพ่อ เป็นพี่แท้ๆแทนที่ช่วยดูแลปกป้องน้อง ไป ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี้ยวนี้ !"
“ภพคะ ภพ คุณนอนละเมออีกแล้วนะ”
อรสาเขย่าตัวปลุกว่าที่สามีของหล่อนในช่วงใกล้รุ่งสาง
“หือ เช้าแล้วเหรอ” วรรณภพสะลึมสะลือลุกขึ้นมาอย่างงงๆ
“ยังค่ะ แต่เห็นคุณนอนละเมออีกแล้ว ดิฉันก็เลยต้องปลุก"
หล่อนตอบอย่างคนที่เบื่อหน่าย
“ผมฝันอีกแล้ว”
เขาตอบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะขยับตัวตะแคงข้างหันหน้ามาทางอรสาที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ
“ฝันถึงเรื่องเดิมอีกอย่างนั้นเหรอคะ”
“ก็ทำนองนั้น ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้ผมถึงฝันแบบซ้ำๆกันบ่อยนัก"
“หรือจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้คุณจะเครียดกับเรื่องงานมากเกินไปคะ”
หล่อนเอามือลูบไปที่แก้มของเขาเบาๆ
“คงงั้นล่ะมั้ง ช่วงนี้งานเยอะจนทำให้ผมฟุ้งซ่าน"
“อย่าลืมนะคะว่ายังเหลืองานแต่งของเราอยู่อีกงาน”
หล่อนพูดยิ้มๆ
“เรื่องสำคัญอย่างนี้ผมจะลืมได้ยังไงล่ะครับ เอาไว้ให้เสร็จเรื่องเปิดพินัยกรรมก่อน แล้วเราค่อยมาดูฤกษ์แต่งงานกันนะจ้ะที่รัก"
เขากุมมือหล่อนแล้วหอมเบาๆ
“ไม่รู้ล่ะค่ะ สายวันนี้ดิฉันจะไปเลือกร้านดีๆลองชุดแต่งงานเอาไว้ก่อน เผื่อใกล้ถึงวันงานจะได้ไม่ฉุกละหุก"
อรสาทำท่ากระฟัดกระเฟียด
“จะต้องไปหาเลือกร้านให้มันยุ่งยากทำไมล่ะจ้ะ ในเมื่อห้างของเราก็มีร้านตัดชุดชั้นนำให้เลือกตั้งหลายร้านอยู่แล้ว ผมสั่งคำเดียวพวกนี้ก็หามาให้ลองได้เป็นร้อยชุด"
“ ไม่ต้องหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้ดิฉันจัดการเองได้ เดี้ยวจะไปรบกวนเวลาทำงานของคุณเปล่าๆ ”
“เอาๆ ตามใจ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ผมให้สิทธิ์คุณตัดสินใจเต็มที่เลยก็แล้วกัน"
อรสาค่อยเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ
ช่วงสายของวันเดียวกัน ที่ฝั่งของสำนักงานเอกภพสืบสวน นักสืบหนุ่มกับเลขาของเขากำลังเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอกกัน ส่วนบรรจงก็ออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมายไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เฟืยดเก๋งของเอกภพค่อยๆแล่นออกจากสำนักงานอย่างช้าๆ
“ทำไมเจ้านายถึงไม่บอกคุณสุณีถึงเรื่องศพคุณอรสาตัวจริง ที่สวนสาธารณะนั่นล่ะคะ” เยาวภาเอ่ยถามขึ้นขณะที่รถกำลังจะออกสู่ถนนใหญ่
“เธอจะให้ฉันพูดว่าไงล่ะ ให้บอกว่ามีใครบางคนฆ่าคุณอรสาในขณะที่สถานที่เกิดเหตุมีแค่ฉันและหล่อนเนื่ยนะ เธอคิดว่าคุณสุณีจะเชื่อฉันเหรอ ดีไม่ดีหล่อนอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนฆ่าอรสาเสียเอง ฉันก็ซวยเท่านั้น"
“อืม ถูกของคุณค่ะ เป็นฉันเองก็คงจะพูดถึงเรื่องนี้ได้ลำบากเหมือนกัน”
หล่อนพูดพลางยิ้มแบบเจื่อนๆ
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก อย่างน้อยเราก็มีโอกาสที่จะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยที่ไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ และที่สำคัญก็คือยังได้สตางค์ใช้อีกด้วย"
เขาหันมายิ้มให้กับเยาวภา
“แต่ยังไงดิฉันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละค่ะ"
“เรื่องไหนอีกล่ะ ดูเธอนี่ช่างสงสัยจริงๆเลยนะ"
“ก็แล้วทำไมคุณถึงติดว่าใครบางคนในบ้านวรภักดิ์เป็นคนที่ฆ่าคุณอรสาเสียเองล่ะคะ”
“ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะรถยังไงล่ะแม่เยา"
“รถโฟร์คนั่นน่ะเหรอคะ"
หล่อนทำหน้าฉงน
“ใช่ เธอลองคิดดูสิ พวกเจ้านายทุกคนในบ้านวรภักดิ์ต่างก็มีรถประจำตัวกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าสมมุติว่าตัวเธอเป็นคนในบ้านนั้น เธอจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นของใครคนหนึ่งอยู่ๆก็หายไปจากบ้านอย่างผิดปกติ"
“ก็ต้องคิดว่าคนๆนั้นไม่อยู่บ้านในเวลานั้นน่ะสิคะ"
“ถูกต้อง ฆาตกรต้องการทำให้ทุกคนคิดว่าตัวเขาและอรสายังอยู่ในบ้าน ดังนั้นฆาตกรจึงเลือกที่จะใช้รถคันอื่น แทนที่จะใช้รถของคุณอรสาเองหรือรถสมาชิกบางคนภายในบ้าน"
“งั้นก็แสดงว่าฆาตกรหลอกล่อให้คุณอรสาขับรถคันนั่นออกไป โดยที่ตัวฆาตกรเองก็ออกไปด้วยอย่างนั้นเหรอคะ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง โอ้ย ดิฉันงงไปหมดแล้ว”
“ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อให้ยุ่งยากหรอกแม่เยา เพราะตัวฆาตกรเองนั่นแหละคือคนที่ขับรถโฟร์คคันนั้นมาตั้งแต่แรก"
“ห๊ะ ! งั้นคุณอรสาก็ถูกฆ่ามาก่อนหน้านั้น เสร็จแล้วฆาตกรก็ปลอมตัวเป็นเธอ ต่อจากนั้นจึงนำศพเธอไปทิ้งที่สวนอบ่างนั้นเหรอคะ"
หล่อนอุทานเบาๆ
“ใช่ แล้วฆาตกรก็น่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย”
เอกภพชะลอความเร็วรถ แล้วจึงจุดบหรี่สูบก่อนพูดอะไรต่อไป
“เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนๆหนึ่งจะทำหน้าที่ทั้งหลอกล่อ และเล่นงานฉันจากข้างหลังได้ในเวลาเดียวกัน"
“งั้นก็แสดงว่ามีฆาตกรอีกคนหนึ่งแอบขึ้นไปในรถด้วยอย่างนั้นเหรอคะ”
"ใช่ ดูเหมือนเธอเริ่มจะเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้นแล้วนะ" เขาหันมายิ้มให้หล่อนอีกครั้ง
“แล้วเขาจะอยู่ในรถได้ยังไงโดยที่คุณไม่รู้คะ ไหนจะศพอีกล่ะ ในเมื่อรถคันนั้นก็อยู่ในสายตาของคุณมาตลอด"
“เป็นไปได้ว่าฆาตกรอีกคนจะแอบอยูที่ใต้กระโปรงรถกับศพ เธอเองก็รู้ดีใช่ไหมว่ารถโฟล์คน่ะเครื่องมันอยู่ข้างหลัง"
ประโยคสุดท้ายเขาหันมาถามเยาวภา
“ค่ะ ส่วนฝากระโปรงด้านหน้ารถจะเอาไว้เก็บของ"
“อืม ฉันจำได้ว่าตอนที่เธอจอดรถนั้น เธอหันหัวรถออกไปที่ด้านนอกส่วนฉันจอดอยู่ที่ด้านหลังอีกฝากหนึ่งของสวน จึงเป็นไปได้ที่ฆาตกรอีกคนจะแอบออกมาตอนที่หล่อนเปิดฝากระโปรงหน้าโดยทำทีว่ากำลังหยิบอุปกรณ์วาดภาพ ที่ฉันมองไม่เห็นก็เพราะฝากระโปรงหน้ารถบังอยู่”
“ งันฆาตกรก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่าคุณจะตามไป"
“ใช่ แผนหลอกล่อนั่นไม่ใช่แค่สำหรับคนในบ้านทั้งหมด แต่มันรวมถึงฉันด้วย"
“ฉลาดมาก”
หล่อนเผลออุทานเบาๆ
“โดยไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ หลังจากนำศพไปทิ้งและยัดเยียดให้คุณเป็นผู้ต้องหา ฆาตกรทั้งคู่ก็ขับรถโฟล์คนั่นหายเข้ากลีบเมฆไปเลยใช่ไหมคะ”
“อืม"
นักสืบพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ แต่แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างจะพูดต่อ
“แต่เรื่องนี้ยังมีช่องโหว่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนั้นฆาตกรทำได้ยังไง ถึงทำให้ทุกคนในบ้านคิดว่าอรสาไม่ได้ออกไปไหน"
“นั่นน่ะสิคะ ดิฉันว่าจะถามอยู่แล้วเชียว ก็ในเมื่อคนที่เปิดประตูรั้วก็ต้องเห็นอยู่แล้วว่าคุณอรสาเป็นคนขับรถออกไป เหมือนอย่างที่คุณเห็น”
“ข้อนี้ที่ฉันก็ยังคิดไม่ตก แต่จากที่ผู้หมวดวิสุทธิ์มันเล่าให้ฉันฟังว่า พวกเจ้านายทุกคนโดยเฉพาะอรสาต่างก็ยืนยันเสียงแข็งว่าตนเองอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน พร้อมมีหลักฐานที่อยู่ที่แน่ชัดมาแสดงด้วย"
“งานนี้คงต้องมีใครบางคนโกหกแล้วล่ะค่ะ"
“หรือไม่ ทฤษฎีของฉันก็อาจจะผิด ”
“แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ คือรถโฟล์คคันนั้นเป็นของใคร แล้วทำไมเวลาขับเข้าออกทุกคนในบ้านถึงไม่รู้สึกผิดสังเกต”
หล่อนหันมาตั้งข้อสังเกตกับเขาอีกครั้ง
“อาจจะเป็นของคนที่เคยเข้าออกภายในบ้านวรภักดิ์อยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็อาจจะเป็นรถที่เกี่ยวกับธุรกิจภายในบ้าน ซึ่งทุกคนเคยเห็นและคุ้นชินเป็นอย่างดี"
“และคงจะเกี่ยวกับสถานที่ที่เรากำลังจะไปตอนนี้ใช่ไหมคะ”
"ใช่ เราจะไปที่นั่นก็เพราะเรื่องรถและนอกเหนือสิ่งอื่นใด ฉันก็อยากจะเห็นหน้าของเจ้าของร้านนั่นด้วย"