รบ.คุยฟุ้งความสำเร็จอีอีซี เกิดภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน เตรียมเร่งขยายเครือข่าย 5G
รบ.คุยฟุ้งความสำเร็จอีอีซี เกิดภายใต้การขับเคลื่อนของรัฐบาลปัจจุบัน เตรียมเร่งขยายเครือข่าย 5G ระดับชุมชน บ้านฉาง-พัทยาโมเดล
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำเร็จการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไปมากพอสมควรและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยความสำเร็จ 4 ปี ของอีอีซี เกิดการเติบโตที่ดีครบทุกมิติ เกิดผลประโยชน์โดยตรงถึงประชาชนทุกกลุ่ม และเกิดการบูรณาการด้านงบประมาณกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ โดยปัจจุบันได้มีการผลักดันโครงการร่วมลงทุนรัฐและเอกชนจนเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยได้เซ็นสัญญาครบ 4 โครงการแล้ว ได้แก่.....👇👇👇
1.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
2.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
3.โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด
และ 4.โครงการท่าเรือแหลมฉบัง
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนกว่า 650,000 ล้านบาท โดยรัฐได้ผลตอบแทนสูงถึง 210,000 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในปี 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นการสร้างต้นแบบให้ประเทศไทยก้าวสู่การพึ่งพาตนเองและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สร้างงานให้คนไทย และสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับภาครัฐ
ขณะที่ด้านการลงทุนในพื้นที่อีอีซี เกิดการลงทุนรวมที่ได้อนุมัติงบลงทุนสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท เกินเป้า
หมาย 1.7 ล้านล้านบาท ใน 5 ปีที่เป็นแผนแรกของอีอีซี โดยก้าวต่อไป อีอีซีได้วางแผนการลงทุนระยะที่ 2 ในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566-2570) เพื่อขับเคลื่อนต่อยอดและเร่งรัดการลงทุนโดยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและวิจัย อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยวางเป้าการลงทุนไว้ที่ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเกิดมูลค่าการลงทุนใน EEC เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 400,000-500,000 ล้านบาท โดย EEC น่าจะขยายตัวได้ 7-9 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งจะเป็นการเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเต็มศักยภาพ ทำให้ประเทศไทยขยายตัวได้ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ อีอีซียังได้เร่งขยายและพัฒนาโครงข่าย 5G ให้การใช้ 5G เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ระดับชุมชน โดยเริ่มพัฒนาต้นแบบที่บ้านฉางและเมืองพัทยา ก้าวสู่ชุมชนอัจฉริยะและต่อยอดสู่ภาคการผลิต ภาคธุรกิจ และหน่วยงานต่างๆ พร้อมทั้งสร้างแนวทางส่งเสริมการลงทุนใหม่ ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า EV การแพทย์สมัยใหม่ และการขนส่งโลจิสติกส์ ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและก้าวสู่พื้นที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอนาคตที่ EEC มุ่งมั่นให้เกิดการลงทุนที่ยั่งยืน
นายอนุชากล่าวอีกว่า นอกจาก 4 ปีของความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแล้ว อีอีซียังได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่และสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยผลักดันแผนพัฒนาภาคเกษตร เป็นต้นแบบใช้การตลาดนำการผลิต ใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตให้เข้าถึงตลาดสินค้ามูลค่าสูง กำหนด 5 คลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ผลไม้ ประมง พืชชีวภาพ สมุนไพร และเกษตรมูลค่าสูง
เพื่อสร้างรายได้เกษตรให้เทียบเท่ากลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งได้จับมือกับธนาคารออมสินเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ ช่วยให้พ่อค้า แม่ขาย สามารถประกอบกิจการได้โดยเร็ว และร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs คู่กับการสนับสนุนสินค้าชุมชน ยกระดับสินค้าโอท็อป สร้างรายได้ให้ชุมชน
อีกทั้งอีอีซียังสร้างระบบการพัฒนาบุคลากรตำแหน่งงานใหม่รายได้ดี เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่ทำงานกับนวัตกรรมใหม่ ตั้งเป้าหมายกว่า 475,000 ตำแหน่ง ผ่านการศึกษาในรูปแบบสร้างงานให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม โดยอบรมไปได้แล้ว 16,114 คน สิ้นปี 66 จะดำเนินการได้ 100,000 คน และเร่งดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย พร้อมยกระดับด้านสาธารณสุขให้ชุมชนเข้าถึงระบบประกันสุขภาพอย่างทั่วถึง รวมไปถึงยกระดับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้กลับมาท่องเที่ยวในพื้นที่ และยังได้ริเริ่มแนวคิดการปล่อยสัตว์ทะเล เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ชุมชน พร้อมรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการขยะแบบครบวงจรเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนในพื้นที่อีอีซี
https://www.matichon.co.th/region/news_3531389
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กล่าวว่าเป้าหมายของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในช่วง 5 ปีต่อไป (2566-2570) กำหนดเป้าหมายการลงทุนเอาไว้ 2.2 ล้านล้านบาท (2566-70)
โดยจะมีเงินลงทุนประมาณปีละ 4-5 แสนล้านบาท และเศรษฐกิจของอีอีซีน่าจะขยายตัวได้ 7-9% ต่อปี ทำให้ประเทศไทยขยายตัวได้ประมาณ 5% ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนจะทำให้ประเทศไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางภายในปี 2572 ได้
สำหรับความคืบหน้าของโครงการอีอีซีไม่มีอะไรที่น่ากังวลโดยปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการหลัก จะเข้าสู่ช่วงการก่อสร้างปลายปีนี้ และน่าจะแล้วเสร็จในปี 2568- 2569 ซึ่งจะทำให้อีอีซีก้าวเข้าสู่ระยะการขยายตัวที่สำคัญในปี 2569 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ในการดำเนินการแผนงานอื่นๆ ในช่วง 5 ปีจากนี้ ยังมีโครงการสำคัญๆ อีกหลายเรื่อง เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี 5G ปัจจุบัน 5G ของไทยเร็วที่สุด ครอบคลุมมากที่สุดใน อาเซียน นำหน้าประเทศอื่นๆ ประมาณ 2 ปีทำให้บริษัทชั้นนำด้านดิจิทัล หันมาลงทุนในอีอีซีอนาคตจะเป็นธุรกิจไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
ส่วนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV นั้น นโยบาย EV ของรัฐบาลไทยนำหน้าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ตั้งใจจะเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียนต่อไป ทำให้บริษัทรถยนต์ที่ตั้งใจจะผลิต EV เข้ามาลงทุนใน EEC รวมทั้งธุรกิจแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถ EV
ขณะที่เทคโนโลยีการแพทย์ และ Wellness การที่ EEC ได้จัดระบบสาธารณสุข และการแพทย์ลงตัวโดยแบ่งงานกันทำทั้งในภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งการเปิดฉากการพัฒนาการแพทย์สมัยใหม่ทั้ง จีโนมิกส์ และ Digital Hospital ทำให้มีความสนใจการลงทุนทางการรักษาพยาบาลระดับสูง ระบบที่เชื่อมโยงนี้จะนำไปสู่เครือข่ายธุรกิจ Wellness ทั้ง รพ.ชั้นนำ เวชสำอาง ศูนย์พักฟื้น ธุรกิจโรงแรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการแพทย์ อุตสาหกรรมยา และอุปกรณ์การแพทย์
สำหรับโครงการศูนย์นวัตกรรมสำคัญ ทั้ง EECi ดำเนินการเสร็จแล้วในระยะแรก ปัจจุบันกำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดความรู้ เกษตร ดิจิทัล หุ่นยนต์ โดรน EV และแบตเตอรี่ รวมทั้ง EECd ในส่วนของ Digital Valley wfh เปิดดำเนินการแล้ว และจะรับการลงทุน DATA Center แรกปลายปี 2565
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1020996
.....รัฐบาลลุงตู่ จะพาบ้านเมืองและประชาชนพ้นกับดักรายได้ปานกลาง อย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นส.ส. เพื่อไทยคงไม่แอบเอาอีอีซีไปเป็นผลงานของตัวเองอย่างไม่อายหรอกค่ะ
❤️มาลาริน❤️มีดีรัฐบาลต้องโชว์ค่ะ...ความสำเร็จอีอีซี เกิดภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน เตรียมเร่งขยายเครือข่าย 5G/ 5ปี ไทยฉลุย
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำเร็จการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไปมากพอสมควรและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยความสำเร็จ 4 ปี ของอีอีซี เกิดการเติบโตที่ดีครบทุกมิติ เกิดผลประโยชน์โดยตรงถึงประชาชนทุกกลุ่ม และเกิดการบูรณาการด้านงบประมาณกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ โดยปัจจุบันได้มีการผลักดันโครงการร่วมลงทุนรัฐและเอกชนจนเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยได้เซ็นสัญญาครบ 4 โครงการแล้ว ได้แก่.....👇👇👇
1.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
2.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
3.โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด
และ 4.โครงการท่าเรือแหลมฉบัง
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนกว่า 650,000 ล้านบาท โดยรัฐได้ผลตอบแทนสูงถึง 210,000 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในปี 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นการสร้างต้นแบบให้ประเทศไทยก้าวสู่การพึ่งพาตนเองและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สร้างงานให้คนไทย และสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับภาครัฐ
ขณะที่ด้านการลงทุนในพื้นที่อีอีซี เกิดการลงทุนรวมที่ได้อนุมัติงบลงทุนสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท เกินเป้า
หมาย 1.7 ล้านล้านบาท ใน 5 ปีที่เป็นแผนแรกของอีอีซี โดยก้าวต่อไป อีอีซีได้วางแผนการลงทุนระยะที่ 2 ในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566-2570) เพื่อขับเคลื่อนต่อยอดและเร่งรัดการลงทุนโดยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและวิจัย อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยวางเป้าการลงทุนไว้ที่ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเกิดมูลค่าการลงทุนใน EEC เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 400,000-500,000 ล้านบาท โดย EEC น่าจะขยายตัวได้ 7-9 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งจะเป็นการเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเต็มศักยภาพ ทำให้ประเทศไทยขยายตัวได้ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ อีอีซียังได้เร่งขยายและพัฒนาโครงข่าย 5G ให้การใช้ 5G เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ระดับชุมชน โดยเริ่มพัฒนาต้นแบบที่บ้านฉางและเมืองพัทยา ก้าวสู่ชุมชนอัจฉริยะและต่อยอดสู่ภาคการผลิต ภาคธุรกิจ และหน่วยงานต่างๆ พร้อมทั้งสร้างแนวทางส่งเสริมการลงทุนใหม่ ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า EV การแพทย์สมัยใหม่ และการขนส่งโลจิสติกส์ ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและก้าวสู่พื้นที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอนาคตที่ EEC มุ่งมั่นให้เกิดการลงทุนที่ยั่งยืน
นายอนุชากล่าวอีกว่า นอกจาก 4 ปีของความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแล้ว อีอีซียังได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่และสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยผลักดันแผนพัฒนาภาคเกษตร เป็นต้นแบบใช้การตลาดนำการผลิต ใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตให้เข้าถึงตลาดสินค้ามูลค่าสูง กำหนด 5 คลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ผลไม้ ประมง พืชชีวภาพ สมุนไพร และเกษตรมูลค่าสูง
เพื่อสร้างรายได้เกษตรให้เทียบเท่ากลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งได้จับมือกับธนาคารออมสินเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ ช่วยให้พ่อค้า แม่ขาย สามารถประกอบกิจการได้โดยเร็ว และร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs คู่กับการสนับสนุนสินค้าชุมชน ยกระดับสินค้าโอท็อป สร้างรายได้ให้ชุมชน
อีกทั้งอีอีซียังสร้างระบบการพัฒนาบุคลากรตำแหน่งงานใหม่รายได้ดี เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่ทำงานกับนวัตกรรมใหม่ ตั้งเป้าหมายกว่า 475,000 ตำแหน่ง ผ่านการศึกษาในรูปแบบสร้างงานให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม โดยอบรมไปได้แล้ว 16,114 คน สิ้นปี 66 จะดำเนินการได้ 100,000 คน และเร่งดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย พร้อมยกระดับด้านสาธารณสุขให้ชุมชนเข้าถึงระบบประกันสุขภาพอย่างทั่วถึง รวมไปถึงยกระดับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้กลับมาท่องเที่ยวในพื้นที่ และยังได้ริเริ่มแนวคิดการปล่อยสัตว์ทะเล เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ชุมชน พร้อมรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการขยะแบบครบวงจรเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนในพื้นที่อีอีซี
https://www.matichon.co.th/region/news_3531389
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กล่าวว่าเป้าหมายของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในช่วง 5 ปีต่อไป (2566-2570) กำหนดเป้าหมายการลงทุนเอาไว้ 2.2 ล้านล้านบาท (2566-70)
โดยจะมีเงินลงทุนประมาณปีละ 4-5 แสนล้านบาท และเศรษฐกิจของอีอีซีน่าจะขยายตัวได้ 7-9% ต่อปี ทำให้ประเทศไทยขยายตัวได้ประมาณ 5% ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนจะทำให้ประเทศไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางภายในปี 2572 ได้
สำหรับความคืบหน้าของโครงการอีอีซีไม่มีอะไรที่น่ากังวลโดยปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการหลัก จะเข้าสู่ช่วงการก่อสร้างปลายปีนี้ และน่าจะแล้วเสร็จในปี 2568- 2569 ซึ่งจะทำให้อีอีซีก้าวเข้าสู่ระยะการขยายตัวที่สำคัญในปี 2569 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ในการดำเนินการแผนงานอื่นๆ ในช่วง 5 ปีจากนี้ ยังมีโครงการสำคัญๆ อีกหลายเรื่อง เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี 5G ปัจจุบัน 5G ของไทยเร็วที่สุด ครอบคลุมมากที่สุดใน อาเซียน นำหน้าประเทศอื่นๆ ประมาณ 2 ปีทำให้บริษัทชั้นนำด้านดิจิทัล หันมาลงทุนในอีอีซีอนาคตจะเป็นธุรกิจไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
ส่วนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV นั้น นโยบาย EV ของรัฐบาลไทยนำหน้าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ตั้งใจจะเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียนต่อไป ทำให้บริษัทรถยนต์ที่ตั้งใจจะผลิต EV เข้ามาลงทุนใน EEC รวมทั้งธุรกิจแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถ EV
ขณะที่เทคโนโลยีการแพทย์ และ Wellness การที่ EEC ได้จัดระบบสาธารณสุข และการแพทย์ลงตัวโดยแบ่งงานกันทำทั้งในภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งการเปิดฉากการพัฒนาการแพทย์สมัยใหม่ทั้ง จีโนมิกส์ และ Digital Hospital ทำให้มีความสนใจการลงทุนทางการรักษาพยาบาลระดับสูง ระบบที่เชื่อมโยงนี้จะนำไปสู่เครือข่ายธุรกิจ Wellness ทั้ง รพ.ชั้นนำ เวชสำอาง ศูนย์พักฟื้น ธุรกิจโรงแรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการแพทย์ อุตสาหกรรมยา และอุปกรณ์การแพทย์
สำหรับโครงการศูนย์นวัตกรรมสำคัญ ทั้ง EECi ดำเนินการเสร็จแล้วในระยะแรก ปัจจุบันกำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดความรู้ เกษตร ดิจิทัล หุ่นยนต์ โดรน EV และแบตเตอรี่ รวมทั้ง EECd ในส่วนของ Digital Valley wfh เปิดดำเนินการแล้ว และจะรับการลงทุน DATA Center แรกปลายปี 2565
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1020996
.....รัฐบาลลุงตู่ จะพาบ้านเมืองและประชาชนพ้นกับดักรายได้ปานกลาง อย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นส.ส. เพื่อไทยคงไม่แอบเอาอีอีซีไปเป็นผลงานของตัวเองอย่างไม่อายหรอกค่ะ