📚 งานนี้เป็นการศึกษาแบบ Meta-analysis เพื่อดูผลของการทานโภชนาการสัดส่วนแบบ คาร์บต่ำ (Low carbohydrate) และ ไขมันต่ำ (Low fat) เปรียบเทียบกัน ว่าแบบไหนส่งผลยังไงต่อปัจจัยเสี่ยงต่อระบบ Metabolic บ้าง
📌 สมัยก่อนมนุษย์เราขัดแย้งกันเพราะแย่งดินแดนกัน ในอีกยุคนึงก็ขัดแย้งกันเพราะเรื่องศาสนา ในยุคนึงขัดแย้งกันเพราะเรียนคนละสถาบัน ใส่เสื้อคนละสี หัวเข็มขัดคนละลาย ในยุคนึงก็ขัดแย้งกันเพราะความเชื่อทางการเมือง ในปัจจุบันเราขัดแย้งกันเพราะ-กันคนละแบบ ฮิ้วววว
😎 เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะคนไทยนะครับ บอกได้เลยว่าเมืองนอกก็สาดกันยับ พวกคนไทยตัวที่เห็นๆเนี่ยก็ก๊อปโพสต์ ก๊อปข้อความจากฝรั่งตัวหัวๆ มาสาดกันต่อนั่นแหละ ในงานนี้เขาก็เลยไปศึกษาจากงานวิจัยต่างๆ ดูให้ชัดๆเลยว่า กินแบบไหนมันส่งผลยังไง แบบไหนดีกว่า แบบไหนแย่กว่า
📚 เขาก็ไปศึกษาจากงานวิจัยต่างๆ ในฐานข้อมูงานวิจัย ทั้ง PubMed, EMBASE และ Cochrane โดย การทานแบบโลว์คาร์บ (LCD) ในนิยามของงานวิจัยต่างๆ คือคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วนไม่เกิน 40% ส่วนการทานแบบโลว์แฟต (LFD) สัดส่วนไขมันไม่เกิน 30% ของพลังงานทั้งหมด งานวิจัยต้องทำอย่างน้อย 6 เดือน ศึกษาในคนน้ำหนักเกิน อ้วน หรือมีภาวะ Metabolic syndrome
📝 เมื่อค้นข้อมูลเขาก็ได้งานวิจัยที่เข้าเกณฑ์อยู่ 33 งาน มีกลุ่มตัวอย่าง 3,939 คน เป็นการศึกษาทั้งจาก อเมริกาเหนือ , โอเซเนีย , เอเชีย และยุโรป มี 1,978 คนที่ทาน LCD และ 1,961 คนที่ทาน LFD อายุตั้งแต่ 18-72 ปี การศึกษานี่ก็มียาวตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 2 ปี ในกลุ่ม LCD มี 14 งานที่ทานคาร์บต่ำมาก (VLCD) คือต่ำกว่า 50g ต่อวัน ว่าง่ายๆคือทานแบบ Keto นั่นเอง
🔎 ผลที่พบก็คือ LCD นั้นให้ผลต่อการลดไตกลีเซอไรด์ (Triglycerides) , ความดันตัวล่าง (Diastolic) และน้ำหนักที่ดีกว่า (ดีกว่าในทีนี้ก็คือ 1.33 กิโลโดยเฉลี่ยนะครับ ไม่ใช่แบบต่างกัน 5 โล 10 โล) ค่าไตกลีฯ ก็ลดได้ดีกว่า 0.14mmol/L ความดันตัวล่างก็ลดได้ดีกว่า 0.87mmHg นะครับ เช่นกันไม่ได้ต่างกันมากแบบ 5 หรือ 10mmHg นอกจากลดแล้ว ทาน LCD ก็ให้ผลดีต่อการเพิ่ม HDL ด้วย ก็ดีกว่าราว 0.07mmol/L
📌 ส่วนการทานแบบ LFD ลดคอเลสเตอรอล และ LDL ได้ดีกว่า แต่ที่ดีกว่าก็ลด Cholesterol ได้ดีกว่า 0.14mmol/L และ LDL นี่ 0.10mmol/L ในส่วนของน้ำหนักตัวนั้นในช่วงแรก ลดได้ดีกว่าแต่เมื่อติดตามผลที่ระยะเวลา 2 ปี ก็พบว่าไม่ต่างกัน เมื่อดูกลุ่มย่อย ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน หรือไขมัน ก็ให้ผลที่ไม่แตกต่างกัน
😎 โดยสรุป LCD และ LFD มีผลต่อปัจจัยเสี่ยง Metabolic แตกต่างกันดังผลข้างบน ลดน้ำหนักได้ดีกว่าในช่วง 6 เดือนแรก แต่เมื่อติดตามผลที่ระยะเวลา 2 ปี ทั้งน้ำหนักและปัจจัยเสี่ยงต่อ Metabolic ก็ทำได้ดีเหมือนๆกัน
📌 จะทานแบบไหนก็ได้นะครับ เอาที่เราทานได้สะดวก และทำได้นานพอจนเห็นผล ปี 2022 แล้ว ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ที่พูดถึงข้างต้น ผมว่าเราควรเลิกยกหางกว่ากินแบบนี้สิดีกว่าอีกแบบนึงกันได้แล้ว มันได้ผลหรือไม่ได้ผลไม่แตกต่างกัน เหมือนที่ในอีกหลายๆงานพบนั่นแหละ แบบไหนคุณกินแล้ว ลดน้ำหนักได้ ลดไขมันส่วนเกินได้ สิ่งต่างๆมันก็ดีขึ้นแทบไม่ต่างกัน
ที่มาและแหล่งอ้างอิง
https://www.fatfighting.net/article-2022-09-10-effects-of-low-carbohydrate-diets-versus-low-fat-diets-on-metabolic-risk-factors-in-overweight-and-obese-adults/
ดูกันชัดๆ น้ำหนักเกิน อ้วน Metabolic syndrome กวักมือหยอยๆ กินแบบไหนดี Low carb หรือ Low fat อะไรดีกว่ากัน
📌 สมัยก่อนมนุษย์เราขัดแย้งกันเพราะแย่งดินแดนกัน ในอีกยุคนึงก็ขัดแย้งกันเพราะเรื่องศาสนา ในยุคนึงขัดแย้งกันเพราะเรียนคนละสถาบัน ใส่เสื้อคนละสี หัวเข็มขัดคนละลาย ในยุคนึงก็ขัดแย้งกันเพราะความเชื่อทางการเมือง ในปัจจุบันเราขัดแย้งกันเพราะ-กันคนละแบบ ฮิ้วววว
😎 เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะคนไทยนะครับ บอกได้เลยว่าเมืองนอกก็สาดกันยับ พวกคนไทยตัวที่เห็นๆเนี่ยก็ก๊อปโพสต์ ก๊อปข้อความจากฝรั่งตัวหัวๆ มาสาดกันต่อนั่นแหละ ในงานนี้เขาก็เลยไปศึกษาจากงานวิจัยต่างๆ ดูให้ชัดๆเลยว่า กินแบบไหนมันส่งผลยังไง แบบไหนดีกว่า แบบไหนแย่กว่า
📚 เขาก็ไปศึกษาจากงานวิจัยต่างๆ ในฐานข้อมูงานวิจัย ทั้ง PubMed, EMBASE และ Cochrane โดย การทานแบบโลว์คาร์บ (LCD) ในนิยามของงานวิจัยต่างๆ คือคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วนไม่เกิน 40% ส่วนการทานแบบโลว์แฟต (LFD) สัดส่วนไขมันไม่เกิน 30% ของพลังงานทั้งหมด งานวิจัยต้องทำอย่างน้อย 6 เดือน ศึกษาในคนน้ำหนักเกิน อ้วน หรือมีภาวะ Metabolic syndrome
📝 เมื่อค้นข้อมูลเขาก็ได้งานวิจัยที่เข้าเกณฑ์อยู่ 33 งาน มีกลุ่มตัวอย่าง 3,939 คน เป็นการศึกษาทั้งจาก อเมริกาเหนือ , โอเซเนีย , เอเชีย และยุโรป มี 1,978 คนที่ทาน LCD และ 1,961 คนที่ทาน LFD อายุตั้งแต่ 18-72 ปี การศึกษานี่ก็มียาวตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 2 ปี ในกลุ่ม LCD มี 14 งานที่ทานคาร์บต่ำมาก (VLCD) คือต่ำกว่า 50g ต่อวัน ว่าง่ายๆคือทานแบบ Keto นั่นเอง
🔎 ผลที่พบก็คือ LCD นั้นให้ผลต่อการลดไตกลีเซอไรด์ (Triglycerides) , ความดันตัวล่าง (Diastolic) และน้ำหนักที่ดีกว่า (ดีกว่าในทีนี้ก็คือ 1.33 กิโลโดยเฉลี่ยนะครับ ไม่ใช่แบบต่างกัน 5 โล 10 โล) ค่าไตกลีฯ ก็ลดได้ดีกว่า 0.14mmol/L ความดันตัวล่างก็ลดได้ดีกว่า 0.87mmHg นะครับ เช่นกันไม่ได้ต่างกันมากแบบ 5 หรือ 10mmHg นอกจากลดแล้ว ทาน LCD ก็ให้ผลดีต่อการเพิ่ม HDL ด้วย ก็ดีกว่าราว 0.07mmol/L
📌 ส่วนการทานแบบ LFD ลดคอเลสเตอรอล และ LDL ได้ดีกว่า แต่ที่ดีกว่าก็ลด Cholesterol ได้ดีกว่า 0.14mmol/L และ LDL นี่ 0.10mmol/L ในส่วนของน้ำหนักตัวนั้นในช่วงแรก ลดได้ดีกว่าแต่เมื่อติดตามผลที่ระยะเวลา 2 ปี ก็พบว่าไม่ต่างกัน เมื่อดูกลุ่มย่อย ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน หรือไขมัน ก็ให้ผลที่ไม่แตกต่างกัน
😎 โดยสรุป LCD และ LFD มีผลต่อปัจจัยเสี่ยง Metabolic แตกต่างกันดังผลข้างบน ลดน้ำหนักได้ดีกว่าในช่วง 6 เดือนแรก แต่เมื่อติดตามผลที่ระยะเวลา 2 ปี ทั้งน้ำหนักและปัจจัยเสี่ยงต่อ Metabolic ก็ทำได้ดีเหมือนๆกัน
📌 จะทานแบบไหนก็ได้นะครับ เอาที่เราทานได้สะดวก และทำได้นานพอจนเห็นผล ปี 2022 แล้ว ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ที่พูดถึงข้างต้น ผมว่าเราควรเลิกยกหางกว่ากินแบบนี้สิดีกว่าอีกแบบนึงกันได้แล้ว มันได้ผลหรือไม่ได้ผลไม่แตกต่างกัน เหมือนที่ในอีกหลายๆงานพบนั่นแหละ แบบไหนคุณกินแล้ว ลดน้ำหนักได้ ลดไขมันส่วนเกินได้ สิ่งต่างๆมันก็ดีขึ้นแทบไม่ต่างกัน
ที่มาและแหล่งอ้างอิง
https://www.fatfighting.net/article-2022-09-10-effects-of-low-carbohydrate-diets-versus-low-fat-diets-on-metabolic-risk-factors-in-overweight-and-obese-adults/