" สัตว์ "---ตอนที่1 :...สัตว์..คืออะไร? อย่างไร...จึงเรียกว่า " สัตว์ "......(เห็นต่อต้านกันจัง..)

กระทู้สนทนา


๒. สัตตสูตร 
ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์
[๓๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า

" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ 

- เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน...รูปแล
  เป็นผู้ข้องใน...รูป
  เป็นผู้เกี่ยวข้องใน...รูป...นั้น
  ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.

- พราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน...เวทนาแล
  เป็นผู้ข้องใน...เวทนา
  เป็นผู้เกี่ยวข้องใน...เวทนา...นั้น
  ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.

- พราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน...สัญญาแล
  เป็นผู้ข้องใน...สัญญา
  เป็นผู้เกี่ยวข้องใน...สัญญา...นั้น
  ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.

- พราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน...สังขารแล
  เป็นผู้ข้องใน...สังขาร
  เป็นผู้เกี่ยวข้องใน...สังขาร...นั้น
  ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.

- พราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน...วิญญาณแล
  เป็นผู้ข้องใน...วิญญาณ
  เป็นผู้เกี่ยวข้องใน...วิญญาณ...นั้น
  ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.

ดูกรราธะ เด็กชายหรือเด็กหญิง เล่นอยู่ตามเรือนฝุ่น ทั้งหลาย
 - เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด
 - ไม่ปราศจากความพอใจ
 - ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความกระวนกระวาย ไม่ปราศจากความทะยานอยาก
ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นอยู่เพียงใด ย่อมอาลัย ย่อมอยากเล่น ย่อมหวงแหน ย่อมยึดถือเรือนฝุ่น ทั้งหลายอยู่เพียงนั้น.

ดูกรราธะ แต่ว่าในกาลใด
- เด็กชายหรือเด็กหญิงเป็นผู้ปราศจากความ กำหนัด
- ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก
- ปราศจากความกระหาย ปราศจากความกระวน กระวาย ปราศจากความทะยานอยาก
ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นแล้ว
ในกาลนั้นแล เด็กชายหรือ เด็กหญิงเหล่านั้น ย่อมรื้อ ย่อมยื้อแย่ง ย่อมกำจัด ย่อมทำเรือนฝุ่นเหล่านั้น ให้เล่นไม่ได้ 
ด้วยมือและเท้า  ฉันใด ดูกรราธะ แม้เธอทั้งหลายก็
- จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ...รูป..........ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา
- จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ...เวทนา....ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา
- จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ...สัญญา....ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา
- จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ...สังขาร.....ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา
- จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ...วิญญาณ...ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา
ฉันนั้น นั่นเทียวแล.
ดูกรราธะ เพราะว่าความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นนิพพาน.
จบ สูตรที่ ๒.
https://etipitaka.com/read/thai/17/191/
 

สรุป... <----อันนี้เป็นความเข้าใจของผม...หากมีคำแนะนำ-หรือ-เห็นต่าง..นำหลักฐานมาแสดง...ก็ยินดีเลยครับ
1. จากพระสูตร  " สัตว์ "----ก็คือ  การมีอุปาทาน..หรือ..ผู้ที่มีอุปาทาน..ในขันธ์๕
2. พระศาสดาท่านเทียบ " สัตว์ "...กับเด็กชายเด็กหญิงที่มีความกำหนัดในเนื่องฝุ่น 
    ดังนี้
     เด็กชายเด็กหญิงที่กำหนัด  <------->   สัตว์
     เรื่องฝุ่น <------------------------------>   อุปาทานขันธ์๕
     เรื่องฝุ่นที่ถูกทำลาย <----------------->  ขันธ์๔...ที่ไม่มีอุปาทาน
     ความรัก,กำหนัด,พอใจ <------------->   ฉันทะ-ราคา-นันทิ-ตัณหา
     การทำเรื่อนฝุ่นให้เล่นไม่ได้ <-------->  การปฏิบัติอริยมรรคอันมีองค์8
3. ในพุทธศาสนา... เป้าหมายคือการกำจัด...ตัณหา-อุปาทาน...ในอุปาทานขันธ์๕ 
    เช่นเดียวกับการทำให้เรื่อนฝุ่นของเด็กน้อยนั้น..เป็นของที่เล่นไม่ได้อีกต่อไป..
    ขันธ์๔...มันปรากฏ, 
    อุปาทาน...มันมีปรากฏ,
    อุปาทานขันธ์๕...ก็มีปรากฏ,
    ผู้ที่ยึดติด-ผู้ที่มีอุปาทาน...ที่เรียกว่า " สัตว์ "...มันจะไม่มีปรากฏได้อย่างไร???
4.  พระศาสดนท่านเป็นผู้บัญญัติแสดง-เปิดเผย   
     ท่านพบว่า...ขันธ์๕..นี้มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และพบว่า...การไปมีอุปาทาน(ฉันทะ-ราคะ-นันทิ-ตัณหา)...ในขันธ์๕...นั่นหละเป็นตัวทุกข์
     จากนั้น....ก็เรียกการไปมี-ผู้ไปมี " อุปาทานในขันธ์๕ "...ว่า..." สัตว์ "
     สำหรับผูที่ยังมีอุปาทาน----อุปาทานขันธ์๕นั้น <----ยังมีอุปาทาน...ก็หมายความว่ายังมี " สัตว์ "
     ส่วน  ผู้ที่สิ้นอุปาทานแล้ว(พระอรหันต์)-----ขันธ์๕นั้น...เป็นขันธ์๕...ที่ปราศจากผู้ยึดติด คือ " ไม่มีสัตว์ "...นั้นเอง
     ไม่ใช่เอะอะอะไร... ก็ไม่มีสัตว์   
     ถ้าไม่มีสัตว์ในขันธ์๕ใดๆ.....มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะมีศาสนาพุทธ...เพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่มีทุกข์..ไง!
 
 5.   อีกอย่างนะ...ขันธ์๕เรานี้...มันเกิดมาจากสัตว์นะ...
      นี่คือคำกล่าวของพระศาสดา...
.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นธาตุ๖ (สัตว์) จึงลงสู่ครรภ์   เมื่อมีการลงสู่ครรภ์....จึงมีนามรูป
{ ฉนฺนํ ภิกฺขเว ธาตูนํ อุปาทาย คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติ โอกฺกนฺติยา สติ นามรูปํ }
- เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
- เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
- เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เราบัญญัติว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์
นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์แก่บุคคล ผู้เสวยเวทนาอยู่....
.....
https://etipitaka.com/read/thai/20/169/

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่