เราเป็นคนอวบมาตั้งแต่เด็กไม่ผอมแต่ก็ไม่อ้วน และก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองอ้วนเลยจนกระทั่งเริ่มเข้าเรียนชั้น ปวช. เพราะเพื่อนในกลุ่มแต่ละคนน้ำหนักไม่เกิน 50 กันทั้งนั้นมีเราที่หนัก 58 อยู่คนเดียวเลยคิดว่าตัวเองเป็นคนตัวอ้วนตัวใหญ่ แล้วต้นเหตุของความพังกำลังจะเริ่มจากตรงนี้...
เราเริ่มมองหาตัวช่วยที่ทำให้ผอมได้เร็วที่สุด นั่นก็คือ ยาลดความอ้วนของคลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง เราจึงไปบอกกับแม่ว่าอยากกินยาลดความอ้วน ในตอนนั้นแม่ก็อยากให้ลูกผอมเหมือนเพื่อนแม่เลยเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้เงินเราไปซื้อยาลดความอ้วนมากิน
ในช่วงแรกน้ำหนักลงมาเยอะมาก ลดลงมาจาก 58 เหลือ 47 แต่เอฟเฟคก็เยอะมากเช่นกัน มีอาการปากแห้งไม่อยากอาหารและที่หนักที่สุดคือวูบ วูบคาบันไดรถเมล์ตอนก่อนจะก้าวลงป้ายรถเมล์เลยทีเดียว ดีที่รถหยุดสนิทไม่อย่างนั้นเราอาจจะโดนรถที่ตามมาข้างหลังเหยียบหัวแตกไปแล้ว และเราโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือในวันนั้นมีเพื่อนไปด้วย
แต่ก็นั่นแหละค่ะไม่มียาอะไรที่จะทำให้เราลดความอ้วนได้อย่างถาวร แล้ววันที่ได้รู้จักกับคำว่าโยโย่เอฟเฟคก็มาถึง น้ำหนักเราค่อยๆเด้งจาก 47 ขึ้นมาเรื่อยๆ จนพีคที่สุดถึง 80 กิโลกรัม แต่จะบอกว่าเราวนเวียนกับการกินยาลดความอ้วนอยู่หลายปีตั้งแต่เรียน ปวช จนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย กินยาลดความอ้วนจนรู้สึกว่ายาไม่ได้ผลอีกแล้ว
รูปนี้ตอนหนักที่สุด 80 กิโลกรัมพีคสุดในชีวิต
จากนั้นเราไปเจอผลิตภัณฑ์นึงซึ่งมันอาจไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักโดยตรงแต่มันช่วยให้เรากินน้ำได้เยอะนั่นก็คือชาเขียวเราเอาชาเขียวมาผสมน้ำกินแทนน้ำเปล่าวันละ 2 ลิตรกว่าทำให้น้ำหนักลดลงจาก 80 เหลือประมาณ 73 แล้วน้ำหนักเราก็จะคงที่อยู่ประมาณนี้เป็น 10 ปี จะเห็นได้ว่าเราไม่เคยออกกำลังกายเลยเพราะเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายเลยใช้ทางลัดตลอด ณ ตอนนั้นเราไม่มีความคิดจะลดความอ้วนอีกแล้วปล่อยจอยเพราะกินไปน้ำหนักก็ไม่ได้ขึ้นอะไรไปมากกว่านี้แล้วก็ไม่ได้ลดลงไปกว่านี้แต่มันก็มีจุดเปลี่ยนให้จู่ๆเราก็ลดน้ำหนักลงได้ 24 กิโลกรัมภายใน 6 เดือน
น้ำหนักตอน 73 กิโลกรัม
เราไม่สบายทำให้ไม่อยากกินอาหาร รู้สึกเบื่ออาหาร เป็นแบบนี้ได้เกือบเดือน กินอะไรก็กินได้น้อย เราเลยถือโอกาสนี้ทำ IF พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่เราเริ่มต้นจากที่ 23/1 เลยนะ คือกิน 1 ชั่วโมงช่วงเที่ยง แต่ใน 1 ชั่วโมงนั้นเรากินสารอาหารครบนะ (คิดว่าครบแหละ) ไม่ได้เลือกกินอาหารเฮลตี้อะไรขนาดนั้น ออกจะกินอะไรที่อยากกินมากกว่าแต่เราจะไม่เน้นหวานไม่เน้นแป้งมาก ในช่วงเดือน 2 เดือนแรกน้ำหนักทยอยลงมาเรื่อยๆจาก 73 เหลือ 60 กว่าและจาก 60 กว่าก็ลงมาเหลือ 59 จากนั้นก็ลงมาเรื่อยๆ เรายังคงกินเรียกว่าตามใจปากก็ได้นะแต่จะกินปริมาณไม่ได้เยอะมากเท่าเมื่อก่อนตอนที่อ้วนนะ เลือกกินมากขึ้นโดยที่ไม่ออกกำลังกายเลยจนน้ำหนักลงมาปัจจุบันนี้เหลือ 49 กิโลกรัม
รูป ณ ปัจจุบันหนัก 49 กิโลกรัม
ซึ่งตอนนี้แฮปปี้กับชีวิตมากสามารถกินอะไรก็ได้ที่อยากกินแต่ไม่ได้หมายความว่ากินเยอะนะเพราะเดี๋ยวนี้ก็กินได้ไม่เยอะแต่ก็แฮปปี้ที่สามารถกินได้ทุกอย่างที่อยากกินอยากกินอะไรก็กินกินให้พอหายอยาก แล้วน้ำหนักก็ไม่ขึ้นด้วย อ้อลืมบอกไปเราสูง 159 ซม. นะ
จากการตรวจสุขภาพที่ผ่านมาจากที่เคยความดันต่ำก็กลับมาความดันปกติ ไขมัน ความดันคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ต่างๆ ก็เป็นปกติ ตอนนี้ชีวิตแฮปปี้กับสุขภาพมาก
วิธีของเราอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนนะแต่อาจจะเอาไปปรับใช้ได้ให้เหมาะกับตัวเองค่ะ อาจจะไม่ต้องทำ if โหดเหมือนกับที่เราทำเริ่มจาก 16/ 8 ก่อนก็ได้ค่ะ อยากให้ทุกคนมีกำลังใจในการลดน้ำหนักนะคะ เราที่ไม่คิดว่าจะลดความอ้วนได้อีกแล้วในชีวิตนี้ยังกลับมาผอมได้เลยทุกคนก็ต้องทำได้ค่ะเป็นกำกำลังใจให้นะคะ อ้อ ลืมบอกไปเรามาลดน้ำหนักได้ตอนอายุ 40 + แล้วนะคะ
มาสุขภาพดีไปด้วยกัน...สู้ๆค่ะ ^_^
มาแชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก 6 เดือน 24 กิโลค่ะ
เราเริ่มมองหาตัวช่วยที่ทำให้ผอมได้เร็วที่สุด นั่นก็คือ ยาลดความอ้วนของคลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง เราจึงไปบอกกับแม่ว่าอยากกินยาลดความอ้วน ในตอนนั้นแม่ก็อยากให้ลูกผอมเหมือนเพื่อนแม่เลยเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้เงินเราไปซื้อยาลดความอ้วนมากิน
ในช่วงแรกน้ำหนักลงมาเยอะมาก ลดลงมาจาก 58 เหลือ 47 แต่เอฟเฟคก็เยอะมากเช่นกัน มีอาการปากแห้งไม่อยากอาหารและที่หนักที่สุดคือวูบ วูบคาบันไดรถเมล์ตอนก่อนจะก้าวลงป้ายรถเมล์เลยทีเดียว ดีที่รถหยุดสนิทไม่อย่างนั้นเราอาจจะโดนรถที่ตามมาข้างหลังเหยียบหัวแตกไปแล้ว และเราโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือในวันนั้นมีเพื่อนไปด้วย
แต่ก็นั่นแหละค่ะไม่มียาอะไรที่จะทำให้เราลดความอ้วนได้อย่างถาวร แล้ววันที่ได้รู้จักกับคำว่าโยโย่เอฟเฟคก็มาถึง น้ำหนักเราค่อยๆเด้งจาก 47 ขึ้นมาเรื่อยๆ จนพีคที่สุดถึง 80 กิโลกรัม แต่จะบอกว่าเราวนเวียนกับการกินยาลดความอ้วนอยู่หลายปีตั้งแต่เรียน ปวช จนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย กินยาลดความอ้วนจนรู้สึกว่ายาไม่ได้ผลอีกแล้ว
รูปนี้ตอนหนักที่สุด 80 กิโลกรัมพีคสุดในชีวิต
จากนั้นเราไปเจอผลิตภัณฑ์นึงซึ่งมันอาจไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักโดยตรงแต่มันช่วยให้เรากินน้ำได้เยอะนั่นก็คือชาเขียวเราเอาชาเขียวมาผสมน้ำกินแทนน้ำเปล่าวันละ 2 ลิตรกว่าทำให้น้ำหนักลดลงจาก 80 เหลือประมาณ 73 แล้วน้ำหนักเราก็จะคงที่อยู่ประมาณนี้เป็น 10 ปี จะเห็นได้ว่าเราไม่เคยออกกำลังกายเลยเพราะเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายเลยใช้ทางลัดตลอด ณ ตอนนั้นเราไม่มีความคิดจะลดความอ้วนอีกแล้วปล่อยจอยเพราะกินไปน้ำหนักก็ไม่ได้ขึ้นอะไรไปมากกว่านี้แล้วก็ไม่ได้ลดลงไปกว่านี้แต่มันก็มีจุดเปลี่ยนให้จู่ๆเราก็ลดน้ำหนักลงได้ 24 กิโลกรัมภายใน 6 เดือน
น้ำหนักตอน 73 กิโลกรัม
เราไม่สบายทำให้ไม่อยากกินอาหาร รู้สึกเบื่ออาหาร เป็นแบบนี้ได้เกือบเดือน กินอะไรก็กินได้น้อย เราเลยถือโอกาสนี้ทำ IF พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่เราเริ่มต้นจากที่ 23/1 เลยนะ คือกิน 1 ชั่วโมงช่วงเที่ยง แต่ใน 1 ชั่วโมงนั้นเรากินสารอาหารครบนะ (คิดว่าครบแหละ) ไม่ได้เลือกกินอาหารเฮลตี้อะไรขนาดนั้น ออกจะกินอะไรที่อยากกินมากกว่าแต่เราจะไม่เน้นหวานไม่เน้นแป้งมาก ในช่วงเดือน 2 เดือนแรกน้ำหนักทยอยลงมาเรื่อยๆจาก 73 เหลือ 60 กว่าและจาก 60 กว่าก็ลงมาเหลือ 59 จากนั้นก็ลงมาเรื่อยๆ เรายังคงกินเรียกว่าตามใจปากก็ได้นะแต่จะกินปริมาณไม่ได้เยอะมากเท่าเมื่อก่อนตอนที่อ้วนนะ เลือกกินมากขึ้นโดยที่ไม่ออกกำลังกายเลยจนน้ำหนักลงมาปัจจุบันนี้เหลือ 49 กิโลกรัม
รูป ณ ปัจจุบันหนัก 49 กิโลกรัม
ซึ่งตอนนี้แฮปปี้กับชีวิตมากสามารถกินอะไรก็ได้ที่อยากกินแต่ไม่ได้หมายความว่ากินเยอะนะเพราะเดี๋ยวนี้ก็กินได้ไม่เยอะแต่ก็แฮปปี้ที่สามารถกินได้ทุกอย่างที่อยากกินอยากกินอะไรก็กินกินให้พอหายอยาก แล้วน้ำหนักก็ไม่ขึ้นด้วย อ้อลืมบอกไปเราสูง 159 ซม. นะ
จากการตรวจสุขภาพที่ผ่านมาจากที่เคยความดันต่ำก็กลับมาความดันปกติ ไขมัน ความดันคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ต่างๆ ก็เป็นปกติ ตอนนี้ชีวิตแฮปปี้กับสุขภาพมาก
วิธีของเราอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนนะแต่อาจจะเอาไปปรับใช้ได้ให้เหมาะกับตัวเองค่ะ อาจจะไม่ต้องทำ if โหดเหมือนกับที่เราทำเริ่มจาก 16/ 8 ก่อนก็ได้ค่ะ อยากให้ทุกคนมีกำลังใจในการลดน้ำหนักนะคะ เราที่ไม่คิดว่าจะลดความอ้วนได้อีกแล้วในชีวิตนี้ยังกลับมาผอมได้เลยทุกคนก็ต้องทำได้ค่ะเป็นกำกำลังใจให้นะคะ อ้อ ลืมบอกไปเรามาลดน้ำหนักได้ตอนอายุ 40 + แล้วนะคะ
มาสุขภาพดีไปด้วยกัน...สู้ๆค่ะ ^_^