กิน ‘น้ำเต้าหู้’ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม เพศชายไม่แนะนำให้กินทุกวัน และ 7 อาหารชะลอวัย

กิน‘น้ำเต้าหู’ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม เพศชายไม่แนะนำให้กินทุกวัน เพราะจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย
หลายคนสงสัยว่า การกิน“น้ำเต้าหู้”จะช่วยลดน้ำหนัก จริงหรือมั่ว ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.วรินดา ดาอ่ำ  นักโภชนาการ สำนักโภชนาการ  กรมอนามัย  ได้เคยทำการตรวจสอบไว้และได้มีข้อสรุปมีผลออกมา คือ ดื่ม “น้ำเต้าหู้” 14 วัน ช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันได้จริง หากเทียบกับนมวัว น้ำเต้าหู้มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน คอเลสเตอรอล และแคลอรี น้อยกว่านมวัว

นอกจากนั้น “น้ำเต้าหู”ยังช่วยบำรุงกระดูก ควบคุมความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์มากมายในราคาประหยัด ที่สำคัญต้องเป็น “น้ำเต้าหู้”  ที่ไม่ใส่น้ำตาลหรือหวานน้อย

ข้อเท็จจริง : “น้ำเต้าหู้” มีโปรตีนใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ เหมาะกับคนไม่กินเนื้อสัตว์และผู้คุมน้ำหนัก น้ำเต้าหู้ไม่ปรุงแต่งมีพลังงาน 54 กิโลแคลอรี ต่างจากนมวัวที่มี 150 กิโลแคลอรี งานวิจัยทดลองประสิทธิผลของนมวัว “น้ำเต้าหู้” และอาหารเสริมแคลเซียมต่อการลดไขมันในผู้หญิงก่อนวัยทองที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน พบว่าการดื่มนมไขมันต่ำอย่างน้ำเต้าหู้ ช่วยลดภาวะอ้วนและภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มตัวอย่างทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ

ผลกระทบ : ถ้ากินน้ำเต้าหู้ติดต่อกันนานเกิน 6 เดือน อาจส่งผลให้ขาดสารอาหารโดยเฉพาะแคลเซียม ซึ่งมีน้อยกว่าในนมวัวมาก หรือพบผลข้างเคียงเกิดการแพ้ขึ้น เพศชายไม่แนะนำให้กินทุกวัน เพราะจะส่งผลกับระดับฮอร์โมนในร่างกาย แป๊ก

ข้อแนะนำ : นอกจากน้ำเต้าหู้แล้ว เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารอื่นเพียงพอ ควรเลือกดื่มนมชนิดอื่นด้วย เช่น นมสดจืด ปริมาณ 1-2 แก้วต่อวัน กินผัก เช่น คะน้า หรือเติมธัญพืชในน้ำเต้าหู้ ช่วยเพิ่มรสชาติและเพิ่มคุณค่าด้วย... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4213919/



7 อาหาร “ชะลอวัย”

แม้วันนี้จะมีตัวช่วยมากมาย ที่จะมา “ชะลอวัย” หรือชะลอความแก่ ทำให้เราแก่ช้า หรือแก่แต่แข็งแรงได้ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ “สุขภาพดี” และช่วย “ชะลอความแก่” คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้สุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก วันนี้จึงขอรวบรวม 7 อาหารที่มาช่วยชะลอวัย เพื่อเป็นอีกทางเลือก ดังนี้
1. ผักใบเขียวเข้ม : “ผักใบเขียวเข้ม” คือสัญลักษณ์ของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่เชื่อว่าน่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยทราบว่าสิ่งนี้เป็นอาหารชะลอวัยด้วย โดยผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม บรอกโคลี อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน และลูทีน ซึ่งสารเหล่านี้ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ดังนั้น ยิ่งเซลล์ถูกทำลายน้อยเท่าไร ความอ่อนเยาว์ก็ยิ่งอยู่คู่กับเราไปนานเท่านั้น
   
2. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี : ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เช่น บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น คืออีกหนึ่งอาหารเสริมที่หาได้ง่ายและช่วยชะลอวัยได้ เพราะในผลเบอร์รีอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโทไซยานิน ฟลาโวนอยด์ และกรดเอลลาจิก ที่มีส่วนช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเสื่อมของเซลล์และริ้วรอยก่อนวัย แต่ข้อควรระวังคือ ผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ หากทานมากเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ
 
3. ถั่ว : ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ ถั่วพิสตาชิโอ หรือถั่วแมคาดาเมีย ต่างก็อุดมด้วยสารอาหารช่วยชะลอวัย โดยเฉพาะวิตามินอีและแมกนีเซียม แต่ข้อควรระวังคือ ถั่วเหล่านี้มีปริมาณไขมันสูง ดังนั้น จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอดี รวมถึงผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด

4. ธัญพืชไม่ขัดสี : คือเมล็ดพืชที่ยังคงส่วนประกอบสำคัญครบถ้วน ประกอบด้วยเยื่อหุ้มเมล็ด เนื้อข้าว และจมูกข้าว เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของสารอาหาร เช่น ใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ไขมันดี และสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะงาดำ งาขาว งาขี้ม่อน ลูกเดือย รวมถึงคีนัว ที่ถือเป็นอาหารเสริมที่หาได้สะดวกในชีวิตประจำวันและช่วยชะลอวัยได้เป็นอย่างดี แต่ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
   
5. ปลา : ปลาหลายชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาแมกเคอเรล ถือเป็นอาหารชะลอวัยที่ครบครันทั้งรสชาติที่อร่อย และความสะดวกในการหารับประทานในชีวิตประจำวัน แต่ปลาเหล่านี้ก็มีไขมันอยู่ไม่น้อยจึงควรรับประทานในรูปแบบนึ่ง หรือย่าง หลีกเลี่ยงการทอดน้ำมัน

6. น้ำมันมะกอก : หนึ่งในวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เป็น “อาหารชะลอวัย” ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคเรื้อรัง และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แต่ควรเลือกน้ำมันมะกอกให้เหมาะสมกับชนิดของอาหาร เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด

7. ชาเขียว : เป็นเครื่องดื่มชะลอวัย เพราะอุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอล โดยเฉพาะ EGCG (Epigallocatechin Gallate) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นการสร้าง “เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ” ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีเกราะป้องกันตัวเองจากอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น และเพื่อสุขภาพที่ดี แนะนำการดื่มแบบชงน้ำร้อน หลีกเลี่ยงการเติมนมหรือน้ำตาล

Cr. https://www.thansettakij.com/blogs/health/wellbeing/615087
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่