สัตตสูตร
ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์
[๓๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น
จึงเรียกว่า สัตว์. เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง
ในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์. ดูกรราธะ เด็กชายหรือเด็กหญิง เล่นอยู่ตามเรือนฝุ่น
ทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก
ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความกระวนกระวาย ไม่ปราศจากความทะยานอยาก
ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นอยู่เพียงใด ย่อมอาลัย ย่อมอยากเล่น ย่อมหวงแหน ย่อมยึดถือเรือนฝุ่น
ทั้งหลายอยู่เพียงนั้น. ดูกรราธะ แต่ว่าในกาลใด เด็กชายหรือเด็กหญิงเป็นผู้ปราศจากความ
กำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความกระวน
กระวาย ปราศจากความทะยานอยากในเรือนฝุ่นเหล่านั้นแล้ว ในกาลนั้นแล เด็กชายหรือ
เด็กหญิงเหล่านั้น ย่อมรื้อ ย่อมยื้อแย่ง ย่อมกำจัด ย่อมทำเรือนฝุ่นเหล่านั้น ให้เล่นไม่ได้
ด้วยมือและเท้า ฉันใด ดูกรราธะ แม้เธอทั้งหลายก็จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำรูปให้
เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำเวทนา
ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ
สัญญาให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด
จงทำสังขารให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง
จงกำจัด จงทำวิญญาณให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา ฉันนั้น
นั่นเทียวแล. ดูกรราธะ เพราะว่าความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นนิพพาน.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"สัตว์"ก็คือ อุปาทานขันธ์5
ตามหลักของปฎิจจสมุปปบาท....ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานทำให้เกิดภพ (คือเรือนฝุ่นที่พระองค์ทรงเปรียบเทียบในพระสูตร)
ภพทำให้เกิดชาติ.....
นี่ตัวตนเกิดแล้ว มี"สัตว์"เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อปฎิบัติจนสื้นไปแห่งตัณหาแล้ว
อุปาทานก็ไม่เกิดขึ้นครอบงำขันธ์5ได้ ขันธ์5ก็ปราศจาก"ตัวตน"หมดความรู้สึกว่าเป็นสัตว์แล้ว
ในพระสูตรตรัสถึงแต่ปัจจุบันขณะเพื่อความพ้นจากการเป็น"สัตว์"ในชาตินี้เท่านั้น
และไม่มีตัวสัตว์ออกไปเร่ร่อนข้ามภพข้ามชาติจนรกรุงรังไปหมดแต่อย่างใด
ถ้าท่านสงสัยเรื่อง"สัตว์"ท่านก็ต้องศึกษาจาก"สัตตสูตร"ซึ่งเป็นพระสูตรหลักของเรื่องนี้
เช่นเดียวกับถ้าสงสัยเรื่องสมาธิก็ต้องศึกษาจาก"สมาธิสูตร"เป็นต้น
พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสว่ามี"สัตตานัง"เข้าครอบครองขันธ์5
แล้วลอยไปลอยมาไปเสวยภพนั่นภพนี่จนกว่าจะนิพพาน
นั่นมันพราหมณ์ที่มีอาตมันมาเวียนว่ายตายเกิดจนสุดท้ายเข้ารวมกับปรมาตมัน
ซึ่งมีคนบางคนพยายามจะลากพุทธเข้าเป็นพราหมฌ์อย่างนี้
☆☆☆สัตตสูตร เนื้อแท้ที่พระพุทธองค์ตรัสอธิบายเรื่อง "สัตว์" ☆☆☆
ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์
[๓๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น
จึงเรียกว่า สัตว์. เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง
ในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์. ดูกรราธะ เด็กชายหรือเด็กหญิง เล่นอยู่ตามเรือนฝุ่น
ทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก
ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความกระวนกระวาย ไม่ปราศจากความทะยานอยาก
ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นอยู่เพียงใด ย่อมอาลัย ย่อมอยากเล่น ย่อมหวงแหน ย่อมยึดถือเรือนฝุ่น
ทั้งหลายอยู่เพียงนั้น. ดูกรราธะ แต่ว่าในกาลใด เด็กชายหรือเด็กหญิงเป็นผู้ปราศจากความ
กำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความกระวน
กระวาย ปราศจากความทะยานอยากในเรือนฝุ่นเหล่านั้นแล้ว ในกาลนั้นแล เด็กชายหรือ
เด็กหญิงเหล่านั้น ย่อมรื้อ ย่อมยื้อแย่ง ย่อมกำจัด ย่อมทำเรือนฝุ่นเหล่านั้น ให้เล่นไม่ได้
ด้วยมือและเท้า ฉันใด ดูกรราธะ แม้เธอทั้งหลายก็จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำรูปให้
เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำเวทนา
ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ
สัญญาให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด
จงทำสังขารให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง
จงกำจัด จงทำวิญญาณให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา ฉันนั้น
นั่นเทียวแล. ดูกรราธะ เพราะว่าความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นนิพพาน.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"สัตว์"ก็คือ อุปาทานขันธ์5
ตามหลักของปฎิจจสมุปปบาท....ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานทำให้เกิดภพ (คือเรือนฝุ่นที่พระองค์ทรงเปรียบเทียบในพระสูตร)
ภพทำให้เกิดชาติ.....
นี่ตัวตนเกิดแล้ว มี"สัตว์"เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อปฎิบัติจนสื้นไปแห่งตัณหาแล้ว
อุปาทานก็ไม่เกิดขึ้นครอบงำขันธ์5ได้ ขันธ์5ก็ปราศจาก"ตัวตน"หมดความรู้สึกว่าเป็นสัตว์แล้ว
ในพระสูตรตรัสถึงแต่ปัจจุบันขณะเพื่อความพ้นจากการเป็น"สัตว์"ในชาตินี้เท่านั้น
และไม่มีตัวสัตว์ออกไปเร่ร่อนข้ามภพข้ามชาติจนรกรุงรังไปหมดแต่อย่างใด
ถ้าท่านสงสัยเรื่อง"สัตว์"ท่านก็ต้องศึกษาจาก"สัตตสูตร"ซึ่งเป็นพระสูตรหลักของเรื่องนี้
เช่นเดียวกับถ้าสงสัยเรื่องสมาธิก็ต้องศึกษาจาก"สมาธิสูตร"เป็นต้น
พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสว่ามี"สัตตานัง"เข้าครอบครองขันธ์5
แล้วลอยไปลอยมาไปเสวยภพนั่นภพนี่จนกว่าจะนิพพาน
นั่นมันพราหมณ์ที่มีอาตมันมาเวียนว่ายตายเกิดจนสุดท้ายเข้ารวมกับปรมาตมัน
ซึ่งมีคนบางคนพยายามจะลากพุทธเข้าเป็นพราหมฌ์อย่างนี้