พิษสวาท อำพราง (บทที่23)

 บทที่ 23 อดีตที่คอยหลอกหลอน



            "พอเถอะค่ะ แกยังเล็กอยู่มาก อย่าตีแกเลยนะคะเจ้าคุณ"
            เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคุณหญิงชดช้อย ดังกึกก้องไปทั่วบ้านวรภักดิ์หล่อนล้มตัวลงนอนกอดลูกชายคนสุดท้องของตนเอาไว้ เพื่อเป็นโล่กำบังจากไม้เรียวในมือของเจ้าคุณสุทิน ท่ามกลางสายตาของลูกชายอีกสองคนและเหล่าบรรดาคนใช้ชายหญิง 
            “หลีกไปให้พ้นคุณหญิง !ไอ้เด็กคนนี้มันถือดีขึ้นทุกวันฉันต้องให้บทเรียนแก่มันบ้าง มันจะได้จำ"           
            ควับ ๆ ! เสียงไม้เรียวกระทบไปที่ต้นขาของเด็กชายที่กำลังนอนคว่ำหน้า ซึ่งถึงจะมีตัวคุณแม่คอยบังเอาไว้แต่ก็ยังมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้อยู่ดี 
            “จำเอาไว้ถ้าขืนผลการเรียนยังแย่อยู่ แกจะต้องโดนแบบนี้” 
             เจ้าคุณสุทินเงื้อไม้เรียวหมายจะฟาดลงไปที่หลังของเด็กชาย แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมืรอได้ยินเสียงตะโกนของคุณหญิง
            “พอได้แล้วเจ้าคุณ ! จะโกรธจะเกลียดอะไรกันนักหนา ตีจนเด็กเสียขวัญหมดแล้วรู้ไหม"
             หล่อนพูดพลางน้ำตานองหน้า
            นั้นทำให้เจ้าคุณสุทินต้องโยนไม้เรียวทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
            “ตามใจกันเข้าไป ! อีกหน่อยก็คงจะเสียคนกันทั้งบ้าน"
            พูดจบท่านก็เดินกระทืบเท้าออกจากห้องไป ทิ้งให้คุณหญิงชดช้อยนอนกอดเด็กชายตัวน้อยร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น แต่แล้วหล่อนก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองลูกชายอีกสองคน
            “พวกแกก็เหมือนกัน เอะอะอะไรนิดหน่อยก็คอยจะฟ้องแต่คุณพ่อ เป็นพี่แท้ๆแทนที่ช่วยดูแลปกป้องน้อง ไป ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี้ยวนี้ !"
 
            “ภพคะ ภพ คุณนอนละเมออีกแล้วนะ” 
            อรสาเขย่าตัวปลุกว่าที่สามีของหล่อนในช่วงใกล้รุ่งสาง
            “หือ เช้าแล้วเหรอ” วรรณภพสะลึมสะลือลุกขึ้นมาอย่างงงๆ
            “ยังค่ะ แต่เห็นคุณนอนละเมออีกแล้ว ดิฉันก็เลยต้องปลุก"
             หล่อนตอบอย่างคนที่เบื่อหน่าย
            “ผมฝันอีกแล้ว” 
             เขาตอบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะขยับตัวตะแคงข้างหันหน้ามาทางอรสาที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ
            “ฝันถึงเรื่องเดิมอีกอย่างนั้นเหรอคะ” 
            “ก็ทำนองนั้น ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้ผมถึงฝันแบบซ้ำๆกันบ่อยนัก"
            “หรือจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้คุณจะเครียดกับเรื่องงานมากเกินไปคะ” 
             หล่อนเอามือลูบไปที่แก้มของเขาเบาๆ
            “คงงั้นล่ะมั้ง ช่วงนี้งานเยอะจนทำให้ผมฟุ้งซ่าน" 
            “อย่าลืมนะคะว่ายังเหลืองานแต่งของเราอยู่อีกงาน” 
             หล่อนพูดยิ้มๆ 
            “เรื่องสำคัญอย่างนี้ผมจะลืมได้ยังไงล่ะครับ เอาไว้ให้เสร็จเรื่องเปิดพินัยกรรมก่อน แล้วเราค่อยมาดูฤกษ์แต่งงานกันนะจ้ะที่รัก"
             เขากุมมือหล่อนแล้วหอมเบาๆ
            “ไม่รู้ล่ะค่ะ สายวันนี้ดิฉันจะไปเลือกร้านดีๆลองชุดแต่งงานเอาไว้ก่อน เผื่อใกล้ถึงวันงานจะได้ไม่ฉุกละหุก"
            อรสาทำท่ากระฟัดกระเฟียด
            “จะต้องไปหาเลือกร้านให้มันยุ่งยากทำไมล่ะจ้ะ ในเมื่อห้างของเราก็มีร้านตัดชุดชั้นนำให้เลือกตั้งหลายร้านอยู่แล้ว ผมสั่งคำเดียวพวกนี้ก็หามาให้ลองได้เป็นร้อยชุด"
            “ ไม่ต้องหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้ดิฉันจัดการเองได้ เดี้ยวจะไปรบกวนเวลาทำงานของคุณเปล่าๆ ”
            “เอาๆ ตามใจ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ผมให้สิทธิ์คุณตัดสินใจเต็มที่เลยก็แล้วกัน"
            อรสาค่อยเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ
 
            ช่วงสายของวันเดียวกัน ที่ฝั่งของสำนักงานเอกภพสืบสวน นักสืบหนุ่มกับเลขาของเขากำลังเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอกกัน ส่วนบรรจงก็ออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมายไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เฟืยดเก๋งของเอกภพค่อยๆแล่นออกจากสำนักงานอย่างช้าๆ
            “ทำไมเจ้านายถึงไม่บอกคุณสุณีถึงเรื่องศพคุณอรสาตัวจริง ที่สวนสาธารณะนั่นล่ะคะ”  เยาวภาเอ่ยถามขึ้นขณะที่รถกำลังจะออกสู่ถนนใหญ่ 
            “เธอจะให้ฉันพูดว่าไงล่ะ ให้บอกว่ามีใครบางคนฆ่าคุณอรสาในขณะที่สถานที่เกิดเหตุมีแค่ฉันและหล่อนเนื่ยนะ เธอคิดว่าคุณสุณีจะเชื่อฉันเหรอ ดีไม่ดีหล่อนอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนฆ่าอรสาเสียเอง ฉันก็ซวยเท่านั้น" 
            “อืม ถูกของคุณค่ะ เป็นฉันเองก็คงจะพูดถึงเรื่องนี้ได้ลำบากเหมือนกัน” 
             หล่อนพูดพลางยิ้มแบบเจื่อนๆ
            “ไม่ต้องคิดมากไปหรอก อย่างน้อยเราก็มีโอกาสที่จะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยที่ไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ และที่สำคัญก็คือยังได้สตางค์ใช้อีกด้วย" 
            เขาหันมายิ้มให้กับเยาวภา
            “แต่ยังไงดิฉันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละค่ะ"
            “เรื่องไหนอีกล่ะ ดูเธอนี่ช่างสงสัยจริงๆเลยนะ" 
            “ก็แล้วทำไมคุณถึงติดว่าใครบางคนในบ้านวรภักดิ์เป็นคนที่ฆ่าคุณอรสาเสียเองล่ะคะ”
            “ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะรถยังไงล่ะแม่เยา"
            “รถโฟร์คนั่นน่ะเหรอคะ"
             หล่อนทำหน้าฉงน
            “ใช่ เธอลองคิดดูสิ พวกเจ้านายทุกคนในบ้านวรภักดิ์ต่างก็มีรถประจำตัวกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าสมมุติว่าตัวเธอเป็นคนในบ้านนั้น เธอจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นของใครคนหนึ่งอยู่ๆก็หายไปจากบ้านอย่างผิดปกติ" 
            “ก็ต้องคิดว่าคนๆนั้นไม่อยู่บ้านในเวลานั้นน่ะสิคะ"
            “ถูกต้อง ฆาตกรต้องการทำให้ทุกคนคิดว่าตัวเขาและอรสายังอยู่ในบ้าน ดังนั้นฆาตกรจึงเลือกที่จะใช้รถคันอื่น แทนที่จะใช้รถของคุณอรสาเองหรือรถสมาชิกบางคนภายในบ้าน"
            “งั้นก็แสดงว่าฆาตกรหลอกล่อให้คุณอรสาขับรถคันนั่นออกไป โดยที่ตัวฆาตกรเองก็ออกไปด้วยอย่างนั้นเหรอคะ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง โอ้ย ดิฉันงงไปหมดแล้ว”
            “ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อให้ยุ่งยากหรอกแม่เยา เพราะตัวฆาตกรเองนั่นแหละคือคนที่ขับรถโฟร์คคันนั้นมาตั้งแต่แรก"
            “ห๊ะ ! งั้นคุณอรสาก็ถูกฆ่ามาก่อนหน้านั้น เสร็จแล้วฆาตกรก็ปลอมตัวเป็นเธอ ต่อจากนั้นจึงนำศพเธอไปทิ้งที่สวนอบ่างนั้นเหรอคะ" 
             หล่อนอุทานเบาๆ
            “ใช่ แล้วฆาตกรก็น่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย” 
             เอกภพชะลอความเร็วรถ แล้วจึงจุดบหรี่สูบก่อนพูดอะไรต่อไป 
            “เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนๆหนึ่งจะทำหน้าที่ทั้งหลอกล่อ และเล่นงานฉันจากข้างหลังได้ในเวลาเดียวกัน"
            “งั้นก็แสดงว่ามีฆาตกรอีกคนหนึ่งแอบขึ้นไปในรถด้วยอย่างนั้นเหรอคะ”
             "ใช่ ดูเหมือนเธอเริ่มจะเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้นแล้วนะ" เขาหันมายิ้มให้หล่อนอีกครั้ง
            “แล้วเขาจะอยู่ในรถได้ยังไงโดยที่คุณไม่รู้คะ ไหนจะศพอีกล่ะ ในเมื่อรถคันนั้นก็อยู่ในสายตาของคุณมาตลอด"
            “เป็นไปได้ว่าฆาตกรอีกคนจะแอบอยูที่ใต้กระโปรงรถกับศพ เธอเองก็รู้ดีใช่ไหมว่ารถโฟล์คน่ะเครื่องมันอยู่ข้างหลัง"
             ประโยคสุดท้ายเขาหันมาถามเยาวภา
            “ค่ะ ส่วนฝากระโปรงด้านหน้ารถจะเอาไว้เก็บของ" 
            “อืม ฉันจำได้ว่าตอนที่เธอจอดรถนั้น เธอหันหัวรถออกไปที่ด้านนอกส่วนฉันจอดอยู่ที่ด้านหลังอีกฝากหนึ่งของสวน จึงเป็นไปได้ที่ฆาตกรอีกคนจะแอบออกมาตอนที่หล่อนเปิดฝากระโปรงหน้าโดยทำทีว่ากำลังหยิบอุปกรณ์วาดภาพ ที่ฉันมองไม่เห็นก็เพราะฝากระโปรงหน้ารถบังอยู่”
            “ งันฆาตกรก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่าคุณจะตามไป"
            “ใช่ แผนหลอกล่อนั่นไม่ใช่แค่สำหรับคนในบ้านทั้งหมด แต่มันรวมถึงฉันด้วย"
            “ฉลาดมาก” 
             หล่อนเผลออุทานเบาๆ 
            “โดยไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ หลังจากนำศพไปทิ้งและยัดเยียดให้คุณเป็นผู้ต้องหา ฆาตกรทั้งคู่ก็ขับรถโฟล์คนั่นหายเข้ากลีบเมฆไปเลยใช่ไหมคะ”
            “อืม" 
              นักสืบพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ แต่แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างจะพูดต่อ
    “แต่เรื่องนี้ยังมีช่องโหว่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนั้นฆาตกรทำได้ยังไง ถึงทำให้ทุกคนในบ้านคิดว่าอรสาไม่ได้ออกไปไหน"
    “นั่นน่ะสิคะ ดิฉันว่าจะถามอยู่แล้วเชียว ก็ในเมื่อคนที่เปิดประตูรั้วก็ต้องเห็นอยู่แล้วว่าคุณอรสาเป็นคนขับรถออกไป เหมือนอย่างที่คุณเห็น” 
    “ข้อนี้ที่ฉันก็ยังคิดไม่ตก แต่จากที่ผู้หมวดวิสุทธิ์มันเล่าให้ฉันฟังว่า พวกเจ้านายทุกคนโดยเฉพาะอรสาต่างก็ยืนยันเสียงแข็งว่าตนเองอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน พร้อมมีหลักฐานที่อยู่ที่แน่ชัดมาแสดงด้วย"
    “งานนี้คงต้องมีใครบางคนโกหกแล้วล่ะค่ะ"
    “หรือไม่ ทฤษฎีของฉันก็อาจจะผิด ”
             “แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ คือรถโฟล์คคันนั้นเป็นของใคร แล้วทำไมเวลาขับเข้าออกทุกคนในบ้านถึงไม่รู้สึกผิดสังเกต”  
            หล่อนหันมาตั้งข้อสังเกตกับเขาอีกครั้ง 
            “อาจจะเป็นของคนที่เคยเข้าออกภายในบ้านวรภักดิ์อยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็อาจจะเป็นรถที่เกี่ยวกับธุรกิจภายในบ้าน ซึ่งทุกคนเคยเห็นและคุ้นชินเป็นอย่างดี"
            “และคงจะเกี่ยวกับสถานที่ที่เรากำลังจะไปตอนนี้ใช่ไหมคะ”
            "ใช่ เราจะไปที่นั่นก็เพราะเรื่องรถและนอกเหนือสิ่งอื่นใด ฉันก็อยากจะเห็นหน้าของเจ้าของร้านนั่นด้วย"
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่